“อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น ลูกจงฝึกตัวเอง ถ้าลูกอยากได้เงิน จงทำอาชีพที่เห็นเงิน เป็นนักขายสิลูก หน่วยก้านอย่างหนู
ไปหาคอร์สดีๆฝึก แล้วหนูลงทุนในเวลา แล้วหนูจะเก่ง เธอก็ไปถามครูว่า สอนหนูวันเดียว 10 ชั่วโมงได้ไหม เพราะหนูอยากรวยเลยพรุ่งนี้
พระอาจารย์บอกลูกเอ้ย ทำอย่างนั้นก็ ดิไอคอนแล้ว"
1.หลังจากติดตามสถานการณ์ของบริษัท ดิไอคอน อย่างใกล้ชิด ก็เข้าใจว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลหลายแง่มุมดำรงอยู่จริงตามที่ผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ล่าสุดใน The Standard (14 ต.ค.67)
2.แต่ภาพใหญ่ก่อนหน้านั้น ที่บริษัท ทำธุรกิจอย่างเปิดเผยโดยมีซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยมาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์หรือผู้บริหารด้วย จึงทำให้คนที่เห็นภาพและข่าวเชื่อได้ว่า น่าจะมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน พระทุกรูปที่ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ก็คงคิดเช่นนั้น
3.ทุกเดือนทางบริษัทจะนิมนต์พระไปสอนธรรมะ และทำบุญถวายสังฆทานเป็นประจำ ผู้เขียนเอง ก็เป็นเพียงหนึ่งในพระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ไปสอน ต่างแต่ว่า ในการมานิมนต์ผู้เขียนนั้นทีมผู้บริหารมานิมนต์ถึงวัดที่จังหวัดเชียงราย และมาร่วมถวายทุนการศึกษาด้วย (จึงมีภาพเยอะหน่อย)
4.ในการสอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนสอนเรื่อง “หัวใจเศรษฐี” หรือกุญแจสู่ความสำเร็จตามหลัก “ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์” ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน (1.ขยันหา-2.รักษาดี- 3.มีกัลยาณมิตร-3.ใช้ชีวิตสมดุล) โดยสอนผ่าน 3 วลีสำคัญคือ “อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น” ใช้เวลาบรรยายถึง 1 ชั่วโมง 12 นาที (ไม่ใช่อย่างที่ตัดมาบางส่วน)
ระหว่างที่บรรยายให้รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัวตามแนวพุทธด้วยความอดทน ใจเย็น ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้เขียนจึง ”แซว“ หรือ ”ประชดแดกดัน“ คนที่มาฟังทั้งห้องประชุมว่า ถ้า ”อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น“ จะเอาให้รวยทันใจเลย เช่นนั้นแล้ว ก็แซวว่า “ลูกเอ๋ย ทำอย่างนั้นก็ดิไอคอนแล้ว…”
ซึ่งทุกคนที่นั่งฟังก็หัวเราะ เข้าใจคำพูดที่ (ใครก็ไม่รู้) ตัดมาเป็นคลิปนั้น
โดยบริบทเป็นเพียงคำพูดหยิกแกมหยอกธรรมดาตามประสานักพูดทั่วไปที่อยากให้มีอารมณ์ขันเท่านั้น เป็นการแซะ การแซว ไม่ได้มีนัยจริงจัง ซีเรียส ถึงขั้นที่จะเอามาปั่นว่าพระมีส่วนร่วมทางธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น คนฟังทุกคนในห้อง ฟังแล้วก็เข้าใจ ขำๆ ฮาๆ จบแล้ว ถวายสังฆทาน กลับบ้าน มีแค่นั้น (ที่สำคัญ Case study ที่ยกมาเล่าก็เป็นเรื่องราวก่อนโควิด ไม่เกี่ยวอะไรกับดิไอคอน)
5.ผู้เขียนเรียนธรรมะมาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยคือเปรียญธรรม ๙ ประโยค ดังนั้น ในการเทศน์การสอน
จึงเน้นแต่ข้ออรรถข้อธรรมที่มีแก่นสาร แม้จะเทศน์ด้วยภาษา ตัวอย่างร่วมสมัย แต่ก็สามารถโยงกลับไปหาพระไตรปิฎกได้เสมอ
ไม่ได้สอนแบบมั่วๆ อย่างที่ตัดมาให้คนด่า หรือให้คนเข้าใจผิด เรื่องนี้ปัญญาชนที่ติดตามผู้เขียนมาตลอด ย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว
ว. วชิรเมธี
15/10/2567
ผู้เขียนเรียนธรรมะมาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุด ของคณะสงฆ์ไทย คือเปรียญธรรม ๙ ประโยค
ไปหาคอร์สดีๆฝึก แล้วหนูลงทุนในเวลา แล้วหนูจะเก่ง เธอก็ไปถามครูว่า สอนหนูวันเดียว 10 ชั่วโมงได้ไหม เพราะหนูอยากรวยเลยพรุ่งนี้
พระอาจารย์บอกลูกเอ้ย ทำอย่างนั้นก็ ดิไอคอนแล้ว"
1.หลังจากติดตามสถานการณ์ของบริษัท ดิไอคอน อย่างใกล้ชิด ก็เข้าใจว่า น่าจะมีความไม่ชอบมาพากลหลายแง่มุมดำรงอยู่จริงตามที่ผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ล่าสุดใน The Standard (14 ต.ค.67)
2.แต่ภาพใหญ่ก่อนหน้านั้น ที่บริษัท ทำธุรกิจอย่างเปิดเผยโดยมีซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยมาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์หรือผู้บริหารด้วย จึงทำให้คนที่เห็นภาพและข่าวเชื่อได้ว่า น่าจะมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน พระทุกรูปที่ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ก็คงคิดเช่นนั้น
3.ทุกเดือนทางบริษัทจะนิมนต์พระไปสอนธรรมะ และทำบุญถวายสังฆทานเป็นประจำ ผู้เขียนเอง ก็เป็นเพียงหนึ่งในพระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ไปสอน ต่างแต่ว่า ในการมานิมนต์ผู้เขียนนั้นทีมผู้บริหารมานิมนต์ถึงวัดที่จังหวัดเชียงราย และมาร่วมถวายทุนการศึกษาด้วย (จึงมีภาพเยอะหน่อย)
4.ในการสอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนสอนเรื่อง “หัวใจเศรษฐี” หรือกุญแจสู่ความสำเร็จตามหลัก “ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์” ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน (1.ขยันหา-2.รักษาดี- 3.มีกัลยาณมิตร-3.ใช้ชีวิตสมดุล) โดยสอนผ่าน 3 วลีสำคัญคือ “อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น” ใช้เวลาบรรยายถึง 1 ชั่วโมง 12 นาที (ไม่ใช่อย่างที่ตัดมาบางส่วน)
ระหว่างที่บรรยายให้รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัวตามแนวพุทธด้วยความอดทน ใจเย็น ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้เขียนจึง ”แซว“ หรือ ”ประชดแดกดัน“ คนที่มาฟังทั้งห้องประชุมว่า ถ้า ”อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น“ จะเอาให้รวยทันใจเลย เช่นนั้นแล้ว ก็แซวว่า “ลูกเอ๋ย ทำอย่างนั้นก็ดิไอคอนแล้ว…”
ซึ่งทุกคนที่นั่งฟังก็หัวเราะ เข้าใจคำพูดที่ (ใครก็ไม่รู้) ตัดมาเป็นคลิปนั้น
โดยบริบทเป็นเพียงคำพูดหยิกแกมหยอกธรรมดาตามประสานักพูดทั่วไปที่อยากให้มีอารมณ์ขันเท่านั้น เป็นการแซะ การแซว ไม่ได้มีนัยจริงจัง ซีเรียส ถึงขั้นที่จะเอามาปั่นว่าพระมีส่วนร่วมทางธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น คนฟังทุกคนในห้อง ฟังแล้วก็เข้าใจ ขำๆ ฮาๆ จบแล้ว ถวายสังฆทาน กลับบ้าน มีแค่นั้น (ที่สำคัญ Case study ที่ยกมาเล่าก็เป็นเรื่องราวก่อนโควิด ไม่เกี่ยวอะไรกับดิไอคอน)
5.ผู้เขียนเรียนธรรมะมาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยคือเปรียญธรรม ๙ ประโยค ดังนั้น ในการเทศน์การสอน
จึงเน้นแต่ข้ออรรถข้อธรรมที่มีแก่นสาร แม้จะเทศน์ด้วยภาษา ตัวอย่างร่วมสมัย แต่ก็สามารถโยงกลับไปหาพระไตรปิฎกได้เสมอ
ไม่ได้สอนแบบมั่วๆ อย่างที่ตัดมาให้คนด่า หรือให้คนเข้าใจผิด เรื่องนี้ปัญญาชนที่ติดตามผู้เขียนมาตลอด ย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว
ว. วชิรเมธี
15/10/2567