เพื่อนร่วมงานห่วย ไร้คุณภาพ ขี้เกียจ รักสบาย แถมยังกินแรงคนอื่น คิดยังไงกันบ้างคะ?

เรื่องนี้เป็นเรื่องในบริษัทเราเองค่ะ ก่อนอื่นเลยเราต้องขอปกปิดข้อมูลส่วนใหญ่นะคะ เช่นเรื่องบริษัท ซึ่งเราจะแต่งขึ้นมาเพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ เดาออกว่าบริษัทที่ไหน แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่น่าจะหาเจอหรอกค่ะเพราะเป็นบริษัทขนาดกลาง พนักงานไม่ถึงสามร้อยคนด้วยซ้ำ ก็ไม่น่าติดปัญหา แต่ขอพลิกแพลงเรื่องที่ว่าบริษัททำเกี่ยวกับอะไร ประมาณนี้ดีกว่าค่ะ
.
แต่ยกเว้นเรื่องที่เราจะไม่แต่งขึ้นมา จะพูดความจริงทุกอย่าง คือเรื่องเรา และเรื่องเพื่อนร่วมงานคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือเรื่องนิสัย จะเล่าจริงทั้งหมดนะคะ ซึ่งเราจะขอแทนนางว่า ‘X’ ละกันค่ะ หลังจากนี้ขอเริ่มเล่าเลยนะคะ เราอาจจะเกริ่นเรื่องตัวเองยาวหน่อยนะคะช่วงต้น เพราะเพื่อน ๆ จะได้เปรียบเทียบกับ X แบบชัดเจนค่ะ
.
เอาเป็นว่าบริษัท...ทำเกี่ยวกับวาดภาพละกันค่ะ ที่ตั้งอยู่ใน กทม. ละกันค่ะ เราทำงานที่นี่ได้สองปีแล้ว เราเป็นคนทำงานดีมาก ค่อนข้างมั่นใจว่าเกรด A+++ เผลอ ๆ เป็นตัวท็อปของบริษัท (ของแผนกนั้น ๆ) เชียวค่ะ คุณสมบัติเรามีครบหมด อาจจะโม้ไปหน่อย แต่เรื่องจริงนะคะ เราค่อนข้างรู้สึกภูมิใจในตัวเองกับส่วนนี้ แหะ ๆ ได้แก่
- ทำงานเก่ง และทำเสร็จเร็ว (มาก) เสร็จก่อนเวลา เรียกว่างานเนี้ยบเลยล่ะค่ะ อ้อ เราไม่ได้เข้ามาทำงานแล้วเก่งเลยนะคะ นี่เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่เราทำ หลังฝึกงานจบก็บรรจุเป็นพนักงานเลย คือเก็บชั่วโมงบินมาพอสมควรน่ะค่ะ ทำให้พอสั่งสมระยะเวลาไปก็ยิ่งมากประสบการณ์ เป็นที่พึ่งของเพื่อนร่วมงานได้ เจ้านายจะแอบชมเราให้คนอื่นฟังบ่อย ๆ เขาจะไม่ค่อยชมต่อหน้าเรา แต่คนอื่นจะชอบแอบเอามาเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเลขาของเจ้านาย หรือนักวาดภาพด้วยกัน เจ้านายมักจะเอาเราเป็นแบบอย่างที่ดี
- มาทำงานเช้า ก่อนเวลาเข้างานจริงหนึ่งชั่วโมง สมมติเข้างานสิบโมง เราจะมาเก้าโมงทุกวัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเริ่มงานเลยนะคะ ไม่ได้ขนาดนั้น เราจะชอบเข้ามาเตรียมตัว เช่น ทานมื้อเช้า ดูวิดีโอผ่อนคลายบ้าง แต่ถึงเวลาเลิกงาน เราก็ยังเลิกตรงเวลาค่ะ ไม่ได้ Workaholic
- แข็งแกร่ง ทั้งปีแทบไม่ลาป่วย อย่างปีที่แล้วเราลาป่วยแค่วันเดียว (ของแทร่) ไม่ยอมใช้สิทธิ์ลาพักร้อน ล่าสุดปีนี้เราลาป่วยหนึ่งวัน แต่มีลากิจไปธุระสองวัน เรื่องสิทธิ์พักร้อนอันนี้ยังไม่แน่ใจค่ะ เพราะเราไม่ค่อยชอบไปไหนอยู่แล้วเลยไม่อยากลา ผิดกับคนอื่นที่ทยอยใช้กันไปหมดแล้ว เพื่อน ๆ ชอบแซวค่ะว่ารักบริษัทจนไม่ยอมเจ็บไม่ยอมป่วยกันเลยทีเดียว ฮ่า ๆ
- เพราะเราทำงานเก่ง ทำงานไว ฉะนั้นพอเวลาไม่มีงาน (หมดงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ) เราไม่อายเลยที่จะพักผ่อน ดูหนัง ทำสิ่งที่ชอบในเวลางาน อันนี้ไม่มีใครว่าจริง ๆ นะคะ จะเจ้านายหรือเลขาก็ไม่เคยมาตำหนิ เพราะทุกคนในบริษัทต่างก็รู้ดีว่าเราทำงานหนักขนาดไหน ถึงขนาดที่ว่าทำงานแค่สองปี เรามีผลงาน (จากฝีมือตัวเองล้วน ๆ) ประมาณหกชิ้นได้ แถมทำเงินก้อนโตให้บริษัทหลัก...สามร้อยกว่าบาทละกันค่ะ
.
ชีวิตการทำงานของเราจึงค่อนข้างชิลล์ ทุกวันนี้ทำงานแบบสบาย ๆ ไม่คิดอะไรมากค่ะ ลงตัวหมด Happy สภาพแวดล้อมดี เจ้านายก็รัก เป็นมือวางอันดับหนึ่งของบริษัทในแผนกวาดภาพ อะไร ๆ ก็เป็นใจ จนกระทั่ง...X เข้ามา
.
เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว X ก็จบจากมหา’ลัย เขาเป็นรุ่นพี่เราสองปี แต่ด้วยเหตุอะไรก็ไม่รู้ทำให้เขาเรียนจบช้า คงจะเพราะขี้เกียจแหละค่ะ โพรเจกต์วาดภาพตอนปีสี่ก็เลยไม่ผ่านสักที แต่ท้ายที่สุดก็จบมาได้ ฝึกงานที่บริษัทเราและเจ้านายก็รับทำงานเลย (ตอนนั้นคงเพราะเอ็นดู บวกกับตอนนั้นบริษัทยังขาดนักวาดภาพจำนวนมาก)
.
ยอมรับว่าเข้ามาแรก ๆ เรายังไม่อคติกับ X นะคะ อ้อ ลืมบอก X เป็นผู้หญิงค่ะ สมัยตอนแกฝึกงานเราก็ไม่ได้อะไร เขาก็ทำงานงั้น ๆ แถมมุมที่นั่งของ X ตอนนั้นยังดีมาก คือเป็นมุมที่กล้องวงจรปิดจะไม่เห็นว่าทำอะไรอยู่ เราจึงค้นพบว่างานอดิเรกของ X คือ...เอาเป็น....อ่าน...การ์ตูนละกันค่ะ (อันนี้ขอปกปิดนิดนึง แหะ ๆ) เราเห็นหมดแหละค่ะเวลาเดินผ่านหลัง เราก็ยังไปแอบแซวอยู่ว่าพี่ชอบอ่านการ์ตูนเรื่องนี้หรือ หนูก็ชอบ หนูก็เคยอ่าน เราก็เป็นมิตรน่ะค่ะ เพราะคิดว่าแค่ช่วงฝึกงาน ไม่น่าต้องจริงจังอะไร แต่ถ้าทำงานจริงเมื่อไรยังทำตัวแบบนี้ก็...นะคะ
.
ทีนี้เราจะขอสรุปพฤติกรรม รวมถึงนิสัยของนางนะคะ ได้แก่
- มาทำงานสาย (มาก) สายสุดในบริษัท คือที่โหล่เลยค่ะ สมมติบริษัทเข้างานสิบโมง นางมาสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงเที่ยงทุกวัน ย้ำ! ทุกวันค่ะ! แถมตอนเลิกงานสองทุ่ม X ก็จะเนียน ๆ อยู่ Late สักครึ่งชั่วโมงค่อยกลับ แต่เจ้านายแกก็ไม่อยากดุ เพราะเราอยู่กันแบบครอบครัว คือยังไงอะ...เราว่าที่เขาไม่กล้าดุ เพราะรุ่นพี่นักวาดภาพสามสี่คนในบริษัทมากกว่าค่ะ พวกพี่เค้าทำงานมาก่อนเราประมาณสี่ปีได้ แล้วเขาก็ทำกำไรให้บริษัทเยอะแยะ เขาถึงมาทำงานสายได้ ถือว่าเจ้านายสนิทสนมและรู้ไส้รู้พุง เจ้านายไม่ว่าค่ะ ก็นะ มีผลงานนี่เนอะ นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ X คิดว่าตัวเองคงเอาเยี่ยงอย่างได้ (เรื่องมาสาย) โดยที่เจ้านายจะไม่ว่าค่ะ
- ทำงานบรมห่วย คือเราสงสัยมากว่าเกือบสองปีที่ผ่านมาคือ X ไม่มีพื้นฐานเลยหรือ รอดสายตาเจ้านายมาได้ยังไง แต่คำถามที่ว่าผ่านมาได้ยังไงตั้งสองปี เราก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะ X มีเพื่อนคอยซัปพอร์ตค่ะ เพื่อนสนิทด้วย และเป็นคนเดียวกับสามสี่คนนั้นที่เราพูดถึง คนที่ทำเงินให้บริษัทเยอะ ๆ นั่นแหละค่ะ เพื่อนนางคงสงสาร คิดมาตลอดว่าอีกหน่อย X คงเก่งขึ้นเอง แต่ไม่เลยค่ะ เหมือนทักษะการวาดภาพจะไม่ดีขึ้นเลย เหมือนย่ำอยู่ที่เดิม และจะไม่ไปไหน อีกอย่าง เหมือนนางจะไม่ฝักใฝ่หาประสบการณ์เพิ่มเติมด้วย (ต่างกันสุดขั้วกับเรามาก)
- ลาป่วยบ่อย คือหนึ่งสัปดาห์ต้องมีหนึ่งวันค่ะ ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยการเมือง แล้วบริษัทเราจะมีกลุ่มไลน์เอาไว้ลางาน เราเคยแอบไปนับนะคะว่าตั้งแต่ต้นปี X ลาป่วยไปแล้วกี่วัน แม่เจ้า! ล่าสุดล่อไปแล้วยี่สิบสามวันค่ะ คือจะเอาครบโควต้าสามสิบวันตามกฎหมายให้ได้เลยสินะคะ (จริง ๆ ทั่ว ๆ ไปในบริษัทเขาก็ลาปีนึงเฉลี่ยสิบกว่าวันแหละค่ะ แต่ X แค่ลาหนักเกินไปในความคิดเรา) ถึงแม้จะว่าอะไรไม่ได้เพราะกฎหมายอนุญาตก็เถอะค่ะ แต่มันน่าเกลียดเกินไปไหมคะ? มาก็สาย ยังป่วยบ่อยอีก ครั้งหนึ่งวันที่เจ้านายจัดปาร์ตี้ ซึ่งปกติ X จะไม่ชอบมาร่วมงานอยู่แล้วค่ะ เพราะนางไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เจ้านายแกยังแอบถามเราเลยค่ะว่า X เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมชอบป่วย (เจ้านายตะล่อมถามเราค่ะ ออกแนวลองถามหยั่งเชิง พูดว่าเป็นห่วงลูกน้องงั้นงี้ กลัวป่วยหนัก แกคิดว่าเราเป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัยของ X เกรงว่าถ้าถามตรงไปก็อาจจะฟังแปลก ๆ) ซึ่งตอนนั้นเรายังให้คำตอบไม่ได้
- ขี้เกียจ รู้ทั้งรู้ว่ามีงานทำ ก็ยังจะแอบอ่านการ์ตูนในเวลางาน อันนี้เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังว่าทำไมเรารู้เยอะขนาดนั้น มันมีต้นตอสาเหตุค่ะที่ทำให้เราเริ่มสะกดรอย และเริ่มคิดอคติกับ X
.
เรื่องมันเริ่มจากเรานี่แหละค่ะ เราว่างงานเนื่องจากงานส่วนที่ต้องรับผิดชอบน่ะเสร็จไวเกิน บางช่วงเรานั่งว่างเป็นเดือนก็มี เลขาจึงรับคำสั่งจากเจ้านาย แกไหว้วานขอให้เราไปช่วยนางวาดภาพค่ะ เพราะงานภาพของ X น่ะ Late มา “แปดเดือน” แล้ว ไม่เสร็จสักที แถมโดนลูกค้าตำหนิมาอีกต่างหาก เราก็เลยต้องไปช่วยวาด จะได้เสร็จไว ๆ เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ
.
ฟังดี ๆ นะคะ เราอยู่ในฐานะคือ “ผู้ช่วย” ถึงแม้เราจะวาดภาพของ X ให้เสร็จเลยภายในเดือนเดียวก็ได้ แต่เราไม่ทำ เพราะเลขาบอกแค่ว่าให้ “ช่วย” ไม่ใช่ให้รับทำแทนนะคะ แต่แล้ว…ความเห็นแก่ตัวของ X ก็เผย เราแทบโมโหในวันนั้น อันนี้เรื่องเมื่อประมาณต้นปีนะคะที่เราเข้าไปช่วยวาดภาพ
.
คือ X นางแบบ...พยายามพูดเหมือนจะโยนงานให้เราทำแทนหมดน่ะค่ะ ทำแทนหมดทุกส่วนที่ต้องใช้สมอง ใช้ตรรกะแบบซับซ้อน แล้วนางจะเก็บส่วนที่ง่าย ๆ ส่วนที่แบบแทบไม่ต้องใช้สมองไว้ทำเอง ซึ่งมันน้อยมาก ๆ ยอมรับว่าช่วงเวลานั้นคือเราปรี๊ดในใจ แต่แสดงออกมาไม่ได้ค่ะ ซึ่งเราเป็นคนไม่ชอบการถูกเอาเปรียบเป็นทุนเดิม เราก็แสร้งพูดโน้มน้าวให้เขาทำในส่วนของเขาต่อ เรายืนยันจะช่วยแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ไม่เกินจากนี้แน่นอนค่ะ
.
นางก็ผิดหวังสิคะ แต่นางไม่ได้ชักสีหน้าหรือทำกิริยาไม่ดีหรอก เรายอมรับว่า X ไม่ใช่คนไม่ดีนะคะ นางนิสัยดีเลยแหละค่ะ ไม่มีพิษมีภัย เป็นคนเย็น ๆ ไม่เคยเห็นนางโกรธใครเลยสักครั้ง แต่เราติดอยู่ตรงจุดเดียวคือทัศนคติในการทำงานนี่แหละค่ะ ไม่ผ่าน ทีนี้พอเราเจอเหตุการณ์โยนงานใส่แบบนี้ เรารับไม่ได้ค่ะ เราเลยแอบไปคุยกับหัวหน้างาน (หัวหน้านะคะ ไม่ใช่เจ้านายที่เป็นบอสใหญ่) ว่า X พูดงั้นงี้กับเรานะ ซึ่งหัวหน้าเราก็เข้าใจเราเต็มร้อยค่ะ เขายังแซว ๆ เลยว่าพี่ก็แอบคิดอยู่ว่าที่ผ่านมา X ทำอะไรถึงเป็นได้ขนาดนี้ ก็นะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเราเป็นยังไง แล้วก็รู้ด้วยว่า X เป็นยังไง เราต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้ ไม่แปลกค่ะ เอาจริง ๆ เราเป็นคนไม่ว่าใครนะคะ ไม่ยุ่งกับใคร ถ้าเราไม่โดนกระทำก่อน
.
แต่โชคดีค่ะ อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเราก็โดนโยกออกจากงานของ X (โคตรดีใจ) เพราะงี้แหละค่ะ ตั้งแต่นั้นมาเราก็มอง X "ไม่เหมือนเดิม" อีกเลย จากทีแรกที่ไม่คิดอะไรก็เริ่มคิดจุกจิก ยอมรับตามตรงว่าทุกวันนี้แอบจับผิด X ทุกวัน อาจจะฟังดูเสียสุขภาพจิตใช่ไหมคะ ก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ เราแค่อยากรู้เฉย ๆ ว่านางจะทำยังไงต่อไป นางจะเดินหมากยังไงให้อยู่รอดกับบริษัทแห่งนี้ พอนางมีพฤติกรรมแบบนี้ เวลามีประชุมนะคะ เราสังเกตว่าพักหลังมานี้เจ้านายเหมือนจะเริ่มเพ่งเล็ง X แล้วค่ะ ซึ่งเราถูกอกถูกใจมาก ในที่สุดเจ้านายก็เริ่มเกมจิตวิทยาสักที
.
เจ้านายเราเริ่มให้ X รับผิดชอบงาน (งานแบบจริง ๆ จัง ๆ งานแบบทำคนเดียวค่ะ) เพราะก่อนหน้านี้ที่ทำให้นางรู้สึกว่างานของบริษัทเป็นงานหมู ๆ สบาย ๆ คงเพราะเป็นงานที่ร่วมด้วยช่วยกัน คือทำเป็นทีมนั่นแหละค่ะ นางเลยมีเพื่อนสนิทคอยช่วยซัปพอร์ตตลอดเวลา ติดตรงไหนก็เรียกเพื่อน ตรงไหนทำไม่ได้ก็รอเพื่อนมาทำแทน เรียกว่า X เป็นเบ๊ พอทีนี้ถึงเวลาที่ตัวเองต้องสร้างผลงานเดี่ยว ๆ ให้บริษัทแล้ว คือแบบ...เราตลกอะค่ะ นึกย้อนกลับไปคือจะหัวเราะ
.
เราแอบมองนางทำงานทุกครึ่งชั่วโมง (ที่นั่งเราห่างจากนางแค่สามโต๊ะ เอาจริง ๆ แค่แกล้งเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วชะเง้อไปก็เห็นแล้วค่ะว่านางทำอะไรอยู่) คือ X แบบ...ฮ่า ๆ นางเอาแต่นั่งกุมขมับเป็นส่วนใหญ่ นั่งกุมขมับเป็นเดือน ๆ เลยนะคะ ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น คือพื้นฐานคงไม่มีเลย ว่างเปล่า แล้วในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น เพื่อนสนิทของ X ก็ดันติดงานด้วย เลยให้ความช่วยเหลือไม่ได้ (สะใจ) เวลาสองปีที่ผ่านมาไม่มีพัฒนาการอะไรเลย มันเลยเป็นผลทำให้นางติดแหงกค่ะ ก็นะ เอาแต่นั่งอ่านการ์ตูนทั้งวัน ไม่ยอมพัฒนาทักษะในอาชีพ
.
เนี่ยแหละค่ะ พอโดนเจ้านายเล่นงาน โดนเจ้านายจี้หนัก ๆ นางคงเริ่มเครียด บางวันที่ประชุมคือ X จะโดนหนักเลย ต่อหน้าต่อตาทุกคนด้วยนะคะ เจ้านายจะแสร้งพูดตัดพ้อเป็นทีเล่นทีจริง เหมือนจะพูดติดตลกเลยก็ไม่ใช่ แกบอกประมาณว่า “เนี่ย ไม่มีบริษัทไหนแล้วนะที่ให้พนักงานลาได้เป็นเดือน ๆ มาสายก็ยังไม่ว่า” เจ้านายเล่นสงครามประสาทชัด ๆ ค่ะ ทำให้นางกระอักกระอ่วน อับอายเพื่อนร่วมงานคนอื่นน่าดู แต่ถามว่านางสะทกสะท้านไหม คงไม่นานมั้งคะ เพราะทุกวันนี้เรายังเห็น X แอบอ่านการ์ตูนอยู่เลย
.
มันมีวันนึงนะคะ เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อนค่ะ จะเล่าให้ฟัง เราโคตรมันไส้นางเลย คืองานค้างนางก็มี แต่มาทำงานกลับมานั่งอ่านการ์ตูนตั้งแต่เช้ายันเย็นอะค่ะ ยังไงอะ…ติดงอมแงมเลย อ่านแบบไม่ละสายตา ไม่ละสักตัวอักษร ไม่รู้จะอ่านอะไรนักหนา นอนอ่านที่บ้านจนดึกจนดื่นยังไม่พอหรือไง เวลางานไม่เป็นเวลางาน แต่มันจะมีจังหวะลนลานของนางนิดนึงคือเวลาเรา เลขา หรือเจ้านายแกล้งเดินผ่านข้างหลัง นางจะสลับหน้าจอไปทำงานค่ะ เนียนมาก! เราถึงรู้ว่า X ก็แอบเกร็งเรา แต่นางคงไม่รู้หรอกค่ะว่าเราจ้องจับผิดนางทุกฝีเท้าที่ทำได้ อย่างที่บอก แค่เราชะเง้อไปดูก็เห็นทุกอย่าง เราแค่ไม่พูดค่ะ แล้ววันนั้นนะคะ (เล่าต่อ) นางโดนเลขามาตามงานตอนใกล้เลิกงาน สรุป…นางหันไปขอให้เพื่อนสนิทช่วยทำค่ะ เพราะนางทำไม่เป็น เรานี่แบบ…หา! อย่างงี้ก็ได้หรือ งานการไม่ตั้งใจ แถมยังจะไปกินแรงคนอื่นอีก ตัวถ่วงชัด ๆ เลยค่ะ
.
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่