เรื่องมีอยู่ว่า
นายเอ ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้าน/อาคาร หลังหนึ่ง กับ น.ส.บี เมื่อวันที่ 2 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2555 มีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี ในระหว่าง 3 ปีที่ยังไม่หมดสัญญานี้ น.ส.บี ก็ได้ไปทำงานที่อื่น และให้ นายซี (ผู้เป็นน้องชาย)เป็นคนเช่าอาคารนี้ต่อ และให้ค่าเช่าแก่นายเอทุกเดือนตามปกติ หลังจากนั้นในช่วง เดือนสิงหาคม ปี 2558 นายเอ ได้เสียชีวิตลง และต่อมาสัญญาเช่าหมด แต่ผู้เช่าก็ยังเช่าต่อและให้ค่าเช่าทุกเดือนตามปกติ
ในภายหลัง นายซี ได้ทำสัญญาเช่าบ้าน/อาคาร กับ นายดี (ผู้เป็นลูกชายของนายเอ) ซึ่งเก็บค่าเช่าต่อจากบิดา ทำสัญญากันในวันที่ 6 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2559 มีกำหนดเวลาเช่า 1 ปี หลังจากครบ 1 ปี ไม่ได้มีการทำสัญญาต่อ แต่ผู้เช่าก็จ่ายค่าเช่าทุกเดือนเป็นปกติ แต่เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2565 นายซี ได้ออกไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ได้บอกกล่าว มีแต่คำบอกเล่าของ น.ส.บี ว่า นายซีได้ไปกรุงเทพแล้ว น.ส.บี จึงมาอยู่ต่อ
หลังจากเดือนที่นายซีออกไป น.ส.บี ก็ขอเช่าต่อ แต่ไม่ได้ทำสัญญาเช่า เป็นการตกลงด้วยวาจา ค่าเช่าเดือนละ 2,500 บาท หลังจากนั้นก็จ่ายค่าเช่ามาตามปกติ และเริ่มมีปัญหา ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี2566 น.ส.บี เริ่มมีข้ออ้างหลายอย่าง ทำให้ค้างค่าเช่ามาเรื่อยๆ ในระหว่างนี้ น.ส.บี ก็ได้บอกให้ นายดี ปรับปรุงซ่อมแซมบริบทและห้องน้ำ นายดีก็ทำให้ โดยเงินปรับปรุงส่วนหนึ่ง น.ส.บี เป็นคนออกแทนไปก่อน แต่ภายหลังนายดีก็ได้หักเงินจากค่าเช่าที่ค้างอยู่ออก และก็ติดตามเงินค้างค่าเช่ามาเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาท โมโห หรือขู่อะไร ทางฝั่ง น.ส.บี ก็อ้างอยู่ เรื่อยมา จนค้างเกือบจะครบปี นายดี จึงยื่นคำขาดว่า ให้สิ้นเดือนสิงหาคม ปี2567 นี้ นำค่าเช่าที่ค้างมาจ่าย ถ้าไม่จ่ายก็ให้ย้ายออก และยื่นข้อเสนอว่า เงินที่ค้างค่าเช่าไม่ขอเอา แต่ขอให้ย้ายออกจากอาคารหลังนี้ แต่ฝั่ง น.ส.บี บอกว่าไม่ยอมออก จะออกได้ไงอยู่มาตั้ง 13 ปี น.ส.บี ก็ตกลงว่าจะพยายามหาเงินมาจ่ายให้
เมื่อถึงกำหนด นายดี ได้ไปติดตามทวงถามค่าเช่าบ้านอีกครั้งกับ น.ส.บี ครั้งนี้ น.ส.บีได้กล่าวหานายดี ว่ามีสิทธิอะไรมาเก็บค่าเช่าเขาในที่ดินแห่งนี้ เขาจะฟ้องเอาเงินค่าเช่าคืนทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท และตอนนี้ น.ส.บี ก็ได้ไปว่าจ้างทนายให้ว่าความแล้ว แต่ยังไม่มีหมายมาถึงบ้านนายดี
สาเหตุที่ น.ส.บีจะฟ้องเช่นนั้นเป็นเพราะ น.ส.บี ทราบว่าที่ดินผืนนี้ยังไม่มีการโอนให้เป็นชื่อของนายเอและนายดี เมื่อเท้าความกลับไป โฉนดผืนนี้ เป็นโฉนดผืนใหญ่ที่ยังไม่มีการแบ่ง เป็นโฉนดในชื่อของ ยายงาม ซึ่งสมัยก่อน ยายงาม ได้ตกลงซื้อขายที่ดินบางส่วนกับนายเอ หลังจากทำการซื้อขายให้เงินเป็นที่เรียบร้อย นายเอก็ได้เข้าไปทำประโยชน์ โดยการปลูกสร้างอาคาร ทำรั้วเขต(แต่ไม่ได้รังวัด) ขอเลขที่บ้าน ขอน้ำประปา และปล่อยเช่าอาคารหลังนี้ให้แก่ น.ส.บี แต่โฉนดที่ดินผืนนี้ ยังไม่ได้มีการโอนเป็นของนายเอ จนต่อมาทั้งนายเอและยายงามได้เสียชีวิตลง โฉนดก็ยังไม่ได้มีการโอน นายดีซึ่งเป็นบุตรชายจึงได้เก็บค่าเช่าต่อจากผู้เป็นบิดา รวมระยะเวลาในการทำประโยชน์ในที่ดินผืนนี้ ตั้งแต่นายเอซื้อ รวมแล้วไม่น้อยกว่า 13 ปี
หมายเหตุ
- สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายเอกับยายงามไม่ปรากฏเห็น
คำถาม
- นายดีผิดข้อกฎหมายใด และจะถูกเรียกค่าเช่าคืนตามที่ น.ส.บี บอกได้จริงหรือ
- นายดีสามารถฟ้องขับไล่ น.ส.บี ออกจากที่ดินนี้ได้หรือไม่ หากยังไม่มีชื่อในโฉนดผืนนี้
ผู้เช่าจะฟ้องเรียกค่าเช่าคืนทำได้ไหม? ผู้รู้ช่วยอธิบายหรือบอกเราให้ทราบทีค่ะ
นายเอ ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้าน/อาคาร หลังหนึ่ง กับ น.ส.บี เมื่อวันที่ 2 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2555 มีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี ในระหว่าง 3 ปีที่ยังไม่หมดสัญญานี้ น.ส.บี ก็ได้ไปทำงานที่อื่น และให้ นายซี (ผู้เป็นน้องชาย)เป็นคนเช่าอาคารนี้ต่อ และให้ค่าเช่าแก่นายเอทุกเดือนตามปกติ หลังจากนั้นในช่วง เดือนสิงหาคม ปี 2558 นายเอ ได้เสียชีวิตลง และต่อมาสัญญาเช่าหมด แต่ผู้เช่าก็ยังเช่าต่อและให้ค่าเช่าทุกเดือนตามปกติ
ในภายหลัง นายซี ได้ทำสัญญาเช่าบ้าน/อาคาร กับ นายดี (ผู้เป็นลูกชายของนายเอ) ซึ่งเก็บค่าเช่าต่อจากบิดา ทำสัญญากันในวันที่ 6 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2559 มีกำหนดเวลาเช่า 1 ปี หลังจากครบ 1 ปี ไม่ได้มีการทำสัญญาต่อ แต่ผู้เช่าก็จ่ายค่าเช่าทุกเดือนเป็นปกติ แต่เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2565 นายซี ได้ออกไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ได้บอกกล่าว มีแต่คำบอกเล่าของ น.ส.บี ว่า นายซีได้ไปกรุงเทพแล้ว น.ส.บี จึงมาอยู่ต่อ
หลังจากเดือนที่นายซีออกไป น.ส.บี ก็ขอเช่าต่อ แต่ไม่ได้ทำสัญญาเช่า เป็นการตกลงด้วยวาจา ค่าเช่าเดือนละ 2,500 บาท หลังจากนั้นก็จ่ายค่าเช่ามาตามปกติ และเริ่มมีปัญหา ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี2566 น.ส.บี เริ่มมีข้ออ้างหลายอย่าง ทำให้ค้างค่าเช่ามาเรื่อยๆ ในระหว่างนี้ น.ส.บี ก็ได้บอกให้ นายดี ปรับปรุงซ่อมแซมบริบทและห้องน้ำ นายดีก็ทำให้ โดยเงินปรับปรุงส่วนหนึ่ง น.ส.บี เป็นคนออกแทนไปก่อน แต่ภายหลังนายดีก็ได้หักเงินจากค่าเช่าที่ค้างอยู่ออก และก็ติดตามเงินค้างค่าเช่ามาเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาท โมโห หรือขู่อะไร ทางฝั่ง น.ส.บี ก็อ้างอยู่ เรื่อยมา จนค้างเกือบจะครบปี นายดี จึงยื่นคำขาดว่า ให้สิ้นเดือนสิงหาคม ปี2567 นี้ นำค่าเช่าที่ค้างมาจ่าย ถ้าไม่จ่ายก็ให้ย้ายออก และยื่นข้อเสนอว่า เงินที่ค้างค่าเช่าไม่ขอเอา แต่ขอให้ย้ายออกจากอาคารหลังนี้ แต่ฝั่ง น.ส.บี บอกว่าไม่ยอมออก จะออกได้ไงอยู่มาตั้ง 13 ปี น.ส.บี ก็ตกลงว่าจะพยายามหาเงินมาจ่ายให้
เมื่อถึงกำหนด นายดี ได้ไปติดตามทวงถามค่าเช่าบ้านอีกครั้งกับ น.ส.บี ครั้งนี้ น.ส.บีได้กล่าวหานายดี ว่ามีสิทธิอะไรมาเก็บค่าเช่าเขาในที่ดินแห่งนี้ เขาจะฟ้องเอาเงินค่าเช่าคืนทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท และตอนนี้ น.ส.บี ก็ได้ไปว่าจ้างทนายให้ว่าความแล้ว แต่ยังไม่มีหมายมาถึงบ้านนายดี
สาเหตุที่ น.ส.บีจะฟ้องเช่นนั้นเป็นเพราะ น.ส.บี ทราบว่าที่ดินผืนนี้ยังไม่มีการโอนให้เป็นชื่อของนายเอและนายดี เมื่อเท้าความกลับไป โฉนดผืนนี้ เป็นโฉนดผืนใหญ่ที่ยังไม่มีการแบ่ง เป็นโฉนดในชื่อของ ยายงาม ซึ่งสมัยก่อน ยายงาม ได้ตกลงซื้อขายที่ดินบางส่วนกับนายเอ หลังจากทำการซื้อขายให้เงินเป็นที่เรียบร้อย นายเอก็ได้เข้าไปทำประโยชน์ โดยการปลูกสร้างอาคาร ทำรั้วเขต(แต่ไม่ได้รังวัด) ขอเลขที่บ้าน ขอน้ำประปา และปล่อยเช่าอาคารหลังนี้ให้แก่ น.ส.บี แต่โฉนดที่ดินผืนนี้ ยังไม่ได้มีการโอนเป็นของนายเอ จนต่อมาทั้งนายเอและยายงามได้เสียชีวิตลง โฉนดก็ยังไม่ได้มีการโอน นายดีซึ่งเป็นบุตรชายจึงได้เก็บค่าเช่าต่อจากผู้เป็นบิดา รวมระยะเวลาในการทำประโยชน์ในที่ดินผืนนี้ ตั้งแต่นายเอซื้อ รวมแล้วไม่น้อยกว่า 13 ปี
หมายเหตุ
- สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายเอกับยายงามไม่ปรากฏเห็น
คำถาม
- นายดีผิดข้อกฎหมายใด และจะถูกเรียกค่าเช่าคืนตามที่ น.ส.บี บอกได้จริงหรือ
- นายดีสามารถฟ้องขับไล่ น.ส.บี ออกจากที่ดินนี้ได้หรือไม่ หากยังไม่มีชื่อในโฉนดผืนนี้