JJNY : 5in1 เจอฝ่ายอนุรักษ์ยื้อยุด│ธนาธรยกเคสตากใบ│‘TDRI’ห่วงการคลังไทย│ภาคธุรกิจโอดท่วมเชียงใหม่│อิสราเอลลั่น“ไม่ระคาย”

ธเนศ ชี้รัฐไทยมีปัญหากับตัวเอง เจอฝ่ายอนุรักษ์ยื้อยุด ย้ำอย่าเอาอดีตมาเป็นความชอบธรรม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4831262

ธเนศ ชี้รัฐไทยมีปัญหากับตัวเอง เจอฝ่ายอนุรักษ์ยื้อยุด ย้ำอย่าเอาอดีตมาเป็นความชอบธรรม

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ มีการจัดงาน “ครบรอบ 48 ปี 6 ตุลาฯ 2519” ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณสวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ “ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ว่ามีผู้ทยอยเดินทางมาร่วมรำลึกอย่างต่อเนื่อง

เวลา 13.30 น. ที่หอประชุมศรีบูรพา มีเสวนาหัวข้อ “คนเดือนตุลาหลังเดือนตุลา : การเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ทางการเมืองของคนเดือนตุลาหลังทศวรรษ 2520” วิทยากรได้แก่ นายอธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์ชื่อดัง และ ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

ในตอนหนึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศกล่าวว่า รัฐไทยมีปัญหากับตัวเองมาโดยตลอด เรามีพรรคการเมืองที่ 10 ปีก่อนเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นตัวแทนของใครก็ไม่รู้ เผลอๆ อาจจะเป็นชนชั้นนำเพียงหยิบมือเดียว ลักษณะที่มันขัดแย้งกันแบบนี้ ประเทศอื่นเกิดยาก เพราะเวลาไป มักไปด้วยกันทั้งแท่ง แต่ของเราไปเพียงบางส่วน ส่วนที่ยื้อความเป็นอนุรักษนิยมคือส่วนบนของสังคม อุดมการณ์ อำนาจรัฐ โครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งพยายามที่จะรักษาความเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันหลุดออกไปจากชนชั้นอนุรักษนิยม

ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศกล่าวต่อไปว่า ส่วนตัวมองว่าถึงเวลาแล้วที่ควรตัดขาดจากอดีตของเดือนตุลา คือจะเก็บไว้เป็นความทรงจำรวมถึงด้านคุณูปการนั้นย่อมได้ มีผู้เขียนบทเพลง สร้างสรรค์งานวรรณกรรมเก็บไว้ โดยเป็นเรื่องอดีตของการต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่อำนาจรัฐ โดยเฉพาะรัฐบาล และพรรคการเมือง รวมถึงเอ็นจีโอที่เคยเข้าร่วมในการต่อสู้ขณะนั้น คิดว่าการกลับไปหาอดีตเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง โดยบอกว่าตนเป็นคนเดือนตุลา เคยทำอย่างนั้น อย่างนี้ มันหมดแล้ว มันไม่ได้แล้ว เพราะอำนาจรัฐกำกับด้วยชนชั้นปกครอง โจทย์ใหม่คือต้องสู้

เพราะฉะนั้น การที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคอื่นๆ พรรคลุงตู่ พรรคลุงป้อม ทำไปเลย ไม่ต้องอ้างเสื้อแดง อ้างเดือนตุลา ทิ้งเลย แล้ววางแผนว่าจะทำอะไร พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล ที่ตอนนี้คือพรรคประชาชน เขาก็มีนโยบายใหม่ เสนอของตัวเองเข้ามา ไม่ต้องอ้างว่าเคยเป็นอดีตผู้ปฏิบัติงานอะไรมาก่อน คือ เอาไว้เล่ากันในวงเหล้า พอได้ แต่ในแง่ของการนำเสนอ ในการทำงาน มันควรจะขีดเส้นว่าอันนี้เป็นการเมืองของปัจจุบัน มันมีผลประโยชน์ มีความได้เปรียบ เสียเปรียบ วิธีการต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะ ไม่ต้องโจมตีใครว่าเป็นอดีตสหาย มันไม่เกี่ยว จะเป็นก็เป็นไป ไม่ได้เป็นตัวจำกัดความเป็นผู้นำทางการเมือง

แน่นอนว่า การต่อสู้ทางการเมืองต้องเอาชนะฝ่ายตรงข้ามเพื่อไปสู่จุดหมายที่ต้องการ เพราะฉะนั้นประชาชน หรือส่วนที่จะเป็นแนวร่วมต้องจำกัดความตำแหน่งของตัวเองว่าอยู่ตรงไหน เขยิบไปสู่ความเป็นจริงทางการเมือง เพราะในที่สุดแล้ว การต่อสู้ทางการเมือง อำนาจรัฐมันจะต้องไปดูความสัมพันธ์กับการเมืองโลก การเมืองไทยไม่ได้อยู่เฉพาะเมืองไทย หรืออาเซียน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ในรัสเซีย ในยูเครน ในไต้หวัน โอกาสเกิดสงครามขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็กมีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นทุกประเทศต้องวางจุดหมาย วางการเปลี่ยนแปลงของตัวเองให้ตอบโจทย์นั้น ไม่ใช่มาบอกว่า 5 ปีที่แล้วอยู่กับเสื้อเหลือง เสื้อแดง เลิก! ไม่มีแล้วเสื้อไหน มีเสื้อเดียว คือเสื้อที่อยากใส่ ใส่ได้ไหมล่ะ ถ้าใส่ได้ก็ใส่ แล้วเดินไปข้างหน้า” ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศกล่าว.


ธนาธรยกเคสตากใบ
ธนาธร รำลึก 6 ตุลา ยกเคสตากใบ วัฒนธรรมคนผิดลอยนวล ปลุกปชช.ลุ้นนำจำเลยขึ้นศาลให้ทันอายุความ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4831143

‘ธนาธร’ รำลึก 6 ตุลาฯ ยกตากใบ เป็นวัฒนธรรมคนผิดลอยนวล ปลุกปชช.รอลุ้นนำจำเลยขึ้นศาลทันอายุความหรือไม่
 
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 6 ตุลาคม ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้จัดรำลึก 48 ปี 6 ตุลาฯ กระจกส่องสังคมไทย โดยได้ฉายภาพยนตร์สารคดีเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ “ต่างความคิดผิดถึงตาย” จากนั้นเวลา 12.30 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า กล่าวรำลึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์และความอาลัยต่อวีรชน ตอนหนึ่งถึงเหตุการณ์ถังแดง พลทหารเสียชีวิต และเหตุการณ์ตากใบ โดยในเหตุการณ์ตากใบที่ผู้ชุมนุมที่นับพันถูกให้ขึ้นรถทหารนอนทับกันไปบนรถนานกว่า 3 ชั่วโมงเมื่อไปถึงค่ายทหารมีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 78 ราย
 
เหตุการณ์นี้ศาลชี้ว่าการตายเกิดจากดารขาดอากาศหายใจ และเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ มีภาคประชาชน รณรงค์ครั้งแล้วครั้งเล่าเรียกร้องให้คนทำผิดมาลงโทษแต่กลับไม่มีความคืบหน้า รวมถึงคดีที่มีการเสียชีวิต 78 รายด้วย จนกระทั่งคดีใกล้จะหมดอายุความ มีการออกหมายจับทหารและตำรวจระดับสูง 7 คน แต่จนถึงวันนี้อีก 19 วันจะหมดอายุความยังตามจับคนเหล่านั่นมาขึ้นศาลไม่ได้สักคน” นายธนาธรกล่าว
 
นายธนาธรกล่าวอีกว่า หนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกาสภาผู้แทนราษฎร อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น โดยมีการมีการส่งหนังสือลาไปยังประธานสภาฯ วันที่ 26 ส.ค.-30 ต.ค. อ้างว่าไปรักษามะเร็งที่ต่างประเทศ ซึ่งประชาชนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการหลีกเลี่ยงคดีหรือไม่ ถ้าภายในวันที่ 25 ต.ค.นี้ยังตามจำเลยขึ้นศาลไม่ได้คดีก็จะหมดอายุความ สามเหตุการณ์ที่กล่าวมานั้นเป็นคำถามว่าเรายอมรับกับเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร
 
ซึ่ง 3 สถานการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ของคนผิดที่ยังลอยนวลในสังคมไทย คนที่ทำผิดไม่เคยถูกดำเนินคดีสักครั้ง ตนคิดว่าเป็นความล้มเหลวทางสามัญสำนึกครั้งใหญ่ในสังคมไทย ดังนั้นตนขอเสนอวัฒนธรรมคนลอยนวลนี้ไม่ใช่ความล้มเหลวของระบบ แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ระบบนี้ยังอยู่ได้ ซึ่งระบบนี้คือระเบียบทางสังคม เศรษฐกิจการเมืองที่มีระดับชั้นอย่างจารีต ตนพยายามสร้างสังคมไทยให้เป็นประชาธิปไตย มีความเสมอภาคและความเท่าเทียม ที่ผ่านมาตนตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาและถูกตัดสิทธิไปแล้วในคดี 112 แต่ตนอยากจะบอกว่า นี่ไม่ใช่เวลาแห่งการท้อถอย และช่วงเวลาในการเลือกตั้งปี 2566 เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากหลาย การแสดงให้เห็นว่าสังคมนั้นเคลื่อนไหวไปไกลมาก และสังคมมีความก้าวหน้า จึงอยากเชิญชวนทุกคนร่วมรำลึก 6 ตุลาฯให้เข้มแข็ง และเดินหน้าต่อไป” นายธนาธรกล่าว



รายได้ภาษีลด – หนี้สาธารณะพุ่ง ! ‘TDRI’ ห่วงการคลังไทยไม่พร้อมรับมือวิกฤติ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1147645

ทีดีอาร์ไอชี้ การคลังไทยระยะยาวเผชิญความเสี่ยง หลังสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งต่อเนื่อง สัดส่วนการขาดดุลต่อจีดีพีขึ้นมาสูงกว่า 3% สูงกว่าตัวเลขในอดีต ชี้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น มีนัยต่อการเมืองพรรคการเมืองอาจใช้นโยบายนี้จนทำให้การคลังไทยอ่อนแอมากขึ้น

• ทีดีอาร์ไอชี้การคลังไทยระยะยาวเผชิญความเสี่ยง หลังสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งต่อเนื่อง สัดส่วนการขาดดุลต่อจีดีพีขึ้นมาสูงกว่า 3%  
 
• ห่วงกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น มีนัยต่อการเมืองพรรคการเมืองอาจใช้นโยบายนี้ต่อเนื่องจนทำให้การคลังไทยอ่อนแอมากขึ้นและหนี้สาธารณะในอนาคตอาจสูงเกิน 70%
 
• หนี้สาธารณะที่สูงทำให้พื้นที่ทางการคลังไทยเหลือน้อยลง หากเกิดวิกฤติขนาดใหญ่จะมีความเสี่ยงวิกฤติการคลังมากขึ้น 
 
ประเทศไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุลงบประมาณมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี จนหลายคนอาจมองเป็นเรื่องปกติแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการขาดดุลงบประมาณของไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ข้อเท็จจริงก็คือในอดีตประเทศไทยเราขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับไม่เกิน 1% ต่อจีดีพี แต่ในปัจจุบันเราขาดดุลงบประมาณเกิน 3% ขณะที่ในแผนการคลังระยะปานกลาง (2567 -2571) สัดส่วนการขาดดุลงบประมาณของไทยอยู่ที่สัดส่วน 3 – 4.4% ต่อจีดีพี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงจนกระทรวงการคลัง และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ได้มีข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลว่าควรลดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณลงให้ไม่เกิน 3% เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังในระยะยาว
 
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในหัวข้อ “สัญญาณเตือนวิกฤติการคลังของไทย ถึงเวลาปฏิรูปได้หรือยัง” จัดโดยศูนย์การศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ NIDA เกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะของไทยที่สูงขึ้นมากว่าการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยเพิ่มขึ้น  
 
ทั้งนี้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นก็มาจากรายจ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐจากภาษีลดลงเมื่อเทียบกับสัดส่วนจีดีพี โดยในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมาการจัดเก็บรายได้ของรัฐในส่วนนี้ลดลง โดยการลดลงไม่ใช่ลดลงในเรื่องของเม็ดเงินแต่เมื่อลดลงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของจีดีพี จากเดิมเราเคยเก็บได้ 17-18% ของจีดีพี มาอยู่ที่ 13 – 14% ของจีดีพี
 
ซึ่งเมื่อรายรับของรัฐบาลลดลงมากก็ทำให้รายจ่ายของภาครัฐควรจะลดลงไปด้วยโดยสัดส่วน แต่ที่ผ่านมาภาครัฐมีการใช้จ่ายที่มากขึ้นทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีมากขึ้นด้วยซึ่งเห็นได้ชัดในช่วง 10 ปีผ่านมา
 
ในอนาคตมองว่าการคลังของภาครัฐจะมีปัญหามากขึ้น ปัจจุบันหนี้สาธารณะของรัฐบาลอยู่ที่ 64% ต่อจีดีพี และจะขึ้นไปในระดับ 70% แม้ว่าจะมีคนบอกว่า 70% ไม่น่ากลัว เพราะหลายประเทศหนี้สาธารณะต่อจีดีพีขึ้นไปที่ 100 – 200% ต่อจีดีพี ซึ่งสิ่งที่ต้องดูคือการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น หากระดับการเพิ่มขึ้นปีละ 3- 4% แบบนี้มองว่าน่ากลัว แล้วคำถามก็คือว่าทำไมหนี้สาธารณะถึงขึ้นได้เร็วขนาดนั้น คำตอบก็คือเราไม่ได้มีการปฏิรูปภาษีเมื่อรัฐมีรายจ่ายมากขึ้นแต่รายรับลดลงก็ทำให้ภาครัฐต้องขาดดุลมากขึ้น หนี้สาธารณะจึงเพิ่มขึ้นทุกปี”  
 
ดร.สมชัยระบุด้วยว่าที่สำคัญก็คือลักษณะของรายจ่ายภาครัฐในช่วงหลังเป็นการใช้จ่ายเพื่อผลประโยชน์ในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของการแจกเงินและโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะทำต่อไปก็ต้องเอาการแจกเงินแบบนี้มาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถามว่ามีความจำเป็นและเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้หรือไม่
 
ทั้งที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในช่วงนี้ไม่ใช่แก้ได้ด้วยการแจกเงินแบบนี้ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าเป็นการโยงในมิติทางการเมืองเพราะพรรคการเมืองจะมองว่านโยบายแบบนี้จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ในอนาคต ซึ่งคาดเดาได้ว่าพรรคต่างๆก็จะทำแบบนี้ และหากแนวทางยังเป็นแบบนี้พรรคการเมืองจะเข้ามาแจกเงินไปเรื่อยๆ หนี้สาธารณะของไทยจะไม่ได้อยู่ที่ 70% ต่อจีดีพีจะสูงขึ้นไปกว่านั้น
 
สิ่งที่เห็นก็คือการทำนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นมีการไปปรับเปลี่ยนนโยบายการคลังในระยปานกลางเนื่องจากมีการขยายวงเงินงบประมาณออกไปจนเกือบจะชนเพดานตามกฎหมาย ซึ่งมีช่องว่างทางงบประมาณเกือบจะชนเพดานที่กำหนดไว้ คำถามก็คือหาก "พื้นที่ทางการคลัง" เหลือน้อยแล้วเกิดวิกฤติที่หนักๆขึ้นเช่น หากเกิดน้ำท่วมใหญ่มากกว่าที่เป็นอยู่และต้องใช้เงินในการเยียวยามากขึ้น ก็คือต้องมีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ในการกู้เงินเพิ่มเติมเหมือนที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เคยทำตอนเจอกับโควิด-19 ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงมากขึ้นไปด้วย
 
การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นไปเยอะๆนั้นก็จะทำให้ความสามารถทางการคลังในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินในอนาคตนั้นก็จะมีปัญหาตามไปด้วยในระยะยาว เนื่องจากเราต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในการฟื้นฟูและเยียวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อนาคตหนี้มีโอกาสสูงกว่า 70% ของจีดีพีได้” ดร.สมชัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่