ฉันเป็นเด็กเก่งเรียนถึงไม่มาก แต่ก็ติดท็อปเท็นของห้อง แต่ตอนเด็กฉันร่าเริงเกินเบอร์ ออกจะติ๊งต๊อง แต่ไม่สนโลกว่าใครจะมองยังไง ฐานะทางบ้านก็ไม่รวย บางทีก็มีแค่ไข่ดาวกับข้าว แม่ฉันเป็นผู้หญิงเก่งและแกร่งที่สุด ทำงานเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเลี้ยงลูกสองคนให้เรียนจบปริญญาตรีอย่างแสนสุขสบาย งานบ้านก็ไม่ต้องทำ เรียนกับเล่นอย่างเดียว ทำให้ยัยมิวทำงานบ้านไม่เป็น แล้วยามเป็นเด็กก็ขับเคลื่อนชีวิตในวัยเรียนด้วยความกลัว กลัวสอบตก กลัวโดนให้ออกจากโรงเรียน แต่ไม่ได้กลัวแพ้เพื่อนหรือติดอันดับ แต่แค่ไม่มีสอบตกซ้ำชั้นเป็นพอ ซึ่งสำหรับการเรียนความกลัวทำให้มิวถือได้ว่าประสบความสำเร็จได้เกียรตินิยมอันดับ2 เลยทีเดียว แต่เมื่อทำงานการที่ยัยมิวกลัวถูกไล่ออกจากงาน กลัวตกงาน ยัยมิวจึงเลือกทำงานลูทีน ทั้งที่เป็นหัวหน้าคน ต้องเป็นคนคิดริเริ่ม ควบคุมดูแลกระบวนการทำงาน ดังนั้นยัยมิวก็พยายามที่จะคิดอะไรที่เขามีอยู่แล้ว แบบการจัดกะคน แล้วพอให้คิดอะไรก็ไม่กล้าออกความเห็น ไม่กล้าทำในสิ่งที่เป็นมาตรฐานแต่ขัดกับคนอื่น ด้วยไม่มีวาทะศิลป์ แต่ก็ต้องทำอาศัยการประสานงานแบบส่งเมลล์ พูดคุยกับหัวหน้าด้วยกัน จนทำการอบรมพนักงานขนส่งและSupplier ซึ่งมันก็เป็นงานที่ต้องทำในทุกเดือน และขึ้นทะเบียนรถขนส่งต่างๆ ซึ่งเราก็เริ่มทำโดยปรึกษากับพี่ๆในแผนก ซึ่งกว่าจะเริ่มทำก็ใช้เวลามากกว่า 4 เดือน แต่ดีที่บริษัทให้โอกาส แต่ด้วยความไม่มั่นใจ กลัวไปหมด ทำให้ถูกว่าทั้งในแผนก นอกแผนก มีการแอนตี้ เจอแรงกดดันในงานต่างๆนาๆ ซึ่งมิวก็ได้แต่ศึกษานพลักษณ์ ศาสตร์ที่แยกบุคลิกคนเป็น 9 แบบ เพื่อให้ตัวเองเข้าใจคนอื่นมากขึ้น แต่ก็ทนไม่ไหวกับความเจ็บปวดที่ต้องตื่นมาแต่เช้า เพื่อเข้างานแล้วก็ถูกเหน็บแนม จนหาวิธีฆ่าตัวตายบ่อยมาก แต่ตอนนั้นมิวคิดว่าไม่เป็นไร แม้รู้จักโรคซึมเศร้าบ้างแล้วก็ตาม แต่คิดว่าเราไม่น่าจะเป็นโรคนี้ ก็ปล่อยไว้ไม่ได้ไปหาจิตแพทย์ จนอาการออกทางร่างกายป่วยบ่อย ปวดหัว มึนหัวบ่อย กินอะไรก็อาเจียนออกมา หรือพะอืดพะอม ไม่ค่อยอยากเจอใคร และช่วงทำงานได้ 3 ปี มิวได้มีแฟนเป็นคนที่ชอบถือเป็นเรื่องสำเร็จอีกเรื่อง แต่ก็เหมือนว่าดีใจ มีความสุขตอนเจอ ตอนพูดคุยกัน แต่พอกลับโหมดทำงานก็เครียด คิดอยากตายตลอด จึงขอแม่กับพี่ลาออก ไปม.อสัมชัญ ซึ่งทุกคนโอเคเพราะคิดว่า เราจะโอเคขึ้น แล้วอาการป่วยทางกายเราก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มีความสุข แม้จะมีบางช่วงที่ยังคงรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้แค่นี้เหรอ ผิดพลาดตลอด ทำงานไม่ผ่านโปรต้องย้ายงานอีก โดยเราได้มาทำงานที่แมคโครหนองจอกตอนนั้นยังไม่เปิด จึงไปฝึกงานที่ศรีนครินทร์ พอทำไปได้สักระยะก็คิดว่างานที่ทำมันต่ำกว่าวุฒิที่เรียน มันไม่ได้พัฒนาอะไร แล้วพอไปทำงานที่หนองจอกต้องเข้างานตี4 ซึ่งเราไม่มีรถ เลยออกมาทำงานที่โรงไก่ญี่ปุ่นแถวหนองจอก ตามพี่ที่ทำงานในแมคโครช่วนมา แต่พอไปทำก็โดนทำโอฟรีบ่อยๆ แล้วเราดันทำงานตรวจห้องเย็น ทำให้เป็นหวัดบ่อย ก็ทำให้ลาบ่อย สรุปไม่ผ่านโปรฯ ซึ่งแฟนเราก็รับรู้เรื่องการทำงานหลายที่แบบนี้ของเรา เขาก็ให้กำลังใจ และพาเราไปติวหนังสือเด็กที่เขารับสอนแล้วให้ค่าแรง แต่พอตกงานนานเข้า เงินเราก็หมด เราสมัครงานไปทั่วรวมต่างจังหวัดด้วย แล้วเรากลัวว่าถ้าได้งานต่างจังหวัด มันจะห่างกัน แฟนเราขี้เหงา เขาจะไม่มีความสุข เราจึงปลดเขาออกจากการเป็นแฟนในเฟซบุ้ค จากนั้นก็ขอให้กลับมาเป็นเพื่อนกัน แต่เขาบล็อกเราไป เพราะเราไปพร่ำเพ้อเวิ่นเว้อใส่เขา ซึ่งเราก็เสียใจหนักมาก แต่พออยู่ต่อหน้าแม่และพี่เราต้องทำเป็นไม่ร้องไห้ ทั้งที่อยู่ในห้องเราร้องไห้ทุกคืน บางคืนก็นอนไม่หลับ เราก็พยายามหางาน จนมาได้งานที่อาฟเตอร์ยู อยู่สมุทรสาคร ซึ่งมันดันใกล้บ้านเขา แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเราเลิกกับเขาแล้ว จากนั้นเราก็ตั้งใจเรียนรู้งานจากพี่ไลลา ซึ่งเป็นคนหนองจอกเหมือนกัน แต่เราขาดภาวะผู้นำ ไม่กล้าตัดสินใจในแทบทุกเรื่อง เพราะเรากลัวว่ามันจะผิด และด้วยเราเคยอยู่แต่คลังสินค้า ไม่เคยทำโรงงานอาหาร จึงไม่ผ่านโปร ซึ่งตอนนั้นก่อนที่เราจะรู้ว่าเราไม่ผ่านโปรฯ เรามีอาการหูแว่ว ไประเบียงจะกระโดดตึก แต่มีเสียงห้าม ชั้นสองไม่ตายหรอก จึงได้สติ จากนั้นนอนก็เห็นภาพคนด่า ว่า จนนอนไม่หลับ เลยเสิร์ชหาโรงพยาบาลจิตเวชใกล้ๆ ก็เจอสถาบันจิตเวชสมเด็จเจ้าพระยาที่คลองสาน เราก็หยุดงานไปพบแพทย์ แล้วเราก็ได้รู้ว่าตลอดเวลา 3 ปีก่อน เราเป็นโรคซึมเศร้าแล้วไม่ได้รักษา จนทำให้มีภาวะแทรกซ้อนหูแว่ว เป็นโรคจิตเภทเพิ่มด้วย แต่หมอบอกเราเป็นโรคซึมเศร้า เราจึงบอกแม่ ซึ่งทางบ้านจึงต้องการให้กลับมาทำงานใกล้บ้านอยู่แล้ว บวกกับไม่ผ่านโปรฯด้วย จากนั้นเราก็ต้องกลับบ้านแล้วหางานทำแถวบ้าน ที่ไปกลับได้เท่านั้น โดยเราส่งสมัครงานพวกธุรการ ก็ได้ไปทำงานที่บ.ขายตู้อบซาวน่าออนไลน์ โดยเราเป็นพนักงานคนเดียวก็ต้องทำทุกอย่าง ทำให้เราเห็นระบบงาน ทำพลาดบ้างก็โดนว่า แล้วพอเราโกหกไปหาหมอบ่อยๆ เราจึงบอกที่ทำงานว่าเป็นโรคซึมเศร้า เขาก็ช่วยให้เราทำงานด้วย 1 ปี แล้วย้ายเราไปเริ่มงานใหม่กับหัวหน้าคนใหม่ในเครือ ซึ่งเราก็ไม่ผ่านโปร ด้วยความที่เหนื่อยกับการหางาน เราก็เลยขายของโดยได้ไปสอบถามแม่ค้าหน้าปากซอย คนที่ไปทำงานว่า ต้องการทานอะไรเป็นอาหารเช้า เขาก็ตอบมาบ้าง เรามาลงเอยที่ข้าวเหนียวไก่ฝอย ซึ่งเราก็ทำขายหน้าปากซอยและเร่ขายในซอย ซึ่งผลตอบรับดีคนติด แต่เราทำไม่ทัน แถมเรายังเปิดขายไก่ฝอยออนไลน์ด้วย ทำให้เวลาลูกค้าออนไลน์สั่งเราก็หยุดขายหน้าซอย ทำให้เสียลูกค้าประจำ ทำให้ช่วงหลังรายได้ไม่ค่อยดี ก็หางานประจำทำก็ได้งานเป็นผู้ระดมทุนให้มูลนิธิUNHCR แต่ก็ไม่ผ่านโปร ก็หางานไปได้งานการตลาดที่บริษัทขายเครื่องไฮโดรลิคแห่งหนึ่ง ซึ่งการทำงานมีความสุขมาก เพราะได้มีชาเย็นอร่อยๆให้กิน มีครีมชีสด้วยบางวันก็เป็นโกโก้ คืออร่อยทั้งสองอย่าง ทำงานที่นั่นจนได้ประสานงานทำเว็บไซต์บริษัท แต่แล้วผลของการดื่มชาทุกวัน วันละ 3 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 2 เดือน ทำให้มิวจิตหลุด โดยเห็นใครก็สังเกตว่าเขาจะเป็นไทป์ไหน ในบุคลิก 16 แบบตามจิตวิทยา MBTI แล้วพอกลับมาถึงหน้าปากซอยก็ฉี่ราด เข้ามาที่บ้านก็ถามเรื่องพ่อกับแม่ที่มันไม่ตรงกับที่แม่เล่าให้ฟัง แล้วก็พอจะนอนก็ได้ว่าพี่ให้ปิดเสียงเพลง ในขณะที่พี่เล่นเกมไม่ได้เปิดเพลง จากนั้นก็เข้าห้องนอนไปละหมาด ก็ละหมาดไม่ได้ท่องผิดๆถูกๆ นอนก็นอนไม่หลับ เลยมานอนกับแม่ ในวันนั่นได้ยินเสียงนาฬิกาเดินกับแม่กรนดังมากจนนอนไม่หลับ แล้วพอสักประมาณตี 5 ก็เข้าห้องไปละหมาดก็ละหมาดไม่ได้อีก เริ่มร้องไห้ผิดหวังกับตัวเอง คิดเรื่องเก่าๆเสียงในหัวตีกันไปมาถึงเรื่องอดีต จนมาถึงขั้นว่าก็ไม่ต้องมีศาสนา ฆ่าตัวตาย ก็ไม่บาป ซึ่งเราก็เลยโทรไปสายด่วยสุขภาพจิต 1323 เขาก็ขอที่อยู่มา ไอ้เราก็ภาพในหัวขึ้นว่ามันจะมีคนมาจับตัวถ้าเราฆ่าตัวตาย เสียงในหัวมันจะให้ฆ่าแม่และพี่ให้หมด ก่อนฆ่าตัวเอง เพราะจะได้ไม่ต้องมีใครรู้เรื่อง แต่ภาพในหัวว่าถ้าทำงั้นข้างบ้านเห็นแจ้งตำรวจก็ดังกันอีก วันนั้นเป็นวันเสาร์ที่นัดเพื่อนไว้ตอน 1 ทุ่ม เพื่อเจอกัน แล้วพี่ก็เรียกแล้วบอกให้เมนูไก่เผ็ดของ KFC จะได้กลับมากินตอนกลางวัน ซึ่งมันทำให้เรามุ่งมั่นกับการหาไก่เผ็ด KFC เพราะจะได้กินกับพี่ แต่ก็หาไม่เจอ ก็เริ่มโทษตัวเอง ร้องไห้ แล้วเสียงในหัวก็วนเวียนที่ฆ่าตัวตาย กับโทษคนอื่นที่ทำให้ชีวิตพัง และสุดท้ายก็โทษว่าตัวเองผิดเอง ควรตาย ประมาณนี้ แต่จะมีความคิดห้ามตายมันบาป แม่พี่จะเสียใจ ค้านอยู่ ง่วงก็ง่วงแต่นอนไม่หลับจนลุกขึ้นมาไปที่กลางบ้านแล้วเกิดปวดหัวมากจนร้องกรี้ด แล้วก็สงบลง จากนั้นเรารู้ตัวว่าต้องพบจิตแพทย์ รอให้แม่กับพี่มา ซึ่งไม่นานแม่กับพี่ก็มาแล้วพาเราไปหาหมอที่สถาบันจิตเวชสมเด็จเจ้าพระยา พอมองเห็นป้ายหรืออะไรก็จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ ทำให้อ่านไม่ออก แล้วพอหลับตาก็เห็นภาพคนมาจับตัว พี่เอาน้ำให้ดื่มก็คิดว่ามียาพิษ ถูกแอดมิดเลย เราอยู่ที่นั่นประมาณสองสามเดือน แล้วก็อาการดีขึ้น หูแว่ว ภาพหลอน ไม่มีแล้ว เมื่อกลับบ้านตอนแรกๆเราได้แต่นอน และก็กิน จากนั้นแม่ก็เริ่มพาให้ไปงานวันเด็กของชุมชน ทำโจ๊กขาย พอสักพักแม่ก็ให้ออกไปซื้อของเข้าร้านเองโดยไม่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งเราก็ทำได้ดีเพราะชินทาง ความจำที่หายๆไปก็ค่อยๆกลับมา จนเราหายเป็นปกติเริ่มคิดหางานประจำทำ จึงสมัครงานไปหลายที่เป็นพวกแอดมินเพจ ธุรการขาย แล้วเราก็ได้งานที่ร้านหินแห่งหนึ่ง เราไม่ได้บอกเจ้าของว่าเราซึมเศร้าเพราะกลัวว่าเขาไม่รับ เราก็ทำงานต่างๆได้ในระดับหนึ่ง แต่เราขายของไม่ค่อยเก่ง แต่ตำแหน่งเราคือพนักงานขาย เราจะเน้นไปแต่งรูป โพสต์เฟสบุ๊ค ตอบลูกค้า แต่บริการหน้าร้านแทบจะไม่คล่อง แต่ประสานงานต่างๆกับช่างได้ ซึ่งเราทำมา1ปี โดนปลดออกตอนโควิดเขาต้องการลดคน และเราทำยอดน้อยสุดจึงถูกออก โดยได้เงินชดเชยมาจำนวนหนึ่ง เราเอาไปต่อเติมบ้านคิดว่าจะทำร้านอาหาร แต่แล้วเราก็ได้งานบริษัทม่านม้วนในตำแหน่งธุรการขาย แต่ก็ทำงานไม่ผ่านโปร เพราะเราไม่ยอมออกไปต้อนรับลูกค้าหน้าร้าน ไม่พรีเซนต์งานให้ลูกค้าฟัง ไม่รับโทรศัพท์ของลูกค้าเมื่อมีเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเราก็ถูกคนเทรนงานบอกว่าข้อมูลต้องแน่นก่อนรับโทรศัพท์ เราก็เลยไม่กล้าทำ 5555++ จากนั้นเราก็คิดได้ว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับงานที่ซับซ้อน เราจึงได้ทำงานขายไก่ทอด แต่ทำได้ 6 เดือน ร้านเขาขาดทุนต่อเนื่องต้องปิดสาขาไป เราจึงว่างงาน แล้วครอบครัวก็ตัดสินใจกันว่าไม่ต้องให้เราไปทำงานประจำแล้ว กลัวเราเครียดแล้วเข้าโรงพยาบาลจิตเวชไปอีก เราจึงไปทำบัตรคนพิการ และหางานที่เกี่ยวกับผู้พิการทำ แต่เมื่อเขารู้ว่าเราพิการประเภท4 คือพิการทางจิตสังคม ก็ไม่มีที่ไหนรับ เราเลยขายไก่ฝอย หมี่กรอบ กรอบเค็มออนไลน์ แล้วก็เป็นอสส. กรรมการชุมชน และคณะกรรมการชมรมคุ้มครองผู้บริโภคเขตหนองจอก ซึ่งในคณะทำงานในชุมชนจะรู้เพียงแค่เราเป็นโรคซึมเศร้า แต่จะมีพี่สาวคนสนิทที่เราบอกว่า เราเป็นโรคจิตเภท ใช่ค่ะอาการก่อนแอดมิทเข้าโรงพยาบาลคืออาการจิตเภท
บันทึก เรื่องของฉัน