Transformers One: ทรานฟอร์เมอร์ 1
" สิ่งที่กำหนดคุณค่าของ 'ทรานฟอร์มเมอร์' หาใช่เฟืองที่อยู่บนอก หากเป็นประกายไฟที่ลุกโชติช่วงจากแก่นภายใน "
กำกับโดย Josh Cooley
-
Transformers เป็นหนึ่งในชุดหนังโด่งดังที่ทำเงินได้อย่างยาวนานหลายภาค
- ในปี 2007 ใครจะไปรู้ว่า
Transformers (2007) ของ
Micheal Bay จะสร้างตำนานบทใหม่ของวงการภาพยนตร์ด้วยการเป็นหนังแอ็คชั่นที่ผสม CGI หุ่นยนต์เข้ากับการแสดงของมนุษย์ได้อย่างสวยงามกลมกลืน ทั้งยังมีจุดเด่นที่ดีไซน์หุ่นจักรกลและท่าทางการแปลงร่างอันเป็นเอกลักษณ์ เท่ติดตา ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำชื่นชม
ขณะที่ภาคถัด ๆ ไปของหนังชุด Transformers ไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจเป็นพิเศษ เนื่องจากคุณภาพบทที่อ่อน ความจำเจ เน้นขายความระเบิดเผากระท่อมเสียส่วนใหญ่
นี่คงเป็นภาพจำที่ผู้ชมส่วนใหญ่นึกถึง Transformers
ทว่าไม่ใช่ภาพเดียวกับ
Transformers One (2024) ที่ทำได้ดีเกินคาด !
- ต้องชมว่า
“แอนิเมชั่นเรื่องนี้เล่าเรื่องได้สนุก ทั้งยังมีประเด็นที่เข้มข้นคมคายกว่าหนัง Transformer หลาย ๆ ภาครวมกันเสียอีก”
เรื่องย่อ
Transformers One | ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 1 - Official Trailer
Transformers One (2024) ย้อนไปถึงเหตุการณ์บนดาวไซเบอร์ตรอน
ดาวดวงนี้ปกครองโดย
“เซนทิเนล ไพร์ม” (Jon Hamm) ที่กำลังทำสงครามต่อสู้กับผู้รุกราน
Quintesson พ่วงด้วยภารกิจตามหา
Matrix of Leadership ที่หายสาบสูญ เพื่อหวังจะใช้ Matrix ฟื้นคืน
“เอเนอร์จอน” ขุมพลังงานที่กำลังเหือดแห้งไปจากดาวไซเบอร์ตรอน
“โอไรออน แพ็กซ์” (Chris Hemsworth) หุ่นยนต์ขุดเหมืองขี้สงสัยเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากรู้เช่นกันว่า Matrix of Leadership อยู่ที่ใด เผื่อว่าชีวิตจะสบายขึ้น ไม่ต้องทำงานขุดเหมืองหาเอเนอร์จอนอีกต่อไป
ความรู้สึกหลังชม
- จุดแรกที่ชอบ
“องค์ประกอบหนังที่ดี”
Transformers One มีองค์ประกอบหนังที่กลมกล่อม เนื้อเรื่องกระชับ เดินเรื่องสนุก มีมุกตลกแซมรายทาง ขณะที่ยังคงประเด็นหลักในเนื้อเรื่องได้เข้มข้น
- แก่นสำคัญที่สุดของหนัง
“ความเชื่อทางการเมือง และแนวคิดของคนต่างขั้ว”
(มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้-- โลกของ Transformers แบ่งเป็น 2 ชนชั้น ได้แก่ "ชนชั้นกรรมาชีพ" (หุ่นยนต์ขุดเหมือง) และ "ชนชั้นปกครอง" (หุ่นยนต์ชนชั้นนำ) ทุกอย่างดำเนินเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมีบางคนเกิดล่วงรู้ “ความจริง” ว่า สิ่งที่ผู้ปกครองพร่ำบอกเป็นเพียง “คำหลอกลวง” เพื่อหลอกให้ชนชั้นต่ำกว่าหลงเชื่อและสวามิภักดิ์ด้วยความเต็มใจ
-- แน่นอนว่า อาการ “ตาสว่าง” ของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป
บางคนตื่นรู้ด้วยความโกรธเกรี้ยว (Pessimistic) นำไปสู่ความเชื่อที่ว่า เราต้องใช้กำลังทำลายชนชั้นเก่าให้สิ้นซาก และปกครองโลกใหม่ด้วยความเด็ดขาดชัดเจน อันเป็นตัวแทน “ฝ่ายอำนาจนิยม”
ขณะที่บางคนตื่นรู้ด้วยเส้นทางที่ประนีประนอมกว่า (Optimistic) อย่างการล้มระบบเก่า สร้างโลกใหม่ที่เป็นธรรมกับทุกคน ทุกคนมีอิสระเสรี ไม่นิยมการใช้ความรุนแรง อันเป็นสัญลักษณ์ของ “เสรีนิยม”
-- ว่าไปแล้วก็พาให้นึกถึงชีวิตของนักปฏิวัติหลายคนในประวัติศาสตร์ที่เห็นความอยุติธรรมในสังคมและพยายามเปลี่ยนแปลงโลกด้วยวิธีที่แตกต่าง นำไปสู่แนวคิดทางการเมืองที่มีหลายเฉด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้าย ฝ่ายกลาง ฝ่ายขวา รวมถึงสายประนีประนอมและสายสุดโต่ง
-- ต้องชมว่า Transformers One ใช้ตัวละครสำคัญของเรื่องเป็นตัวแทนแนวคิดของแต่ละ
“ความเชื่อทางการเมือง” ได้น่าประทับใจ แถมยังวิพากษ์การเมืองได้เฉียบคมมาก ๆ ซึ่งเป็นประเด็นคลาสสิคที่มีในทุกยุค
- ส่วนถัดมา หนังวางคาแรคเตอร์และพัฒนาการของแต่ละตัวละครได้เยี่ยม โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่าง
“โอไรออน” และ
“D-16” ที่เป็นอีกแกนสำคัญของเรื่อง ทำให้ทุกการตัดสินใจสำคัญของแต่ตัวละครสะเทือนอารมณ์ผู้ชม
- หนังมี Quote คม ๆ หลายประโยค
ที่ชอบที่สุด ขอยกให้ประโยค
"What defines a Transformer is not the cog in his chest, but the spark that resides in their core."
“สิ่งที่กำหนดเรา หาใช่รูปลักษณ์ภายนอกหรือชนชั้น หากเป็นแก่นแท้ภายในที่เรากำหนดคุณค่าตัวเราเอง”
ประโยคนี้มีอิมแพคกับเรื่องจริง ๆ
- ส่วนสุดท้าย
"จินตนาการสุดสร้างสรรค์"
-- หนังดีไซน์โลกของทรานฟอร์เมอร์ออกมาได้สร้างสรรค์สวยงาม
ส่วนตัวมองว่า ผู้สร้างคิดถูกที่ทำเรื่องนี้ออกมาเป็นแอนิเมชั่น ถ้าเกิดสร้างเรื่องนี้ออกมาในลักษณะหนังสมจริง โลกจักรกลบนดาวไซเบอร์ตรอนคงดูทะมึนไม่น่ารับชม มีสีสันไม่โดดเด่นเหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันในแอนิเมชั่น
-- ฉากต่อสู้แอ็คชั่นต่าง ๆ ใส่มาได้พอดี ไม่มากไปจนเยิ่นเย้อเบียดเนื้อเรื่อง แถมดีไซน์ได้สวยเลย
สรุป
แม้เนื้อเรื่องจะไม่ถึงกับใหม่ รวมถึงมีบางส่วนที่เดาได้บ้าง แต่โดยรวม ถือว่าเป็นแอนิเมชั่นที่เรียกเสียง
“ว้าว” จากผู้ชมได้ ด้วยคอนเซปต์และบทหนังที่แข็งแรง เหมือนครั้งดู
Spider-Man: Into the Spider-Verse (2018)
ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว ถือว่า
Transformers One เป็นแอนิเมชั่นที่
“แข็ง” ในปีนี้ มีโอกาสได้เข้าชิง
“ออสการ์” พอสมควร
มาลุ้นกันว่า ผู้กำกับ “จอร์จ คูลีย์” ที่เคยคว้าออสการ์จาก Toy Story 4 (2019) ไปแล้ว เขาจะทำสำเร็จได้อีกครั้งหรือไม่
ดังนั้นใครสนใจแนะนำเลย ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ดีจริง การันตี!
____________________________________
ป.ล. ไม่แนะนำให้ดู Trailer ก่อนรับชม เพราะ รู้สึกว่าเปิดเผยจุดเซอร์ไพร์สพอสมควร // ใครสนใจแนะนำให้รีบดู กระแสเงียบขนาดนี้คงจะออกโรงเร็วในอีกไม่ช้า
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ
Lemon8: BENJI Review
IG: benjireview
Transformers One (2024) – มิตรภาพ ความเชื่อ และการต่อสู้
- Transformers เป็นหนึ่งในชุดหนังโด่งดังที่ทำเงินได้อย่างยาวนานหลายภาค
- ในปี 2007 ใครจะไปรู้ว่า Transformers (2007) ของ Micheal Bay จะสร้างตำนานบทใหม่ของวงการภาพยนตร์ด้วยการเป็นหนังแอ็คชั่นที่ผสม CGI หุ่นยนต์เข้ากับการแสดงของมนุษย์ได้อย่างสวยงามกลมกลืน ทั้งยังมีจุดเด่นที่ดีไซน์หุ่นจักรกลและท่าทางการแปลงร่างอันเป็นเอกลักษณ์ เท่ติดตา ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำชื่นชม
ขณะที่ภาคถัด ๆ ไปของหนังชุด Transformers ไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจเป็นพิเศษ เนื่องจากคุณภาพบทที่อ่อน ความจำเจ เน้นขายความระเบิดเผากระท่อมเสียส่วนใหญ่
นี่คงเป็นภาพจำที่ผู้ชมส่วนใหญ่นึกถึง Transformers
ทว่าไม่ใช่ภาพเดียวกับ Transformers One (2024) ที่ทำได้ดีเกินคาด !
- ต้องชมว่า “แอนิเมชั่นเรื่องนี้เล่าเรื่องได้สนุก ทั้งยังมีประเด็นที่เข้มข้นคมคายกว่าหนัง Transformer หลาย ๆ ภาครวมกันเสียอีก”
เรื่องย่อ
ดาวดวงนี้ปกครองโดย “เซนทิเนล ไพร์ม” (Jon Hamm) ที่กำลังทำสงครามต่อสู้กับผู้รุกราน Quintesson พ่วงด้วยภารกิจตามหา Matrix of Leadership ที่หายสาบสูญ เพื่อหวังจะใช้ Matrix ฟื้นคืน “เอเนอร์จอน” ขุมพลังงานที่กำลังเหือดแห้งไปจากดาวไซเบอร์ตรอน
“โอไรออน แพ็กซ์” (Chris Hemsworth) หุ่นยนต์ขุดเหมืองขี้สงสัยเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากรู้เช่นกันว่า Matrix of Leadership อยู่ที่ใด เผื่อว่าชีวิตจะสบายขึ้น ไม่ต้องทำงานขุดเหมืองหาเอเนอร์จอนอีกต่อไป
ความรู้สึกหลังชม
- จุดแรกที่ชอบ “องค์ประกอบหนังที่ดี”
Transformers One มีองค์ประกอบหนังที่กลมกล่อม เนื้อเรื่องกระชับ เดินเรื่องสนุก มีมุกตลกแซมรายทาง ขณะที่ยังคงประเด็นหลักในเนื้อเรื่องได้เข้มข้น
-- ต้องชมว่า Transformers One ใช้ตัวละครสำคัญของเรื่องเป็นตัวแทนแนวคิดของแต่ละ “ความเชื่อทางการเมือง” ได้น่าประทับใจ แถมยังวิพากษ์การเมืองได้เฉียบคมมาก ๆ ซึ่งเป็นประเด็นคลาสสิคที่มีในทุกยุค
- ส่วนถัดมา หนังวางคาแรคเตอร์และพัฒนาการของแต่ละตัวละครได้เยี่ยม โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่าง “โอไรออน” และ “D-16” ที่เป็นอีกแกนสำคัญของเรื่อง ทำให้ทุกการตัดสินใจสำคัญของแต่ตัวละครสะเทือนอารมณ์ผู้ชม
ที่ชอบที่สุด ขอยกให้ประโยค
- ส่วนสุดท้าย "จินตนาการสุดสร้างสรรค์"
-- หนังดีไซน์โลกของทรานฟอร์เมอร์ออกมาได้สร้างสรรค์สวยงาม
ส่วนตัวมองว่า ผู้สร้างคิดถูกที่ทำเรื่องนี้ออกมาเป็นแอนิเมชั่น ถ้าเกิดสร้างเรื่องนี้ออกมาในลักษณะหนังสมจริง โลกจักรกลบนดาวไซเบอร์ตรอนคงดูทะมึนไม่น่ารับชม มีสีสันไม่โดดเด่นเหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันในแอนิเมชั่น
-- ฉากต่อสู้แอ็คชั่นต่าง ๆ ใส่มาได้พอดี ไม่มากไปจนเยิ่นเย้อเบียดเนื้อเรื่อง แถมดีไซน์ได้สวยเลย
สรุป
ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว ถือว่า Transformers One เป็นแอนิเมชั่นที่ “แข็ง” ในปีนี้ มีโอกาสได้เข้าชิง “ออสการ์” พอสมควร
มาลุ้นกันว่า ผู้กำกับ “จอร์จ คูลีย์” ที่เคยคว้าออสการ์จาก Toy Story 4 (2019) ไปแล้ว เขาจะทำสำเร็จได้อีกครั้งหรือไม่
ดังนั้นใครสนใจแนะนำเลย ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ดีจริง การันตี!
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ