ผมลืมตาตื่น เพราะได้ยินเสียงกุกกัก เหมือนมีคนเดินอยู่ในห้อง สงสัยภรรยาคงลุกไปเข้าห้องน้ำ เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ เวลาบอกตีสี่
เดี๋ยวนะ ภรรยาเราก็นอนกอดอยู่นี่หว่า แล้วใครจะเดินอยู่ในห้อง ลูกก็ไม่น่าใช่ เมื่อคืนหลับเที่ยงคืนกว่า ปกตินอนไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง แม่ไปปลุกยังไม่อยากตื่นเลย
หรือว่า จะโดนรับน้องในวันที่ 2 ไม่น่านะ
ได้ยินว่า Iceland เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถิติอาชญากรรมต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เราคงไม่ซวยขนาดนั้นมั๊ง
แต่คำว่า "ต่ำ" ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะ
ขณะกำลังนอนคิดอยู่นั้น เสียงเดินเคลื่อนจากห้องแรกมาห้องสองที่ผมกับภรรยากำลังนอนอยู่ ผมนอนชิดผนังด้านใน คุณภรรยาอยู่ริมนอก
ปรากฎว่าเสียงนั้น มาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง
ไอ้เราก็นอนเกร็ง กลั้นหายใจอยู่
หรือว่า หรือว่า หรือว่า...
ตุ๊บ!
เจ้าลูกชายตัวแสบ กระโดดลงมาบนเตียง กึ่งกลางระหว่างพ่อแม่ บอกว่า
"ตื่นแล้วนอนไม่หลับ"
พาลพาให้ผมหลับไม่ลงตามไปอีกคน
ตีสี่บ้านเค้า ก็ 11 โมงบ้านเราอะครับ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้ ถึงว่า ทำไมเจ้าลูกชายถึงตื่น
พวกเราโดน ไอ้ Jet มัน แดก แล้วครับ
หลังจากนอนแบบเต็มอิ่มไปตั้ง...2 ชั่วโมง
หลับตีสอง ตื่นตีสี่ พร้อมลุย Iceland มาก วันนั้น
หลังจากไม่สามารถหลับต่อได้แล้ว ก็เอาชุดเสื้อผ้ากันหนาวของแต่ละคนออกมาจากถุงสุญญากาศ และจัดเสื้อผ้าในกระเป๋าใหม่ ไม่เอาแล้วไอ้แบบที่ต้องยกกระเป๋าทุกใบลงจากรถเหมือนเมื่อคืน จึงจัด priority เสื้อผ้า ชุดไหนใส่ก่อนหลัง ยัดในกระเป๋าแยกกัน หนึ่งใบเล็กสำหรับลูก หนึ่งใบเล็กบวกหนึ่งใบใหญ่สำหรับพ่อแม่ และอีกใบที่ใส่เสบียงขนมาจากเมืองไทย และเตรียมที่กักตุนเสบียงเพิ่มจากที่นี่ กระเป๋าที่เหลือจะได้ไม่ต้องขนลงจากรถ
กว่าจะเสร็จ หกโมงกว่า อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสร็จ เจ็ดโมง ได้เวลาไปเดินตลาดสดในเมือง Reykjavik แล้ว
พวกเราแต่ละคน ใส่ชุดเต็มยศในเช้าวันนั้น เพราะได้รับการต้อนรับอย่างหนาวเหน็บเมื่อคืน
ชุดเต็มยศที่ว่าคือ ชุด Ultra warm heat suit ชั้นแรก เสื้อวอร์มชั้นที่สอง และเสื้อ Coat ตัวที่หนาและใหญ่ที่สุดของแต่ละคน กางเกงสองชั้นแบบชั้นนอกกันน้ำได้ก็ต้องมา หมวกไหมพรมแบบสองชั้น ถุงมืออย่างหนา มาเต็มมากเช้านั้น
พอออกไปเผชิญอากาศหนาวตอนเช้าข้างนอก เออ ชุดเอาอยู่แฮะ อุ่นสบายดี หนาวแค่ส่วนหน้า ที่ไม่มีอะไรปิดบัง
เดินสบายๆ เลาะไปตามถนน แทบไม่เจอใครเลย เช้าวันเสาร์ สงสัยยังไม่ตื่นกัน
ทางคนเดินที่เมืองหลวงของ Iceland ใหญ่กว่าถนนที่รถวิ่งเกือบเท่าตัว ถนนรถวิ่งในซอยจะเล็กๆ
เลนเดียว ส่วนทางเดินของคนที่ขนาบข้างถนนรถวิ่ง จะใหญ่พอๆ กับเลนถนนเลย ให้นึกภาพว่า มีทางอยู่สามเลน สองเลนเป็นทางคนเดิน ส่วนอีกหนึ่งเลนสำหรับรถวิ่ง
ช่างเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับคนมากกว่ารถจริงๆ
ไม่เหมือนบางประเทศ ที่ขยันซ่อมขยันขยายถนนกันจัง ส่วนทางคนเดิน ก็ช่างหัวคนเดินสิครับ
เดินชมบ้านชมเมืองไปเรื่อยๆ เริ่มเจอผู้คนบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งก็สงสัย ทำไมเค้าไม่ใส่ชุดเต็มยศเหมือนเราวะ คือถ้าคิดกลับกัน เค้าคงสงสัย ไอ้สี่คนนี้ มันจะไปมุดถ้ำน้ำแข็งที่ไหนวะ
แปดโมงกว่า เด็กๆ เริ่มหิว แต่ร้านรวงยังไม่ค่อยเปิดเลย แม้แต่ร้านขายของชำก็ยังไม่เปิด มันน่าบอกเจ้าสัวให้ไปเปิด 7-11 ที่นี่จังเลย
ส่วนร้าน Hot Dog เจ้าดัง กว่าจะเปิดก็เก้าโมง เลยเดินหาของกิน ไม่สนแล้วว่าร้านอะไร ขอให้เด็กๆ กินได้ก็พอ เดินเหมือนคนหลงทางไปเรื่อย ปรากฎว่า เห็นคนเดินถือถุงสีน้ำตาลเดินสวนมา เดาว่าข้างในถุงคงเป็นของกิน น่าจะมาถูกทางแล้ว
ในที่สุดก็เจอร้านขายขนมปัง เปิดประตูเข้าไป เจอกลิ่นขนมปังกระแทกจมูก แทบจะลืม IF ไปทันที
ข้างในร้านถือว่าเล็กมาก มีพื้นที่ให้ลูกค้ายืนต่อคิวซื้อขนมปังไม่เยอะ มีคนรอซื้ออยู่ก่อนแล้วสี่ห้าคน เจอบ้านผมเพิ่มเข้าไปอีกสี่ คือแน่นร้านแล้ว
เค้าจัดร้านแบบ minimal แต่โคตรดึงดูดให้ซื้อของ พื้นที่ส่วนใหญ่ของร้านคือตู้อบ ชั้นพัก ชั้นวางขนมปัง ครัวซอง และคุ๊กกี้ ซึ่งอยู่ด้านข้างและด้านหลังคนขาย กลิ่นขนมปังก็ตลบอบอวลอยู่ในนั้นแหล่ะ กลิ่นคงติดผมติดเสื้อผ้าลูกค้า แต่ดีกว่ากลิ่นหมูกระทะบ้านเราแน่นอน
Menu มีแค่ไม่กี่อย่าง วางโชว์ในตู้กระจก อยากกินอะไรก็ชี้บอกคนขาย เค้าก็หยิบขนมปัง จากชั้นด้านหลังที่เพิ่งออกจากเตาอบ มาใส่ถุงสีน้ำตาลให้ แล้วจ่ายตังค์
คนขายส่วนใหญ่ในร้าน เป็นสาววัยเกินรุ่นมานิดหน่อย หน้าตาดีตามไสตล์คนยุโรป แม้ไม่ค่อยยิ้มแย้มรับแขกเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ขายดีแน่นอน
พอบ้านเราเดินออกมา ร้านเค้าก็โล่งขึ้นเยอะเลย
ได้ขนมปังแล้ว แต่ยังไม่มีน้ำ จริงๆ ในร้านขนมปังก็มีน้ำเปล่าให้เปิดใส่แก้วกินได้ แต่ถ้าจะยืนกินขนมปังในร้าน เพื่อดื่มน้ำที่เค้ามีให้ ก็น่าจะโดนเค้าด่าแม่
ผมกับลูกสาวจึงเดินไปอีกร้านหนึ่งไม่ไกลกัน เป็นร้านกาแฟ เล็กกว่าร้านขนมปังเมื่อกี๊อีก แต่มีโต๊ะนั่งเล็กๆ อยู่ 3-4 โต๊ะ มีที่ว่างนิดหน่อย โดยให้ลูกสาวเป็นคนสั่ง Hot Chocolate เพิ่มวิปครีม 2 แก้ว แบบ to go
กรุณาอย่าคิดว่าบ้านผมจะเอาขนมปังจากอีกร้านหนึ่ง เข้าไปนั่งทานหลบอากาศหนาวในร้านกาแฟเขานะ ขอโทษ บ้านผมผู้ดีเก่าครับ
แต่ถ้าวันนั้น ที่นั่งในร้านกาแฟว่างครบสี่ที่ ก็ไม่แน่นะ...
พอได้เครื่องดื่มที่เพิ่มวิปครีมมาแบบไม่สะใจ สู้ของเมืองไทยไม่ได้ ผมกับลูกสาวจึงเดินตามตามหาคุณภรรยากับลูกชายที่ให้เดินล่วงหน้ามาก่อนเพื่อจับจองที่นั่งกินขนมปัง as a breakfast
เจอลูกชายนั่งโซ๊ยขนมปังของตัวเองบนม้านั่งด้านหน้าโบสถ์ขึ้นชื่อของตัวเมือง Reykjavik ส่วนคุณภรรยาก็กำลังเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ อยู่ ตอนนั้นประมาณแปดโมงครึ่ง ยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ เห็นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาถ่ายรูปที่หน้าอุโบสถนิดหน่อย ยังไม่เห็นหัวชนชาติไทยคนอื่นในบริเวณใกล้เคียง
ผมกับภรรยาเจอกลิ่นขนมปังในร้านนั้นเข้าไป จึงตบะ IF แตก นั่งกินกับลูกๆ อย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งได้จิบ Hot Chocolate ตามเข้าไป ยิ่งเพิ่มรสชาติความอร่อยเข้าไปอีก
เอ๊ะ! หรือเพราะไม่ได้กินอะไรตอนเช้ามามาน พอมีอะไรตกถึงท้อง มันก็อร่อยหมด หวังว่าคงไม่ใช่
ขณะที่พวกเรากำลังจัดการขนมปังจากถุงสีน้ำตาลอยู่นั้น มีนั่งท่องเที่ยวบางคนที่เดินผ่านพวกเรา แล้วมองแบบแปลกๆ ไม่รู้เค้าคิดในใจหรือเปล่า ว่าเราเหมือนพวก Homeless มานั่งเก็บขนมปังเหลือจากคนอื่นกิน
Homeless ที่ไหนจะใส่เสื้อ coat หนาขนาดนี้ฟะ
จากนั้นจึงพากันเดินกลับห้องพัก เพราะฝนตั้งเค้าจะตก ถึงห้องพักก็ช่วยกันขนกระเป๋าลงจากห้อง และ check-out โดยการวาง key card ไว้ในห้องเช่นเดิม เพราะ 9 โมงกว่าแล้ว ยังไม่เห็นหน้า reception เลย สงสัยยังไม่ตื่น เมื่อคืนคงมีคนรบกวนเวลานอน
พอขนกระเป๋าออกมาด้านหน้าโรงแรม ประตูกระจกปิดปั๊บ ฝนก็เทลงมา ต้องรีบลากกระเป๋า 6 ใบวิ่งเข้าในซอยที่มีทางลงที่จอดรถ ดีที่ไม่ไกลมาก พอหลบอยู่ในร่มได้แล้ว ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตู้จ่ายค่าจอดรถ คงเป็นตู้จ่ายสำหรับรถที่เราจอดไว้ที่ชั้นใต้ดินแน่ๆ
ผมเลยบอกให้คุณภรรยาและลูกๆ เช็ดเสื้อผ้า กระเป๋า จัดโน่นจัดนี่
แต่จริงๆ แล้ว กำลังซื้อเวลา เพื่อรอดูว่า เค้าจ่ายเงินค่าที่จอดรถยังไง
และแล้ว ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมาที่ตู้จ่ายค่าจอดรถ เห็นเธอยืนจิ้มๆ อยู่แป๊บเดียวก็เสร็จ ซึ่งผมก็แอบชำเลืองดูอยู่ว่า หน้าจอมันขึ้นอะไรบ้าง
ปรากฎว่า หน้าจอมันขึ้นเป็นภาษา Iceland อ่านไม่ออกซักตัว
พอเธอตั้งท่าจะเดินไป จึงตัดสินถามผู้รู้ดีกว่า
"เอ็ก คิ้ว มี, คู๊ด ยู ทีช มี ฮาว ทู ยูส ดีส?"
"Yes, sure" เธอเข้าใจและพูดภาษาอังกฤษด้วย
เธออธิบายว่า ยูก็กดปุ่มเลือกภาษาก่อน จากนั้นก็ใส่เลขทะเบียนรถ สอดบัตรเครดิตเพื่อจ่ายเงิน ก็จบแล้ว
ไม่ยากนี่หว่า ไอ้เราก็นึกว่ามีแต่ภาษาท้องถิ่น ผมจึงลองจ่ายค่าจอดรถดู โดยมีเจ้าลูกชายเป็นผู้ช่วย
ขณะกำลังยืนจิ้มอยู่ ผู้หญิงคนนั้น เดินกลับมา บอกว่า
"You have 15 minutes to drive the car out from car parking"
"แซ้ง กิ้ว" ตอบกลับไปพร้อมหยุดขั้นตอนการจ่ายค่าที่จอดรถ ทางที่ดี เอากระเป๋าไปยัดใส่ในรถให้เสร็จก่อนดีกว่า ค่อยกลับมาจ่าย
ที่จอดรถแบบนี้ มันดีตรงที่มี elevator ให้บริการด้วย แต่เล็กไปนะ ใส่ได้แค่กระเป๋า 6 ใบ และคน 3 คน ผมเข้าไม่ได้ มันเต็ม เลยบอกเจอกันข้างล่าง เดี๋ยวเดินลงบันไดไปรอ
พอผมลงไปรอยู่หน้า elevator ปรากฎว่า ประตูไม่เปิด มันยังลงไปได้อีก เพิ่งรู้ว่ามีสองชั้น ผมเลยรีบวิ่งลงไปอีกชั้น เจอหน้ากันเลยบอกให้กลับขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงยัดกระเป๋าเข้าท้ายรถ แล้วผมจึงกลับขึ้นไปจัดการจ่ายค่าจอดรถต่อที่ตู้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร
เข้าใจว่า ถ้าไม่จ่ายค่าจอดรถ barrier ขาออกน่าจะไม่เปิดให้ เค้าคงใช้ระบบกล้องวงจรปิด จับป้ายทะเบียน link กับตู้จ่ายค่าจอดรถ และ barrier แทนที่จะใช้คนมานั่งแจกบัตรหรือเก็บค่าที่จอดรถ คือเอาคนไปทำงานอย่างอื่นที่เกิดประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่า
เป้าหมายแรก หลังขับรถออกจากที่จอดรถได้ คือ ร้านขายของชำที่ชื่อ Bonus ได้ข่าวว่าขายของถูก
ขับรถแบบ slow life ด้วยความเร็ว 30 บ้าง 50 บ้าง ไปตามเส้นทางที่ google map บอก พอถึงที่หมายตอนสิบโมง ร้านเปิดทำการพอดี
ของที่ซื้อคือ ขนมปัง แยม ไส้กรอก ไข่ ขนม นม ชีส กล้วย สตอเบอรี่ น้ำผลไม้ และน้ำเปล่า น่าจะพอประทังชีวิตได้มื้อสองมื้อ
มีอย่างเดียวที่ถูกกว่าบ้านเราคือ สตอเบอรี่ นอกนั้นแพงกว่าหมด
เสร็จจากซื้อของ ก็ได้เวลาออกนอกเมืองหลวง โดยเส้นทางสำหรับผจญภัยในวันนี้ คือเส้นทางที่ชาวบ้านชาวช่องเรียกว่า Golden Ring
ขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีจุดหมายปลายทางแรกคือ อุทยานแห่งชาติ Thingvellir วันนี้ใช้ Nevigator ที่รถเป็นแล้ว จึงขับไปตามเส้นทางที่โชว์บนจอ monitor ในรถ แต่ก็ไม่วายเปิด google map ในมือถือ เป็นการ double check เส้นทางว่าไม่หลงแน่ๆ
การขับรถในเขตนอกเมือง จะใช้ความเร็วได้สูงสุด 90 Km/hr เป็นถนนลาดยางแค่ 2 เลน รถวิ่งสวนกัน สภาพถนนผมว่าสู้บ้านเราไม่ได้ แต่ถ้าช่วงไหนเป็นสะพานข้ามลำธาร (ไม่ใช่คลองเหมือนบ้านเรา) ส่วนใหญ่จะเหลือแค่เลนเดียว รถแต่ละฝั่งต้องหลีกให้กัน แต่ง่ายๆ คือ ใครมาถึงสะพานก่อน ก็ไปก่อน และความเร็วบนสะพานคือ 50 Km/hr
ถ้านักการเมืองไทย ไปเที่ยวที่ Iceland คงอยากไปตั้งพรรคการเมืองที่ประเทศนี้มาก คือพื้นที่มันน่าสร้างถนน 16 เลนมาก
พอใกล้ถึงเป้าหมาย Nevigator ในรถบอกให้เลี้ยวขวาข้างหน้า แต่ใน google map บอกให้ตรงไป เอาไงหล่ะทีนี้
ทำไมพวกไม่ตกลงกันก่อนวะ ว่าจะให้เลี้ยวขวาหรือตรงไป
สุดท้ายในฐานะผู้ขับขี่ เลยเลือกเชื่อ google map
พอขับตรงไปเรื่อยๆ Navigator พยายามบอกให้กลับรถ แต่ผมไม่เชื่อมัน ยังมั่นใจในค่าย USA
จน google map ให้เลี้ยวขวา ผมก็เลี้ยวไป พอขับไปซักพัก ข้างหน้ามันเวิ้งว้างมาก
ไม่ใช่ละ จึงจอดรถและ เปิด google map และ zoom ดูภาพถ่ายดาวเทียม ปรากฎว่าเลยจุดหมายแล้วครับ จึงกลับรถไปทางเดิมตามที่ Nevigator ในรถบอก
ยกแรก ค่าย Japan ชนะครับ
พอถึงที่หมาย เมฆฝนมาเต็ม และเริ่มลงเม็ดปรอยๆ เด็กๆ ยังหลับอยู่ จึงชั่งใจว่า จะลงหรือไม่ลงจากรถ ไปจุดหมายต่อไปเลยดีไหม
สุดท้ายเป็นคุณภรรยา ที่ฟันฉับว่า...
(To be continued)
ผจญภัยดินแดนแห่งน้ำแข็ง (3)
เดี๋ยวนะ ภรรยาเราก็นอนกอดอยู่นี่หว่า แล้วใครจะเดินอยู่ในห้อง ลูกก็ไม่น่าใช่ เมื่อคืนหลับเที่ยงคืนกว่า ปกตินอนไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง แม่ไปปลุกยังไม่อยากตื่นเลย
หรือว่า จะโดนรับน้องในวันที่ 2 ไม่น่านะ
ได้ยินว่า Iceland เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถิติอาชญากรรมต่ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เราคงไม่ซวยขนาดนั้นมั๊ง
แต่คำว่า "ต่ำ" ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะ
ขณะกำลังนอนคิดอยู่นั้น เสียงเดินเคลื่อนจากห้องแรกมาห้องสองที่ผมกับภรรยากำลังนอนอยู่ ผมนอนชิดผนังด้านใน คุณภรรยาอยู่ริมนอก
ปรากฎว่าเสียงนั้น มาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง
ไอ้เราก็นอนเกร็ง กลั้นหายใจอยู่
หรือว่า หรือว่า หรือว่า...
ตุ๊บ!
เจ้าลูกชายตัวแสบ กระโดดลงมาบนเตียง กึ่งกลางระหว่างพ่อแม่ บอกว่า
"ตื่นแล้วนอนไม่หลับ"
พาลพาให้ผมหลับไม่ลงตามไปอีกคน
ตีสี่บ้านเค้า ก็ 11 โมงบ้านเราอะครับ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้ ถึงว่า ทำไมเจ้าลูกชายถึงตื่น
พวกเราโดน ไอ้ Jet มัน แดก แล้วครับ
หลังจากนอนแบบเต็มอิ่มไปตั้ง...2 ชั่วโมง
หลับตีสอง ตื่นตีสี่ พร้อมลุย Iceland มาก วันนั้น
หลังจากไม่สามารถหลับต่อได้แล้ว ก็เอาชุดเสื้อผ้ากันหนาวของแต่ละคนออกมาจากถุงสุญญากาศ และจัดเสื้อผ้าในกระเป๋าใหม่ ไม่เอาแล้วไอ้แบบที่ต้องยกกระเป๋าทุกใบลงจากรถเหมือนเมื่อคืน จึงจัด priority เสื้อผ้า ชุดไหนใส่ก่อนหลัง ยัดในกระเป๋าแยกกัน หนึ่งใบเล็กสำหรับลูก หนึ่งใบเล็กบวกหนึ่งใบใหญ่สำหรับพ่อแม่ และอีกใบที่ใส่เสบียงขนมาจากเมืองไทย และเตรียมที่กักตุนเสบียงเพิ่มจากที่นี่ กระเป๋าที่เหลือจะได้ไม่ต้องขนลงจากรถ
กว่าจะเสร็จ หกโมงกว่า อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสร็จ เจ็ดโมง ได้เวลาไปเดินตลาดสดในเมือง Reykjavik แล้ว
พวกเราแต่ละคน ใส่ชุดเต็มยศในเช้าวันนั้น เพราะได้รับการต้อนรับอย่างหนาวเหน็บเมื่อคืน
ชุดเต็มยศที่ว่าคือ ชุด Ultra warm heat suit ชั้นแรก เสื้อวอร์มชั้นที่สอง และเสื้อ Coat ตัวที่หนาและใหญ่ที่สุดของแต่ละคน กางเกงสองชั้นแบบชั้นนอกกันน้ำได้ก็ต้องมา หมวกไหมพรมแบบสองชั้น ถุงมืออย่างหนา มาเต็มมากเช้านั้น
พอออกไปเผชิญอากาศหนาวตอนเช้าข้างนอก เออ ชุดเอาอยู่แฮะ อุ่นสบายดี หนาวแค่ส่วนหน้า ที่ไม่มีอะไรปิดบัง
เดินสบายๆ เลาะไปตามถนน แทบไม่เจอใครเลย เช้าวันเสาร์ สงสัยยังไม่ตื่นกัน
ทางคนเดินที่เมืองหลวงของ Iceland ใหญ่กว่าถนนที่รถวิ่งเกือบเท่าตัว ถนนรถวิ่งในซอยจะเล็กๆ
เลนเดียว ส่วนทางเดินของคนที่ขนาบข้างถนนรถวิ่ง จะใหญ่พอๆ กับเลนถนนเลย ให้นึกภาพว่า มีทางอยู่สามเลน สองเลนเป็นทางคนเดิน ส่วนอีกหนึ่งเลนสำหรับรถวิ่ง
ช่างเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับคนมากกว่ารถจริงๆ
ไม่เหมือนบางประเทศ ที่ขยันซ่อมขยันขยายถนนกันจัง ส่วนทางคนเดิน ก็ช่างหัวคนเดินสิครับ
เดินชมบ้านชมเมืองไปเรื่อยๆ เริ่มเจอผู้คนบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งก็สงสัย ทำไมเค้าไม่ใส่ชุดเต็มยศเหมือนเราวะ คือถ้าคิดกลับกัน เค้าคงสงสัย ไอ้สี่คนนี้ มันจะไปมุดถ้ำน้ำแข็งที่ไหนวะ
แปดโมงกว่า เด็กๆ เริ่มหิว แต่ร้านรวงยังไม่ค่อยเปิดเลย แม้แต่ร้านขายของชำก็ยังไม่เปิด มันน่าบอกเจ้าสัวให้ไปเปิด 7-11 ที่นี่จังเลย
ส่วนร้าน Hot Dog เจ้าดัง กว่าจะเปิดก็เก้าโมง เลยเดินหาของกิน ไม่สนแล้วว่าร้านอะไร ขอให้เด็กๆ กินได้ก็พอ เดินเหมือนคนหลงทางไปเรื่อย ปรากฎว่า เห็นคนเดินถือถุงสีน้ำตาลเดินสวนมา เดาว่าข้างในถุงคงเป็นของกิน น่าจะมาถูกทางแล้ว
ในที่สุดก็เจอร้านขายขนมปัง เปิดประตูเข้าไป เจอกลิ่นขนมปังกระแทกจมูก แทบจะลืม IF ไปทันที
ข้างในร้านถือว่าเล็กมาก มีพื้นที่ให้ลูกค้ายืนต่อคิวซื้อขนมปังไม่เยอะ มีคนรอซื้ออยู่ก่อนแล้วสี่ห้าคน เจอบ้านผมเพิ่มเข้าไปอีกสี่ คือแน่นร้านแล้ว
เค้าจัดร้านแบบ minimal แต่โคตรดึงดูดให้ซื้อของ พื้นที่ส่วนใหญ่ของร้านคือตู้อบ ชั้นพัก ชั้นวางขนมปัง ครัวซอง และคุ๊กกี้ ซึ่งอยู่ด้านข้างและด้านหลังคนขาย กลิ่นขนมปังก็ตลบอบอวลอยู่ในนั้นแหล่ะ กลิ่นคงติดผมติดเสื้อผ้าลูกค้า แต่ดีกว่ากลิ่นหมูกระทะบ้านเราแน่นอน
Menu มีแค่ไม่กี่อย่าง วางโชว์ในตู้กระจก อยากกินอะไรก็ชี้บอกคนขาย เค้าก็หยิบขนมปัง จากชั้นด้านหลังที่เพิ่งออกจากเตาอบ มาใส่ถุงสีน้ำตาลให้ แล้วจ่ายตังค์
คนขายส่วนใหญ่ในร้าน เป็นสาววัยเกินรุ่นมานิดหน่อย หน้าตาดีตามไสตล์คนยุโรป แม้ไม่ค่อยยิ้มแย้มรับแขกเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ขายดีแน่นอน
พอบ้านเราเดินออกมา ร้านเค้าก็โล่งขึ้นเยอะเลย
ได้ขนมปังแล้ว แต่ยังไม่มีน้ำ จริงๆ ในร้านขนมปังก็มีน้ำเปล่าให้เปิดใส่แก้วกินได้ แต่ถ้าจะยืนกินขนมปังในร้าน เพื่อดื่มน้ำที่เค้ามีให้ ก็น่าจะโดนเค้าด่าแม่
ผมกับลูกสาวจึงเดินไปอีกร้านหนึ่งไม่ไกลกัน เป็นร้านกาแฟ เล็กกว่าร้านขนมปังเมื่อกี๊อีก แต่มีโต๊ะนั่งเล็กๆ อยู่ 3-4 โต๊ะ มีที่ว่างนิดหน่อย โดยให้ลูกสาวเป็นคนสั่ง Hot Chocolate เพิ่มวิปครีม 2 แก้ว แบบ to go
กรุณาอย่าคิดว่าบ้านผมจะเอาขนมปังจากอีกร้านหนึ่ง เข้าไปนั่งทานหลบอากาศหนาวในร้านกาแฟเขานะ ขอโทษ บ้านผมผู้ดีเก่าครับ
แต่ถ้าวันนั้น ที่นั่งในร้านกาแฟว่างครบสี่ที่ ก็ไม่แน่นะ...
พอได้เครื่องดื่มที่เพิ่มวิปครีมมาแบบไม่สะใจ สู้ของเมืองไทยไม่ได้ ผมกับลูกสาวจึงเดินตามตามหาคุณภรรยากับลูกชายที่ให้เดินล่วงหน้ามาก่อนเพื่อจับจองที่นั่งกินขนมปัง as a breakfast
เจอลูกชายนั่งโซ๊ยขนมปังของตัวเองบนม้านั่งด้านหน้าโบสถ์ขึ้นชื่อของตัวเมือง Reykjavik ส่วนคุณภรรยาก็กำลังเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ อยู่ ตอนนั้นประมาณแปดโมงครึ่ง ยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ เห็นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาถ่ายรูปที่หน้าอุโบสถนิดหน่อย ยังไม่เห็นหัวชนชาติไทยคนอื่นในบริเวณใกล้เคียง
ผมกับภรรยาเจอกลิ่นขนมปังในร้านนั้นเข้าไป จึงตบะ IF แตก นั่งกินกับลูกๆ อย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งได้จิบ Hot Chocolate ตามเข้าไป ยิ่งเพิ่มรสชาติความอร่อยเข้าไปอีก
เอ๊ะ! หรือเพราะไม่ได้กินอะไรตอนเช้ามามาน พอมีอะไรตกถึงท้อง มันก็อร่อยหมด หวังว่าคงไม่ใช่
ขณะที่พวกเรากำลังจัดการขนมปังจากถุงสีน้ำตาลอยู่นั้น มีนั่งท่องเที่ยวบางคนที่เดินผ่านพวกเรา แล้วมองแบบแปลกๆ ไม่รู้เค้าคิดในใจหรือเปล่า ว่าเราเหมือนพวก Homeless มานั่งเก็บขนมปังเหลือจากคนอื่นกิน
Homeless ที่ไหนจะใส่เสื้อ coat หนาขนาดนี้ฟะ
จากนั้นจึงพากันเดินกลับห้องพัก เพราะฝนตั้งเค้าจะตก ถึงห้องพักก็ช่วยกันขนกระเป๋าลงจากห้อง และ check-out โดยการวาง key card ไว้ในห้องเช่นเดิม เพราะ 9 โมงกว่าแล้ว ยังไม่เห็นหน้า reception เลย สงสัยยังไม่ตื่น เมื่อคืนคงมีคนรบกวนเวลานอน
พอขนกระเป๋าออกมาด้านหน้าโรงแรม ประตูกระจกปิดปั๊บ ฝนก็เทลงมา ต้องรีบลากกระเป๋า 6 ใบวิ่งเข้าในซอยที่มีทางลงที่จอดรถ ดีที่ไม่ไกลมาก พอหลบอยู่ในร่มได้แล้ว ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตู้จ่ายค่าจอดรถ คงเป็นตู้จ่ายสำหรับรถที่เราจอดไว้ที่ชั้นใต้ดินแน่ๆ
ผมเลยบอกให้คุณภรรยาและลูกๆ เช็ดเสื้อผ้า กระเป๋า จัดโน่นจัดนี่
แต่จริงๆ แล้ว กำลังซื้อเวลา เพื่อรอดูว่า เค้าจ่ายเงินค่าที่จอดรถยังไง
และแล้ว ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมาที่ตู้จ่ายค่าจอดรถ เห็นเธอยืนจิ้มๆ อยู่แป๊บเดียวก็เสร็จ ซึ่งผมก็แอบชำเลืองดูอยู่ว่า หน้าจอมันขึ้นอะไรบ้าง
ปรากฎว่า หน้าจอมันขึ้นเป็นภาษา Iceland อ่านไม่ออกซักตัว
พอเธอตั้งท่าจะเดินไป จึงตัดสินถามผู้รู้ดีกว่า
"เอ็ก คิ้ว มี, คู๊ด ยู ทีช มี ฮาว ทู ยูส ดีส?"
"Yes, sure" เธอเข้าใจและพูดภาษาอังกฤษด้วย
เธออธิบายว่า ยูก็กดปุ่มเลือกภาษาก่อน จากนั้นก็ใส่เลขทะเบียนรถ สอดบัตรเครดิตเพื่อจ่ายเงิน ก็จบแล้ว
ไม่ยากนี่หว่า ไอ้เราก็นึกว่ามีแต่ภาษาท้องถิ่น ผมจึงลองจ่ายค่าจอดรถดู โดยมีเจ้าลูกชายเป็นผู้ช่วย
ขณะกำลังยืนจิ้มอยู่ ผู้หญิงคนนั้น เดินกลับมา บอกว่า
"You have 15 minutes to drive the car out from car parking"
"แซ้ง กิ้ว" ตอบกลับไปพร้อมหยุดขั้นตอนการจ่ายค่าที่จอดรถ ทางที่ดี เอากระเป๋าไปยัดใส่ในรถให้เสร็จก่อนดีกว่า ค่อยกลับมาจ่าย
ที่จอดรถแบบนี้ มันดีตรงที่มี elevator ให้บริการด้วย แต่เล็กไปนะ ใส่ได้แค่กระเป๋า 6 ใบ และคน 3 คน ผมเข้าไม่ได้ มันเต็ม เลยบอกเจอกันข้างล่าง เดี๋ยวเดินลงบันไดไปรอ
พอผมลงไปรอยู่หน้า elevator ปรากฎว่า ประตูไม่เปิด มันยังลงไปได้อีก เพิ่งรู้ว่ามีสองชั้น ผมเลยรีบวิ่งลงไปอีกชั้น เจอหน้ากันเลยบอกให้กลับขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงยัดกระเป๋าเข้าท้ายรถ แล้วผมจึงกลับขึ้นไปจัดการจ่ายค่าจอดรถต่อที่ตู้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร
เข้าใจว่า ถ้าไม่จ่ายค่าจอดรถ barrier ขาออกน่าจะไม่เปิดให้ เค้าคงใช้ระบบกล้องวงจรปิด จับป้ายทะเบียน link กับตู้จ่ายค่าจอดรถ และ barrier แทนที่จะใช้คนมานั่งแจกบัตรหรือเก็บค่าที่จอดรถ คือเอาคนไปทำงานอย่างอื่นที่เกิดประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่า
เป้าหมายแรก หลังขับรถออกจากที่จอดรถได้ คือ ร้านขายของชำที่ชื่อ Bonus ได้ข่าวว่าขายของถูก
ขับรถแบบ slow life ด้วยความเร็ว 30 บ้าง 50 บ้าง ไปตามเส้นทางที่ google map บอก พอถึงที่หมายตอนสิบโมง ร้านเปิดทำการพอดี
ของที่ซื้อคือ ขนมปัง แยม ไส้กรอก ไข่ ขนม นม ชีส กล้วย สตอเบอรี่ น้ำผลไม้ และน้ำเปล่า น่าจะพอประทังชีวิตได้มื้อสองมื้อ
มีอย่างเดียวที่ถูกกว่าบ้านเราคือ สตอเบอรี่ นอกนั้นแพงกว่าหมด
เสร็จจากซื้อของ ก็ได้เวลาออกนอกเมืองหลวง โดยเส้นทางสำหรับผจญภัยในวันนี้ คือเส้นทางที่ชาวบ้านชาวช่องเรียกว่า Golden Ring
ขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีจุดหมายปลายทางแรกคือ อุทยานแห่งชาติ Thingvellir วันนี้ใช้ Nevigator ที่รถเป็นแล้ว จึงขับไปตามเส้นทางที่โชว์บนจอ monitor ในรถ แต่ก็ไม่วายเปิด google map ในมือถือ เป็นการ double check เส้นทางว่าไม่หลงแน่ๆ
การขับรถในเขตนอกเมือง จะใช้ความเร็วได้สูงสุด 90 Km/hr เป็นถนนลาดยางแค่ 2 เลน รถวิ่งสวนกัน สภาพถนนผมว่าสู้บ้านเราไม่ได้ แต่ถ้าช่วงไหนเป็นสะพานข้ามลำธาร (ไม่ใช่คลองเหมือนบ้านเรา) ส่วนใหญ่จะเหลือแค่เลนเดียว รถแต่ละฝั่งต้องหลีกให้กัน แต่ง่ายๆ คือ ใครมาถึงสะพานก่อน ก็ไปก่อน และความเร็วบนสะพานคือ 50 Km/hr
ถ้านักการเมืองไทย ไปเที่ยวที่ Iceland คงอยากไปตั้งพรรคการเมืองที่ประเทศนี้มาก คือพื้นที่มันน่าสร้างถนน 16 เลนมาก
พอใกล้ถึงเป้าหมาย Nevigator ในรถบอกให้เลี้ยวขวาข้างหน้า แต่ใน google map บอกให้ตรงไป เอาไงหล่ะทีนี้
ทำไมพวกไม่ตกลงกันก่อนวะ ว่าจะให้เลี้ยวขวาหรือตรงไป
สุดท้ายในฐานะผู้ขับขี่ เลยเลือกเชื่อ google map
พอขับตรงไปเรื่อยๆ Navigator พยายามบอกให้กลับรถ แต่ผมไม่เชื่อมัน ยังมั่นใจในค่าย USA
จน google map ให้เลี้ยวขวา ผมก็เลี้ยวไป พอขับไปซักพัก ข้างหน้ามันเวิ้งว้างมาก
ไม่ใช่ละ จึงจอดรถและ เปิด google map และ zoom ดูภาพถ่ายดาวเทียม ปรากฎว่าเลยจุดหมายแล้วครับ จึงกลับรถไปทางเดิมตามที่ Nevigator ในรถบอก
ยกแรก ค่าย Japan ชนะครับ
พอถึงที่หมาย เมฆฝนมาเต็ม และเริ่มลงเม็ดปรอยๆ เด็กๆ ยังหลับอยู่ จึงชั่งใจว่า จะลงหรือไม่ลงจากรถ ไปจุดหมายต่อไปเลยดีไหม
สุดท้ายเป็นคุณภรรยา ที่ฟันฉับว่า...
(To be continued)