ตอนแรกเรียนจบมา ตั้งใจหางานทำ เพราะอยากหาเงิน
อยากส่งตัวเองไปอยู่ ตปท
1.การทำงานครั้งแรก ก็มีปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาที่เราก่อ และไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องหึงห่วง ที่เราอยู่เฉยๆ แต่เขามากล่าวหาว่าเราเสียๆหายๆ
เลยลาออกทันที
2.การทำงานครั้งที่สอง เป็นงานที่ไม่ชอบเลย ปวดหัว แพนิกทุกครั้ง กังวลทุกวันเวลาจะไปทำงาน แต่เป็นงานที่ค่อนข้างได้รายได้เยอะ ไม่มี work life balance เพื่อนร่วมงานที่สุดของความ ..... ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
บวกกับเรามีอาการแปลกๆที่หมอเองก็หาสาเหตุให้ไม่ได้ คือพักผ่อนไม่พอและกินไม่พอ จะทำให้หูอื้อหนักมาก หัวใจเต้นเร็ว ต้องหายใจทางปาก ซึ่งลำบากต่อการทำงานมากๆ เพราะต้องพูดคุยกับลูกค้าตลอด ปกติก็เป็นภูมิแพ้อากาศอยู่ด้วยค่ะ เลยลาออก
3.การทำงานครั้งที่ 3 เป็นงานอาชีพและตำแหน่งงานเดียวกันกับครั้งที่ 2
ทุกอย่างดีมากๆ สังคมดี แต่ถูกเอาเปรียบเพราะเป็นงานเร็ว แล้วเราเผลอก็ยังทำเรื่องใหญ่มากๆให้บริษัทแก้(โดนหลอกค่ะ) เนื่องจากเป็นพนักงานผู้น้อย ceo ใจดี ไม่ดุไม่ว่า และเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่บริษัทไม่เคยเทรนพนักงานมาก่อน เราก็เสียใจร้องไห้ใหญ่ เพราะ บ.ต้องเสียเงินจำนวนนึงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เราก่อ เรารู้สึกน้อยใจ ที่สร้างปัญหาให้ และบางครั้งก็มีคนพูดถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาบ่อย เลยตัดสินใจออกจากงาน
เเล้วก็หยุดพักใจไปพักใหญ่ นอยและกลัวการเริ่มการทำงานใหม่ไปเลย กลับมาอยู่บ้าน แต่พ่อแม่อยากให้หางานราชการทำ แต่เราไม่ชอบงานราชการ แล้วเขาก็กดดันจนเราเริ่มรำคาญ ทั้งที่มาอยู่บ้าน เราไม่ได้ขอเงินเขาใช้ หรือสร้างความลำบากให้เขา เราช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านตลอด แต่ก็เข้าใจว่าเขาอยากให้มีอนาคตดีๆ
ด้วยความรำคาญ เราเลยพูดไปว่า ชีวิตนี้ไม่ได้จะเกิดมาเพื่อทำงานไปทั้งชีวิตนะ (จริงๆ อยากทำงานมากๆ เพราะตั้งแต่กลับบ้านมา เงินบินออกรัวๆ แต่ยังมีความกลัว ความระแวง สัมที่นึงก็ไม่ติด เพราะเขาถามว่าลาออกจากที่เก่าทำไม เราไม่สามารถพูดถึงเรื่องที่เราก่อได้ มันเป็นความลับของบริษัท เลยต้องโกหก แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเหตุผลฟังไม่ขึ้น นอยหนักกว่าเดิม เป็นปีที่หนักมากๆ ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆ เรื่องครอบครัว เรื่องงาน มันพังไปหมด)
พอตอบไปแบบนั้นแม่ก็โกรธ แล้วก็บอกว่า อยู่ร่วมกับคนเห็นต่างไม่ได้ (แม่ชอบเอาชนะ😂)
เราก็บอก มันไม่มีใครที่จะเห็นด้วยไปกับสิ่งที่เราคิดหรือพูดได้ทุกอย่างหรอกนะ เรามีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าไม่เห็นด้วยก็อย่ามาโกรธกัน อยู่ไม่ได้ก็แล้วแต่ เราแค่ไม่เจองานที่ชอบ กับฝังใจกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ทุกวันนี้เราก็หางานอยู่ตลอดๆ กะว่าจะหาในจังหวัดตัวเอง จะได้อยู่ใกล้ครอบครัว แต่เขาก็บอกหาไม่ได้หรอก เพราะงานมันน้อย และเงินไม่เยอะเท่าที่ กทม
ที่ผ่านมา เรียนมหาลัยและทำงานที่ กทม มาตลอดค่ะ
พอเราไป กทม เขาก็คิดถึงละชอบขับรถมาหา เราไม่อยากให้ขับรถมาหา เพราะมันไกลจากบ้านเกินไป เราเป็นห่วง แต่เขาดื้อ ไม่ยอมนั่งเครื่อง หรือนอนรถไฟ เราเลยอยากหาแถวบ้าน แต่ก็หายากจริงๆ เพราะเป็นจังหวัดเล็กๆบ้านๆ
ทำไงให้เลิกนอย ทำไงให้พ่อแม่เลิกบ่น เพราะเราอยากอยู่ใกล้ๆพ่อแม่
ครอบครัวเราสนิทกันค่ะ คิดถึงกันและรักกันมากๆ แต่นั้นแหละ อีโก้สูงเท่าฟ้าทั้งพ่อทั้งแม่ และน่าจะเราด้วย ฮือออ
ผิดไหม ที่จะบอกคนอื่นว่า ตัวเราเองไม่ได้เกิดมาเพื่อจะทำงานไปทั้งชีวิต
อยากส่งตัวเองไปอยู่ ตปท
1.การทำงานครั้งแรก ก็มีปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาที่เราก่อ และไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องหึงห่วง ที่เราอยู่เฉยๆ แต่เขามากล่าวหาว่าเราเสียๆหายๆ
เลยลาออกทันที
2.การทำงานครั้งที่สอง เป็นงานที่ไม่ชอบเลย ปวดหัว แพนิกทุกครั้ง กังวลทุกวันเวลาจะไปทำงาน แต่เป็นงานที่ค่อนข้างได้รายได้เยอะ ไม่มี work life balance เพื่อนร่วมงานที่สุดของความ ..... ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
บวกกับเรามีอาการแปลกๆที่หมอเองก็หาสาเหตุให้ไม่ได้ คือพักผ่อนไม่พอและกินไม่พอ จะทำให้หูอื้อหนักมาก หัวใจเต้นเร็ว ต้องหายใจทางปาก ซึ่งลำบากต่อการทำงานมากๆ เพราะต้องพูดคุยกับลูกค้าตลอด ปกติก็เป็นภูมิแพ้อากาศอยู่ด้วยค่ะ เลยลาออก
3.การทำงานครั้งที่ 3 เป็นงานอาชีพและตำแหน่งงานเดียวกันกับครั้งที่ 2
ทุกอย่างดีมากๆ สังคมดี แต่ถูกเอาเปรียบเพราะเป็นงานเร็ว แล้วเราเผลอก็ยังทำเรื่องใหญ่มากๆให้บริษัทแก้(โดนหลอกค่ะ) เนื่องจากเป็นพนักงานผู้น้อย ceo ใจดี ไม่ดุไม่ว่า และเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่บริษัทไม่เคยเทรนพนักงานมาก่อน เราก็เสียใจร้องไห้ใหญ่ เพราะ บ.ต้องเสียเงินจำนวนนึงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เราก่อ เรารู้สึกน้อยใจ ที่สร้างปัญหาให้ และบางครั้งก็มีคนพูดถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาบ่อย เลยตัดสินใจออกจากงาน
เเล้วก็หยุดพักใจไปพักใหญ่ นอยและกลัวการเริ่มการทำงานใหม่ไปเลย กลับมาอยู่บ้าน แต่พ่อแม่อยากให้หางานราชการทำ แต่เราไม่ชอบงานราชการ แล้วเขาก็กดดันจนเราเริ่มรำคาญ ทั้งที่มาอยู่บ้าน เราไม่ได้ขอเงินเขาใช้ หรือสร้างความลำบากให้เขา เราช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านตลอด แต่ก็เข้าใจว่าเขาอยากให้มีอนาคตดีๆ
ด้วยความรำคาญ เราเลยพูดไปว่า ชีวิตนี้ไม่ได้จะเกิดมาเพื่อทำงานไปทั้งชีวิตนะ (จริงๆ อยากทำงานมากๆ เพราะตั้งแต่กลับบ้านมา เงินบินออกรัวๆ แต่ยังมีความกลัว ความระแวง สัมที่นึงก็ไม่ติด เพราะเขาถามว่าลาออกจากที่เก่าทำไม เราไม่สามารถพูดถึงเรื่องที่เราก่อได้ มันเป็นความลับของบริษัท เลยต้องโกหก แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเหตุผลฟังไม่ขึ้น นอยหนักกว่าเดิม เป็นปีที่หนักมากๆ ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆ เรื่องครอบครัว เรื่องงาน มันพังไปหมด)
พอตอบไปแบบนั้นแม่ก็โกรธ แล้วก็บอกว่า อยู่ร่วมกับคนเห็นต่างไม่ได้ (แม่ชอบเอาชนะ😂)
เราก็บอก มันไม่มีใครที่จะเห็นด้วยไปกับสิ่งที่เราคิดหรือพูดได้ทุกอย่างหรอกนะ เรามีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าไม่เห็นด้วยก็อย่ามาโกรธกัน อยู่ไม่ได้ก็แล้วแต่ เราแค่ไม่เจองานที่ชอบ กับฝังใจกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ทุกวันนี้เราก็หางานอยู่ตลอดๆ กะว่าจะหาในจังหวัดตัวเอง จะได้อยู่ใกล้ครอบครัว แต่เขาก็บอกหาไม่ได้หรอก เพราะงานมันน้อย และเงินไม่เยอะเท่าที่ กทม
ที่ผ่านมา เรียนมหาลัยและทำงานที่ กทม มาตลอดค่ะ
พอเราไป กทม เขาก็คิดถึงละชอบขับรถมาหา เราไม่อยากให้ขับรถมาหา เพราะมันไกลจากบ้านเกินไป เราเป็นห่วง แต่เขาดื้อ ไม่ยอมนั่งเครื่อง หรือนอนรถไฟ เราเลยอยากหาแถวบ้าน แต่ก็หายากจริงๆ เพราะเป็นจังหวัดเล็กๆบ้านๆ
ทำไงให้เลิกนอย ทำไงให้พ่อแม่เลิกบ่น เพราะเราอยากอยู่ใกล้ๆพ่อแม่
ครอบครัวเราสนิทกันค่ะ คิดถึงกันและรักกันมากๆ แต่นั้นแหละ อีโก้สูงเท่าฟ้าทั้งพ่อทั้งแม่ และน่าจะเราด้วย ฮือออ