สวัสดีค่ะทุกคน
ตอนนี้เราเป็นรีเซ็ปชั่นอยู่โรงแรมแห่งหนึ่งค่ะ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมามีลูกค้าขาวปากีสถานเข้ามาพัก ห้องแหมมิลี่ 1 ห้อง ซึ่งพักได้ 3 คน และลูกค้าเข้ามามี แม่ ลูกสาว ลูกเขย ตอนเข้ามาน่าจะประมาณ 5 ทุ่มนิดๆแล้ว
ภาพที่เราเห็นตอนแรกคือ มีรถตู้มาส่งจากสนามบิน คุณแม่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ และมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า เราเลยเลื่อนเก้าอี้หน้าฟ้อนมาให้นั่ง และให้ลูกเขยมาเช็คอินตามปกติ ทางด้านลูกสาวก็ถามเราว่า ที่นี่มีลิฟต์รึเปล่า เราเลยบอกไปว่าไม่มี เรื่องมันเริ่มตรงนี้แหละค่ะ
พอเราบอกว่าไม่มีลูกสาวเขาโมโหมากเลยนะคะ เขาบอกว่า แล้วจะให้แม่ขึ้นไปยังไง แม่เจ็บขานะ ต้องหาคนมาช่วยยกแม่เขาขึ้นไป ซึ่ง อย่างที่บอกแหละค่ะ ว่าคุณแม่เขามีน้ำเยอะ ประกอบกับโรงแรมเป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีเราที่อยู่กลางคืนคนเดียว เราเลยแจ้งไปว่า ไม่มีคนมาช่วยเพราะมีดิฉันปฎิบัติหน้าที่คนเดียว เขาก็ไม่พอใจมากๆ จะเอาลิฟท์หรือเอสคนมายกให้ได้แน่ๆ
เราเลยแก้ปัญหาโดยการพาเขาไปเดินดูห้อง Dormitory ที่อยู่ชั้นล่างเลย เพื่อให้สะดวกไม่ต้องขึ้นลงบันได และห้องนั้นเราก็จะเปิดให้เขา 3 คนไปเลย เขาตามไป แต่ลูกสาวเขายังไม่พอใจ บอกว่า แม่นอนไม่ได้ แม่หายใจไม่ออก แม่ต้องการห้องโล่งๆ เราก็เลยบอกไปอีกครั้งว่า งั้นให้เราช่วยพยุงขึ้นด้านบนมั้ยคะ ซึ่งห้องของเขาอยู่ชั้น 2 ค่ะ เกือบติดบันไดเลย ตอนที่กำลังถกเถียงกันก็อยู่ชั้น 1
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พอใจ เขาบอกว่า ถ้างั้นก็จะนอนห้องพักพนักงาน ซึ่งอยู่หลังเคาเตอร์เซอร์วิส เราตกใจมากนะคะ รีบห้ามบอกว่าไม่ได้ เพราะมีของมีค่าด้านใน เขาก็โวยวาย แม่เขาก็บอกว่างั้นจะนอนที่ฟ้อน ทั้งลูกสาวลูกเขยก็รีบประคองพาไปนอนโซฟา ซึ่งเราจะปล่อยให้นอนอยู่ตรงนั้นก็ไม่ใช่เรื่อง แถมมีลูกค้าคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมา ลูกสาวเขาก็ไปดักบอกว่าให้ช่วยยกแม่เขาขึ้นด้านบนหน่อย
เรื่องยืดเยื้อจนผ่านไปเป็นวันศุกร์แล้ว เขาก็ยังไม่ขึ้นห้องกัน แล้วมาบอกเราว่า ในวันที่ 10 เขาไม่ได้ห้องพัก แต่จะได้ในวันที่ 11 งั้นเขาจะเช็คเอาออกวันที่ 19 จากเดิมคือวันที่ 17 เราไม่เคยเจอลูกค้าแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ อาจตะเพราะเพิ่งเริ่มงานเดือนแรกมั้งคะ
แต่เราก็ไม่สามารถให้เป็นอย่างนั้นได้ เลยกลับมานั่งที่เคาเตอร์แล้วโทรหาเจ้าของโรงแรม เพื่อหาทางออกตอนนี้ และเรื่องที่ไม่สมควรเกิดคือ ลูกสาวเขาตามมานั่งกับเราในเคาเตอร์ อีกไม่ถึงเมตรจะภึงตัวเราแล้ว เจ้าของโรงแรมเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดท่าทางไม่ดีเลยให้เราประสานไปทางตำรวจ ให้ติดต่อมูลนิธิเพื่อมาช่วยยกแม่เขาขึ้นบนห้องให้จบเรื่อง และให้เราเข้าไปล็อคประตูอยู่ในห้องไม่ต้องออกมาจนกว่ากู้ภัยจะมา เราก็รีบเข้าห้องตามที่พี่เขาบอก
รออยู่พักใหญ่ๆ กู้ภัยถึงจะมา เราก็ออกไป พี่กู้ภัยดูหน้างานแล้วส่ายหัว เขาบอกว่าทางชัน ประกอบกับน้ำหนักตัว และกู้ภัยมากันแค่ 2 คน ถ้าจะยก อาจตะต้องใช้เปล และคน 4 คน ช่วยกันยก
เราฟังแล้วท้อใจมากเลยค่ะ เลยบอกให้ทางมูลนิธิติดต่อสายตรวจให้เขามาเคลียร์สถานการณ์ให้หน่อย
พอลูกสาวเขาทราบว่า กู้ภัยยกให้ไม่ได้เขาก็มีท่าทีไม่พอใจขึ้นมาอีก โวยวายว่าจะเอาลิฟท์ ไม่งั้นก็ต้องช่วยแม่เขาให้ถึงที่สุด
รอจนสายตรวจมากันถึง 5 คน เพื่อมาช่วยคุยให้ เขาก็ถามความต้องการของลูกค้า หาตรงกลางของเรื่องนี้เพื่อหาทางออก คุยกันอยู่เป็นชั่วโมงเลยค่ะ ทั้งเสนอว่าให้เปลี่ยนมาเป็นห้อง Dormitory หรือไม่ก็กดยกเลิก ขอรีฟันเงินคืนจากแอพต้นทางที่จองมา หรือไม่ก็ขึ้นห้องไปให้จบเรื่อง เดี๋ยวจะช่วยกันพยุงขึ้นไป
คือท่าทางเขาตอนนี้ไม่เฟียสเหมือนตอนมีแค่เราคนเดียวแล้วนะคะ แต่ก็ยังมี ให้ตำรวจหาโรงแรมให้ใหม่ และไม่รับข้อเสนอใดๆจากเราเลย
คุณตำรวจเลยขอคุยกับเจ้าของโรงแรม จนได้ข้อสรุปว่า ให้เช็คเอาออกตามวันบุ๊คกิ้ง ถ้าไม่พอใจยังไงให้กดยกเลิกแล้วออกไปได้เลย เพราะพฤติกรนมคุกคามเรามาก
คุณตำรวจก็เลยมาคุยให้อีกครั้ง คราวนี้ พอได้ยินคำว่ากดยกเลิกไปบ่อยๆ เขาก็เลยขอดูห้องที่เขาจะได้พัก เราก็พาขึ้นไปดูนะคะ คนที่ไปดูคือลูกเขย แล้วเขาก็ลงมาคุยอะไรกันก็ไม่รู้ เขาสื่อสารภาษา อูรดู นะคะ สรุปก็ยอมขึ้นห้อง
กู้ภัยกับสายตรวจเลยกลับไปดูเคสอื่นๆอีก
สุดท้ายแล้วแม่เขาก็เดินขึ้นห้องเองแบบใช้ไม้เท้าค่ะ เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะยืดเยื้อเวลาจนผ่านมา 2-3 ชั่วโมงทำไม ถ้าพอเดินได้ เราช่วยพยุงอยู่แล้วค่ะ หรือไม่สัมภาระต่างๆเราก็ช่วยถือขึ้นไปได้ พร้อมให้บริการทุกอย่างโดยดี
สุดท้ายแล้วเราโดนเขายืนด่าฟรีเป็นชั่วโมง เขามาคุกคามให้หวาดกลัวเล่นๆ และเขาก็มีเรื่องโวยวายทุกวัน ทุกชั่วโมง จนเราแทบไม่ได้ให้บริการลูกค้าคนอื่นที่เขาเดือนร้อนจริงๆอีก
นิสัยพื้นเพคนประเทศนี้เป็นแบบนี้หรือเป็นแค่บ้านนี้คะ
คนประเทศนี้นิสัยอย่างนี้เป็นปกติหรอคะ
ตอนนี้เราเป็นรีเซ็ปชั่นอยู่โรงแรมแห่งหนึ่งค่ะ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมามีลูกค้าขาวปากีสถานเข้ามาพัก ห้องแหมมิลี่ 1 ห้อง ซึ่งพักได้ 3 คน และลูกค้าเข้ามามี แม่ ลูกสาว ลูกเขย ตอนเข้ามาน่าจะประมาณ 5 ทุ่มนิดๆแล้ว
ภาพที่เราเห็นตอนแรกคือ มีรถตู้มาส่งจากสนามบิน คุณแม่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ และมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า เราเลยเลื่อนเก้าอี้หน้าฟ้อนมาให้นั่ง และให้ลูกเขยมาเช็คอินตามปกติ ทางด้านลูกสาวก็ถามเราว่า ที่นี่มีลิฟต์รึเปล่า เราเลยบอกไปว่าไม่มี เรื่องมันเริ่มตรงนี้แหละค่ะ
พอเราบอกว่าไม่มีลูกสาวเขาโมโหมากเลยนะคะ เขาบอกว่า แล้วจะให้แม่ขึ้นไปยังไง แม่เจ็บขานะ ต้องหาคนมาช่วยยกแม่เขาขึ้นไป ซึ่ง อย่างที่บอกแหละค่ะ ว่าคุณแม่เขามีน้ำเยอะ ประกอบกับโรงแรมเป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีเราที่อยู่กลางคืนคนเดียว เราเลยแจ้งไปว่า ไม่มีคนมาช่วยเพราะมีดิฉันปฎิบัติหน้าที่คนเดียว เขาก็ไม่พอใจมากๆ จะเอาลิฟท์หรือเอสคนมายกให้ได้แน่ๆ
เราเลยแก้ปัญหาโดยการพาเขาไปเดินดูห้อง Dormitory ที่อยู่ชั้นล่างเลย เพื่อให้สะดวกไม่ต้องขึ้นลงบันได และห้องนั้นเราก็จะเปิดให้เขา 3 คนไปเลย เขาตามไป แต่ลูกสาวเขายังไม่พอใจ บอกว่า แม่นอนไม่ได้ แม่หายใจไม่ออก แม่ต้องการห้องโล่งๆ เราก็เลยบอกไปอีกครั้งว่า งั้นให้เราช่วยพยุงขึ้นด้านบนมั้ยคะ ซึ่งห้องของเขาอยู่ชั้น 2 ค่ะ เกือบติดบันไดเลย ตอนที่กำลังถกเถียงกันก็อยู่ชั้น 1
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พอใจ เขาบอกว่า ถ้างั้นก็จะนอนห้องพักพนักงาน ซึ่งอยู่หลังเคาเตอร์เซอร์วิส เราตกใจมากนะคะ รีบห้ามบอกว่าไม่ได้ เพราะมีของมีค่าด้านใน เขาก็โวยวาย แม่เขาก็บอกว่างั้นจะนอนที่ฟ้อน ทั้งลูกสาวลูกเขยก็รีบประคองพาไปนอนโซฟา ซึ่งเราจะปล่อยให้นอนอยู่ตรงนั้นก็ไม่ใช่เรื่อง แถมมีลูกค้าคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมา ลูกสาวเขาก็ไปดักบอกว่าให้ช่วยยกแม่เขาขึ้นด้านบนหน่อย
เรื่องยืดเยื้อจนผ่านไปเป็นวันศุกร์แล้ว เขาก็ยังไม่ขึ้นห้องกัน แล้วมาบอกเราว่า ในวันที่ 10 เขาไม่ได้ห้องพัก แต่จะได้ในวันที่ 11 งั้นเขาจะเช็คเอาออกวันที่ 19 จากเดิมคือวันที่ 17 เราไม่เคยเจอลูกค้าแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ อาจตะเพราะเพิ่งเริ่มงานเดือนแรกมั้งคะ
แต่เราก็ไม่สามารถให้เป็นอย่างนั้นได้ เลยกลับมานั่งที่เคาเตอร์แล้วโทรหาเจ้าของโรงแรม เพื่อหาทางออกตอนนี้ และเรื่องที่ไม่สมควรเกิดคือ ลูกสาวเขาตามมานั่งกับเราในเคาเตอร์ อีกไม่ถึงเมตรจะภึงตัวเราแล้ว เจ้าของโรงแรมเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดท่าทางไม่ดีเลยให้เราประสานไปทางตำรวจ ให้ติดต่อมูลนิธิเพื่อมาช่วยยกแม่เขาขึ้นบนห้องให้จบเรื่อง และให้เราเข้าไปล็อคประตูอยู่ในห้องไม่ต้องออกมาจนกว่ากู้ภัยจะมา เราก็รีบเข้าห้องตามที่พี่เขาบอก
รออยู่พักใหญ่ๆ กู้ภัยถึงจะมา เราก็ออกไป พี่กู้ภัยดูหน้างานแล้วส่ายหัว เขาบอกว่าทางชัน ประกอบกับน้ำหนักตัว และกู้ภัยมากันแค่ 2 คน ถ้าจะยก อาจตะต้องใช้เปล และคน 4 คน ช่วยกันยก
เราฟังแล้วท้อใจมากเลยค่ะ เลยบอกให้ทางมูลนิธิติดต่อสายตรวจให้เขามาเคลียร์สถานการณ์ให้หน่อย
พอลูกสาวเขาทราบว่า กู้ภัยยกให้ไม่ได้เขาก็มีท่าทีไม่พอใจขึ้นมาอีก โวยวายว่าจะเอาลิฟท์ ไม่งั้นก็ต้องช่วยแม่เขาให้ถึงที่สุด
รอจนสายตรวจมากันถึง 5 คน เพื่อมาช่วยคุยให้ เขาก็ถามความต้องการของลูกค้า หาตรงกลางของเรื่องนี้เพื่อหาทางออก คุยกันอยู่เป็นชั่วโมงเลยค่ะ ทั้งเสนอว่าให้เปลี่ยนมาเป็นห้อง Dormitory หรือไม่ก็กดยกเลิก ขอรีฟันเงินคืนจากแอพต้นทางที่จองมา หรือไม่ก็ขึ้นห้องไปให้จบเรื่อง เดี๋ยวจะช่วยกันพยุงขึ้นไป
คือท่าทางเขาตอนนี้ไม่เฟียสเหมือนตอนมีแค่เราคนเดียวแล้วนะคะ แต่ก็ยังมี ให้ตำรวจหาโรงแรมให้ใหม่ และไม่รับข้อเสนอใดๆจากเราเลย
คุณตำรวจเลยขอคุยกับเจ้าของโรงแรม จนได้ข้อสรุปว่า ให้เช็คเอาออกตามวันบุ๊คกิ้ง ถ้าไม่พอใจยังไงให้กดยกเลิกแล้วออกไปได้เลย เพราะพฤติกรนมคุกคามเรามาก
คุณตำรวจก็เลยมาคุยให้อีกครั้ง คราวนี้ พอได้ยินคำว่ากดยกเลิกไปบ่อยๆ เขาก็เลยขอดูห้องที่เขาจะได้พัก เราก็พาขึ้นไปดูนะคะ คนที่ไปดูคือลูกเขย แล้วเขาก็ลงมาคุยอะไรกันก็ไม่รู้ เขาสื่อสารภาษา อูรดู นะคะ สรุปก็ยอมขึ้นห้อง
กู้ภัยกับสายตรวจเลยกลับไปดูเคสอื่นๆอีก
สุดท้ายแล้วแม่เขาก็เดินขึ้นห้องเองแบบใช้ไม้เท้าค่ะ เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะยืดเยื้อเวลาจนผ่านมา 2-3 ชั่วโมงทำไม ถ้าพอเดินได้ เราช่วยพยุงอยู่แล้วค่ะ หรือไม่สัมภาระต่างๆเราก็ช่วยถือขึ้นไปได้ พร้อมให้บริการทุกอย่างโดยดี
สุดท้ายแล้วเราโดนเขายืนด่าฟรีเป็นชั่วโมง เขามาคุกคามให้หวาดกลัวเล่นๆ และเขาก็มีเรื่องโวยวายทุกวัน ทุกชั่วโมง จนเราแทบไม่ได้ให้บริการลูกค้าคนอื่นที่เขาเดือนร้อนจริงๆอีก
นิสัยพื้นเพคนประเทศนี้เป็นแบบนี้หรือเป็นแค่บ้านนี้คะ