เห็นประเด็นจากเรื่อง "หลานม่า"
เลยอยากมาแชร์เป็นไอเดียกันค่ะ
นี่เป็นแผนการให้มรดกลูกที่เราตั้งใจเอาไว้
ใครมีอะไรอยากชี้แนะหรือแสดงความเห็นก็บอกไว้ได้นะคะ
------
ปัจจุบันเรายังไม่มีลูกค่ะ แต่เคยเลี้ยงดูและส่งเสียน้องที่อายุห่างมากๆ
เหมือนเป็นลูกมาก่อนจนน้องเรียนจบ คิดว่าพอเข้าใจไอเดียการเลี้ยงเด็กจนโตอยู่คร่าวๆ
ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีดี เพราะเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ต้องเสียสละและมีความเสี่ยงหลายอย่าง
แต่ก็พิจารณาแล้วว่า เราก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างสรรค์คนที่มีคุณภาพให้สังคมได้
เป็นการตอบแทนสังคมในรูปแบบหนึ่ง ช่วยเติมเต็มความคาดหวังของบุพการี เป็นความทรงจำในชีวิตที่ดี
วันนึงถ้ามีลูก ตั้งใจจะปูพื้นฐานการเงินให้ลูกดีๆ สอนให้ลูกรู้จักด้านลงทุน ปันผล ทรัพย์สินต่างๆ
หรือลองผิดลองถูกทำธุรกิจถ้าลูกสนใจตั้งแต่เด็ก
และมรดกในส่วนที่จะให้ลูก จะคุยให้เคลียร์กับลูกทุกคนตั้งแต่แรกเลยว่า
นอกเหนือจากการดูแลตามพื้นฐานที่ลูกจะได้ เราก็จะมีให้แค่สองส่วนคือ
*****1. เป็นค่าดูแลลูกในฐานะพ่อแม่ :
ตอนลูกเรียนจบมัธยม จะโอนเงินให้ก้อนหนึ่ง
(มากน้อยตามปัจจัยตอนนั้น ตีในใจตอนนี้คือประมาณคนละ 1 ล้าน)
ถ้ามีลูกหลายคน ส่วนนี้ลูกทุกคนจะได้เท่ากัน
เป็น "เงินก้อนสุดท้าย" ที่เราจะให้ ต่อจากนี้ไม่ให้แล้ว
ต้องเก็บเงินไว้ดูแลตัวเองตอนแก่ต่อไปเพราะตั้งใจจะไม่พึ่งพาลูกตอนแก่
หลังจากนั้นถ้าลูกยังอยากอยู่ที่บ้านต่อก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านหารค่าน้ำไฟด้วย
หรือถ้าลูกอยากย้ายออกก็ดีไปอย่าง จะได้เคลียร์บ้านไว้รองรับวัยเกษียณกับสามีและปรับตัวกับความเหงาตั้งแต่เนิ่นๆ
ตรงนี้ถ้าลูกมีพื้นฐานความรู้การเงินที่ดีก็น่าจะบริหารจัดการให้งอกเงยต่อไปได้
แต่ถ้าลูกผลาญหมดก็เรื่องของลูกไปค่ะ หาทางดิ้นรนต่อเอาเองแล้วกัน ช่วยตลอดเดี๋ยวอยู่ไม่รอด
*****2. เป็นค่าดูแลเราในฐานะลูก :
ตอนเราตาย จะทำพินัยกรรมแบ่งสมบัติที่เรามีตอนนั้นให้ตามการดูแลเรา ใครดูแลเรามากก็ได้มาก
ใครไม่ได้ดูแลก็ไม่ต้องเอาอะไรไป ถึงตอนนั้นถ้าตรงนี้ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคนอื่นมาดูแลก็ให้คนอื่นได้ไป
หรือถ้าไม่มีใครดูแลก็เข้าการกุศลค่ะ
ไม่มีกรณีแบบ ลูกคนไหนมีน้อย เป็นหนี้ หรือดูอ่อนแอ น่าเป็นห่วง ควรให้เยอะหน่อย
เดี๋ยวลูกคนอื่นที่เสียสละจะน้อยใจเอา อยากให้แฟร์เป็นการตอบแทนสิ่งที่เค้าทำให้เราค่ะ
------
ในวัยแก่ของเราก็ตั้งใจเก็บกินเงินที่งอกเงยจากทรัพย์สินที่ลงทุนไปมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ถ้ามีแรงมีความอยากก็ท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมที่ชอบ
ใช้เงินซื้อบริการการดูแลที่ดี ลูกหลานมาเยี่ยมเยียนบ้างก็ดี
ถ้าไม่มีใครสะดวกมาเยี่ยมเราก็อัพโซเชียลอัพเดตตัวเองไป ไปดูอัพเดตเค้าบ้าง
หลักๆ คืออยู่เป็นเพื่อนกับสามีเราไป ถ้าสามีตายก่อน เราก็หาเพื่อนสาวเที่ยวต่อ
หรือใดๆ ตามสภาพร่างกายและสถานการณ์ตอนนั้น
ปัจจุบัน
- อยู่ต่างประเทศที่เด็กมีค่านิยมว่าตอนจบมัธยมจะไม่ขอเงินที่บ้านกันแล้ว ไม่ได้มีการติวสอบเข้าโหดร้าย
เด็กมักจะออกมาทำงานหาเองตั้งแต่ช่วงมัธยม+รัฐมีกองทุนช่วยจ่ายค่าเทอมให้ พ่อแม่ไม่ต้องจ่าย
- แฟนเราเป็นนักลงทุน มีความรู้พอปูพื้นการลงทุนให้ลูกได้ ดูแล้ววางใจได้ประมาณนึง
- เรามีอาชีพสาย skilled job แก่ไปมีหลายทางที่ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาลูก
- ทรัพย์สินเกษียณ ทรัพย์สินไว้เลี้ยงลูก แยกชัดเจนไม่ปะปน
- วางแผนมีลูก 2 คน เมื่อเราพร้อม (เงินพร้อม ไปเที่ยวกับแฟนมาจนพอแล้ว) คือช่วงประมาณอายุ 35-38 ปี พอลูกเรียนจบเริ่มมีหลานตัวเล็กๆ ก็น่าจะเป็นช่วงแก่ตายของเราพอดี เค้าจะได้ไม่ต้องมีห่วงอะไรนานมาก โฟกัสครอบครัวใหม่ได้เต็มที่ แต่ถ้าเรามีปัญหาว่ามีลูกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปช่วยดูแลหลานหรือไปเที่ยวกับเพื่อนที่เค้าไม่มีลูกแทนก็ได้
ใครมีแผนอะไรน่าสนใจ แชร์ไว้เป็นไอเดียกันได้นะคะ
ตั้งใจให้มรดกลูกไว้อย่างนี้
เลยอยากมาแชร์เป็นไอเดียกันค่ะ
นี่เป็นแผนการให้มรดกลูกที่เราตั้งใจเอาไว้
ใครมีอะไรอยากชี้แนะหรือแสดงความเห็นก็บอกไว้ได้นะคะ
------
ปัจจุบันเรายังไม่มีลูกค่ะ แต่เคยเลี้ยงดูและส่งเสียน้องที่อายุห่างมากๆ
เหมือนเป็นลูกมาก่อนจนน้องเรียนจบ คิดว่าพอเข้าใจไอเดียการเลี้ยงเด็กจนโตอยู่คร่าวๆ
ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีดี เพราะเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ต้องเสียสละและมีความเสี่ยงหลายอย่าง
แต่ก็พิจารณาแล้วว่า เราก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างสรรค์คนที่มีคุณภาพให้สังคมได้
เป็นการตอบแทนสังคมในรูปแบบหนึ่ง ช่วยเติมเต็มความคาดหวังของบุพการี เป็นความทรงจำในชีวิตที่ดี
วันนึงถ้ามีลูก ตั้งใจจะปูพื้นฐานการเงินให้ลูกดีๆ สอนให้ลูกรู้จักด้านลงทุน ปันผล ทรัพย์สินต่างๆ
หรือลองผิดลองถูกทำธุรกิจถ้าลูกสนใจตั้งแต่เด็ก
และมรดกในส่วนที่จะให้ลูก จะคุยให้เคลียร์กับลูกทุกคนตั้งแต่แรกเลยว่า
นอกเหนือจากการดูแลตามพื้นฐานที่ลูกจะได้ เราก็จะมีให้แค่สองส่วนคือ
*****1. เป็นค่าดูแลลูกในฐานะพ่อแม่ :
ตอนลูกเรียนจบมัธยม จะโอนเงินให้ก้อนหนึ่ง
(มากน้อยตามปัจจัยตอนนั้น ตีในใจตอนนี้คือประมาณคนละ 1 ล้าน)
ถ้ามีลูกหลายคน ส่วนนี้ลูกทุกคนจะได้เท่ากัน
เป็น "เงินก้อนสุดท้าย" ที่เราจะให้ ต่อจากนี้ไม่ให้แล้ว
ต้องเก็บเงินไว้ดูแลตัวเองตอนแก่ต่อไปเพราะตั้งใจจะไม่พึ่งพาลูกตอนแก่
หลังจากนั้นถ้าลูกยังอยากอยู่ที่บ้านต่อก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านหารค่าน้ำไฟด้วย
หรือถ้าลูกอยากย้ายออกก็ดีไปอย่าง จะได้เคลียร์บ้านไว้รองรับวัยเกษียณกับสามีและปรับตัวกับความเหงาตั้งแต่เนิ่นๆ
ตรงนี้ถ้าลูกมีพื้นฐานความรู้การเงินที่ดีก็น่าจะบริหารจัดการให้งอกเงยต่อไปได้
แต่ถ้าลูกผลาญหมดก็เรื่องของลูกไปค่ะ หาทางดิ้นรนต่อเอาเองแล้วกัน ช่วยตลอดเดี๋ยวอยู่ไม่รอด
*****2. เป็นค่าดูแลเราในฐานะลูก :
ตอนเราตาย จะทำพินัยกรรมแบ่งสมบัติที่เรามีตอนนั้นให้ตามการดูแลเรา ใครดูแลเรามากก็ได้มาก
ใครไม่ได้ดูแลก็ไม่ต้องเอาอะไรไป ถึงตอนนั้นถ้าตรงนี้ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคนอื่นมาดูแลก็ให้คนอื่นได้ไป
หรือถ้าไม่มีใครดูแลก็เข้าการกุศลค่ะ
ไม่มีกรณีแบบ ลูกคนไหนมีน้อย เป็นหนี้ หรือดูอ่อนแอ น่าเป็นห่วง ควรให้เยอะหน่อย
เดี๋ยวลูกคนอื่นที่เสียสละจะน้อยใจเอา อยากให้แฟร์เป็นการตอบแทนสิ่งที่เค้าทำให้เราค่ะ
------
ในวัยแก่ของเราก็ตั้งใจเก็บกินเงินที่งอกเงยจากทรัพย์สินที่ลงทุนไปมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ถ้ามีแรงมีความอยากก็ท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมที่ชอบ
ใช้เงินซื้อบริการการดูแลที่ดี ลูกหลานมาเยี่ยมเยียนบ้างก็ดี
ถ้าไม่มีใครสะดวกมาเยี่ยมเราก็อัพโซเชียลอัพเดตตัวเองไป ไปดูอัพเดตเค้าบ้าง
หลักๆ คืออยู่เป็นเพื่อนกับสามีเราไป ถ้าสามีตายก่อน เราก็หาเพื่อนสาวเที่ยวต่อ
หรือใดๆ ตามสภาพร่างกายและสถานการณ์ตอนนั้น
ปัจจุบัน
- อยู่ต่างประเทศที่เด็กมีค่านิยมว่าตอนจบมัธยมจะไม่ขอเงินที่บ้านกันแล้ว ไม่ได้มีการติวสอบเข้าโหดร้าย
เด็กมักจะออกมาทำงานหาเองตั้งแต่ช่วงมัธยม+รัฐมีกองทุนช่วยจ่ายค่าเทอมให้ พ่อแม่ไม่ต้องจ่าย
- แฟนเราเป็นนักลงทุน มีความรู้พอปูพื้นการลงทุนให้ลูกได้ ดูแล้ววางใจได้ประมาณนึง
- เรามีอาชีพสาย skilled job แก่ไปมีหลายทางที่ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาลูก
- ทรัพย์สินเกษียณ ทรัพย์สินไว้เลี้ยงลูก แยกชัดเจนไม่ปะปน
- วางแผนมีลูก 2 คน เมื่อเราพร้อม (เงินพร้อม ไปเที่ยวกับแฟนมาจนพอแล้ว) คือช่วงประมาณอายุ 35-38 ปี พอลูกเรียนจบเริ่มมีหลานตัวเล็กๆ ก็น่าจะเป็นช่วงแก่ตายของเราพอดี เค้าจะได้ไม่ต้องมีห่วงอะไรนานมาก โฟกัสครอบครัวใหม่ได้เต็มที่ แต่ถ้าเรามีปัญหาว่ามีลูกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปช่วยดูแลหลานหรือไปเที่ยวกับเพื่อนที่เค้าไม่มีลูกแทนก็ได้
ใครมีแผนอะไรน่าสนใจ แชร์ไว้เป็นไอเดียกันได้นะคะ