อารมณ์ของใจสุดท้าย” มีความสำคัญมาก หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) ได้เคยเทศน์ไว้ โดยยกตัวอย่างว่า
ในโบราณกาล ท่านโฆษกเทพบุตรตอนที่เกิดเป็นคนนั้นเห็นมหาเศรษฐีท่านหนึ่งมีสุนัข มหาเศรษฐีกินข้าวมธุปายาสก็แบ่งให้สุนัขของท่านกินด้วย ท่านโฆษกเทพบุตรก่อนที่จะตาย แกมองดูสุนัขตัวนั้นว่า มันยังดีกว่าเรา ตั้งแต่เกิดมา ข้าวมธุปายาสก็ไม่เคยกินเลย จิตใจไปจับในเรื่องสุนัข ในที่สุดก็ตาย จิตหลังตายก็เข้าไปสู่ครรภ์ของสุนัข เลยเกิดมาเป็นลูกสุนัข แต่อาศัยการที่ตายจากความเป็นคนไปจึงมีความรู้สึกอย่างคน รู้ภาษาคนทุกอย่าง
นี่สังเกตให้ดี... สุนัขที่เราเลี้ยง แมวที่เราเลี้ยง ถ้าเราพูดรู้ภาษาง่ายๆ เจ้าพวกนี่มีสองสถาน คือ ถ้าไม่เกิดมาจากคนก็มาจากเทวดา
พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็จะเกิดเป็นเทวดาใหม่หรือจะเป็นพรหมใหม่นี่ยากแสนยาก จะมาค้างอยู่แค่มนุษย์ก็แสนยากเหมือนกัน ส่วนมากลงอบายภูมิ เพราะคนเราที่ไปเกิดเป็นเทวดาด้วยอาศัยบุญเบื้องหลัง เกิดมาย่อมทำบาปด้วยกันทุกคน แต่หากก่อนตายเราสร้างความดี เราก็ไปเป็นเทวดาก่อน เป็นพรหมก่อน พอหมดวาสนาบารมีก็ต้องไปใช้หนี้กรรม คืออกุศลต้องลงอบายภูมิ ...ใช่ไหม ทีนี้ ถ้าเราจะไปกันก็อย่าไปมันเลยแค่เทวดากับพรหมน่ะ ดีไม่ดี...พอหมดวาสนาบารมี มันก็จะไปตกแค่ท้องหมาแมว มันยังดีนะ มีข้าวกินน่ะ ถ้าลงนรกนี่มันแย่...กว่าจะได้มาเกิดใหม่
เป็นอันว่า จิตใจของเรามีความสำคัญ ก่อนตายจิตใจของเราจับจุดไหน แค่นึกจะไปจับพระนิพพานยังได้ การลงนรกต้องลงทุนทำบาป แต่ไปสวรรค์ ไปนิพพาน แค่มีจิตคิดแต่เรื่องที่เป็นกุศลที่อยากทำหรือได้ทำก็ไปสวรรค์เลย โดยทำได้ เช่น อยากเป็นพรหมก็นอนภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำจิตเบิกบาน นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงการทำทาน เป็นบริจาค เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน ตอนตายก็ไปเกิดเป็นพรหม แต่ถ้าอยากไปนิพพานก็คิดแต่เรื่องที่ปล่อยวาง ทุกอย่างที่มีที่หามาไม่ใช่ของเรา ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา เป็นไปตามพระพุทธเจ้ากล่าว เมื่อจิตเป็นอิสระ ไม่ยึดติดสิ่งใด ปล่อยวางได้ นิพพานก็ไปได้...ไม่ยาก...เมื่อเราตายไป
ที่มา : หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 46 รวมธรรมเทศนาของ...หลวงพ่อระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
https://www.tnews.co.th/variety/398535
พระอริยะสงฆ์ฤๅษีลิงดำบอกไว้ สิ่งสุดท้ายก่อนตาย. จิตใจของเราจับจุดไหนจะเป็นตัวกำหนดได้ตายแล้วไปไหน?
ในโบราณกาล ท่านโฆษกเทพบุตรตอนที่เกิดเป็นคนนั้นเห็นมหาเศรษฐีท่านหนึ่งมีสุนัข มหาเศรษฐีกินข้าวมธุปายาสก็แบ่งให้สุนัขของท่านกินด้วย ท่านโฆษกเทพบุตรก่อนที่จะตาย แกมองดูสุนัขตัวนั้นว่า มันยังดีกว่าเรา ตั้งแต่เกิดมา ข้าวมธุปายาสก็ไม่เคยกินเลย จิตใจไปจับในเรื่องสุนัข ในที่สุดก็ตาย จิตหลังตายก็เข้าไปสู่ครรภ์ของสุนัข เลยเกิดมาเป็นลูกสุนัข แต่อาศัยการที่ตายจากความเป็นคนไปจึงมีความรู้สึกอย่างคน รู้ภาษาคนทุกอย่าง
นี่สังเกตให้ดี... สุนัขที่เราเลี้ยง แมวที่เราเลี้ยง ถ้าเราพูดรู้ภาษาง่ายๆ เจ้าพวกนี่มีสองสถาน คือ ถ้าไม่เกิดมาจากคนก็มาจากเทวดา
พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็จะเกิดเป็นเทวดาใหม่หรือจะเป็นพรหมใหม่นี่ยากแสนยาก จะมาค้างอยู่แค่มนุษย์ก็แสนยากเหมือนกัน ส่วนมากลงอบายภูมิ เพราะคนเราที่ไปเกิดเป็นเทวดาด้วยอาศัยบุญเบื้องหลัง เกิดมาย่อมทำบาปด้วยกันทุกคน แต่หากก่อนตายเราสร้างความดี เราก็ไปเป็นเทวดาก่อน เป็นพรหมก่อน พอหมดวาสนาบารมีก็ต้องไปใช้หนี้กรรม คืออกุศลต้องลงอบายภูมิ ...ใช่ไหม ทีนี้ ถ้าเราจะไปกันก็อย่าไปมันเลยแค่เทวดากับพรหมน่ะ ดีไม่ดี...พอหมดวาสนาบารมี มันก็จะไปตกแค่ท้องหมาแมว มันยังดีนะ มีข้าวกินน่ะ ถ้าลงนรกนี่มันแย่...กว่าจะได้มาเกิดใหม่
เป็นอันว่า จิตใจของเรามีความสำคัญ ก่อนตายจิตใจของเราจับจุดไหน แค่นึกจะไปจับพระนิพพานยังได้ การลงนรกต้องลงทุนทำบาป แต่ไปสวรรค์ ไปนิพพาน แค่มีจิตคิดแต่เรื่องที่เป็นกุศลที่อยากทำหรือได้ทำก็ไปสวรรค์เลย โดยทำได้ เช่น อยากเป็นพรหมก็นอนภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำจิตเบิกบาน นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงการทำทาน เป็นบริจาค เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน ตอนตายก็ไปเกิดเป็นพรหม แต่ถ้าอยากไปนิพพานก็คิดแต่เรื่องที่ปล่อยวาง ทุกอย่างที่มีที่หามาไม่ใช่ของเรา ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา เป็นไปตามพระพุทธเจ้ากล่าว เมื่อจิตเป็นอิสระ ไม่ยึดติดสิ่งใด ปล่อยวางได้ นิพพานก็ไปได้...ไม่ยาก...เมื่อเราตายไป
ที่มา : หนังสือธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 46 รวมธรรมเทศนาของ...หลวงพ่อระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
https://www.tnews.co.th/variety/398535