***ก่อนจะอ่านเนื้อเรื่องที่เขียนรบกวนช่วยอ่านในส่วนนี้ก่อนนะคะ*** เราเป็นเจ้าของเรื่องเองค่ะ เรื่องที่มีการเอาไปเล่าและเรื่องที่นำไปเล่านี้ มีบุคคลนึงที่เราเคยเล่าเรื่องให้ฟังนำเรื่องไปส่งต่อเอง บางคนคงจะได้ฟังเรื่องที่เล่าไปแล้ว อาจจะมีความสงสัยและความไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายๆข้อ วันนี้เราจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาเขียนเล่าให้อ่านค่ะ เรื่องที่จะเขียนทั้งหมดคือเรื่องที่เราเจอเอง ขอใช้ชื่อเดียวกับในเรื่องที่เอาไปเล่าเลยนะคะ นอกเหนือจากเรื่องที่เราเขียนนี้ เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนะคะ จะเขียนอธิบายเรื่องแค่ครั้งเดียวและขออนุญาตไม่ตอบคอมเม้นนะคะ หากเขียนแล้วผิดพลาดหรืออ่านเข้าใจยากต้องกราบขออภัยด้วยค่ะ***
***(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) ***
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปี ที่แล้วเรื่องมีอยู่ว่า อุ้ม(นามสมมุติ อายุตอนนั้น 18 ปี) และแฟน ได้นัดกับกลุ่มรุ่นน้องอีกประมาณ 3 คน (ที่เป็นเพื่อนของแฟนอุ้ม) คือน้องผู้หญิงคนแรกชื่อมายด์ น้องผู้หญิงคนที่สองชื่อทิชา น้องผู้ชายคนที่สามชื่อหมอก
เพื่อไปเที่ยวน้ำตกในอำเภอแห่งหนึ่งของจังหวัดลพบุรี พวกเราทั้งหมดตกลงนัดหมายเวลากันตอน 10.00 น. และรวมตัวกันที่บ้านของอุ้ม แต่กว่าพวกเราจะรวมตัวกันครบเป็นเวลา 14.00 น. เพราะหมอกกับทิชาอยู่หมู่บ้านเดียวกันจึงมาด้วยกันและแวะรับมายด์อีกคนที่อยู่อีกหมู่บ้าน ห่างกันเกือบๆ 20 กิโลเมตร ถึงจะขี่รถมาถึงบ้านของอุ้ม ที่ห่างจากบ้านของมายประมาณ 5 กิโลเมตร
พอมารวมตัวกันครบ แม่ของอุ้มที่รู้ว่าพวกเราจะไปน้ำตกกันตอนเวลานั้น เลยพูดทักขึ้นมาว่า ไปกันวันอื่นไหมวันนี้มันใกล้จะเย็นแล้วแม่รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ตอนนั้นอุ้มไม่เชื่อไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่ากลุ่มเพื่อนมากันครบแล้วจะไปเที่ยวน้ำตกกันเพราะเรานัดกันไว้แล้ว อุ้มเลยตอบกลับแม่ไปว่าจะรีบไปรีบกลับ
จากนั้นพวกเรา 5 คน เลยออกเดินทางขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวน้ำตกกัน รถมอเตอร์ไซค์คันแรก(HONDA Sonic 125) นั่งซ้อนสองคนคือ อุ้มเป็นคนขี่และแฟนเป็นคนซ้อน รถคันที่สอง(Honda Wave110i ) นั่งซ้อนสามคนคือ มีมายนั่งหน้าและทิชาซ้อนหลัง ส่วนหมอกเป็นคนขี่
เราขี่รถกันกว่าจะถึงน้ำตกใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ระยะทาง 60 กิโลเมตร พอไปถึงน้ำตกเราก็เล่นน้ำกัน นั่งคุย นั่งเล่น จนเวลาตอนนั้น 17.30 น. พวกเราเลยเตรียมตัวกลับกัน ขากลับพวกเราเลยคุยกันว่าจะแวะจุดชมวิวที่เป็นสะพานข้ามน้ำติดกับตลาดที่เขาขายปลากัน เพื่อถ่ายรูปเล่นกันอีกสักพักแล้วค่อยเดินทางกลับ เพราะตอนช่วงพระอาทิตย์ตกดินตรงนี้จะวิวสวย
ขากลับรถคันของหมอกขี่นำหน้า ส่วนรถของอุ้มขี่ตามหลัง ระหว่างที่ขี่รถกลับมาเรื่อยๆ ห่างจากจุดชมวิวที่พวกเราจอดถ่ายรูปกันประมาณ 15 กิโลเมตร รถคันที่อุ้มขี่เกิดยางรั่วที่ล้อหลัง อุ้มเลยคุยกับแฟนว่าเราจะพยามยามขี่รถหาร้านปะยางกันก่อน เพราะโทรติดต่อหารถอีกคันไม่ได้ว่ารถคันของอุ้มยางรั่ว ตอนนั้นโทรศัพท์ที่ติดตัวมาด้วยเป็นรุ่นซัมซุงฮีโร่ ใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้และไม่มีเงินโทรออก โทรออกได้แค่ช่วงเวลาที่สมัครโปรโมชั่นโทรฟรีไว้เท่านั้น (โทรศัพท์เครื่องที่ใช้ประจำเสียเลยต้องเอาไปซ่อมก่อน) ส่วนโทรศัพท์เครื่องของแฟน แบตโทรศัพท์หมด (ไม่มีที่ถอดซิม เลยไม่ได้เปลี่ยนซิมใส่โทรศัพท์อีกเครื่อง)
ขี่รถต่อมาอีกประมาณ 5 กิโลเมตร เจอร้านปะยางร้านแรกแถวๆ(ต. เขา...) อยู่ด้านซ้ายมือแต่ว่าร้านปิด อุ้มเลยขี่หาร้านต่อ ขี่ไปเจอร้านปะยางร้านที่สองก็ปิดอีก ส่วนร้านปะยางร้านที่สามที่เราเจอ ร้านเปิดแต่ไม่มีคนอยู่เลย ตะโกนเรียกก็ไม่มีใครออกมา เลยตัดสินใจว่าจะขี่ไปเรื่อยๆค่อยไปหาร้านอื่นข้างหน้าเอา
หมอกที่ขี่รถกลับไปส่งมายด์ถึงที่บ้านแล้ว เกิดสงสัยว่าทำไมรถคันของอุ้มถึงมาช้า เลยโทรหาอุ้มว่าเป็นอะไรทำไมยังไม่ถึง อุ้มเลยบอกว่ารถยางรั่วหาร้านปะยางไม่ได้เลย ขี่หาร้านปะยางมา 3 ร้านแล้ว ร้านปิดหมดเลย จากนั้นหมอกก็บอกว่าจะขี่รถย้อนไปหาให้จอดรอก่อน
หมอกได้บอกกับทิชาว่าให้ทิชา รออยู่ที่บ้านของมายด์ก่อน เพราะหมอกจะขี่รถย้อนกลับไปดูรถของอุ้มเองคนเดียว ไม่อยากให้ทิชาซ้อนรถไปตอนมืดด้วย หมอกขี่ไปคนเดียวน่าจถึงไวกว่า เพราะตอนนั้นเวลาก็เกือบจะ 19.30 น. แล้ว
พอหมอกขี่รถย้อนมาเจออุ้ม หมอกเลยแนะนำว่าให้เราสลับรถกัน คืออุ้มกับแฟนขี่รถคันของหมอกกลับไปและหมอกจะขี่รถคันของอุ้มกลับเข้าหมู่บ้านของหมอกเอง เพราะหมู่บ้านของหมอกกับทิชาอยู่ข้างหน้าใกล้ๆนี้ ที่เป็นทางผ่านก่อนจะถึงหมู่บ้านของมายด์ เพื่อที่จะเอารถคันของอุ้มเข้าไปปะยางร้านในหมู่บ้านเผื่อยังมีร้านเปิดอยู่ และให้อุ้มกับแฟนขี่รถกลับไปที่หมู่บ้านของมายด์ เพื่อไปรับทิชาอีกคนและไปส่งทิชาที่หมู่บ้าน
ตอนนั้นเวลา 22.00 น. พอถึงบ้านของมายด์ เราก็เตรียมตัวเพื่อจะไปส่งทิชาที่หมู่บ้าน โดยให้แฟนอุ้มนั่งหน้าและทิชาซ้อนท้าย การที่ไปหมู่บ้านทิชาครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่อุ้มเคยเข้าไปเพราะเคยแค่ผ่านทางเข้าหมู่บ้านจากทางผ่านของถนนใหญ่นี้เท่านั้น ไม่เคยเข้าไปเลยสักครั้ง
ระหว่างทางที่ขี่รถเข้าไปในหมู่บ้านสองข้างทางมืดและเงียบมากไม่มีไฟข้างทางเลยมีแค่ไฟรถแค่ดวงเดียว พอขี่เข้าไปเรื่อยเรื่อยทางก็ยิ่งเปลี่ยวยิ่งมืดมีแค่ไฟรถ อุ้มเลยเปิดไฟรถสลับสูง-ต่ำ ไปตลอดทางเพราะกลัวว่าจะมีรถสวนทางออกมา
พอระหว่างทางที่ขี่รถเข้าไปในหมู่บ้าน ทิชาที่เป็นคนในหมู่บ้านได้สะกิดบอกว่า ถ้าผ่านศาลเจ้าที่ให้บีบแตรขอทางด้วยนะ เดี๋ยวใกล้ๆถึงแล้วจะบอก อุ้มเลยตกปากรับคำว่าโอเคๆ แต่ตอนนั้นอุ้มไม่รู้ว่าศาลเจ้าที่ที่ทิชาบอกอยู่ฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาเพราะใส่หมวกกันน็อคเลยไม่ได้ยินที่ทิชาบอกทั้งหมด
พอขี่มาได้สักระยะทิชาก็สะกิดบอกให้บีบแตร แต่ตอนนั้นอุ้มเห็นศาลอยู่ฝั่งซ้ายเป็นศาลเล็กๆสีเขียว ที่ด้านหน้าของศาลหันไปทางไร่และด้านหลังของศาลหันไปทางถนน ตั้งอยู่ข้างทางริมถนน คิดว่าเป็นศาลเจ้าที่ ที่จะต้องบีบแตรเลยบีบแตรไป 3 ครั้ง เพื่อขอทาง
แต่พอยิ่งขี่เข้าไปใกล้ เห็นมีคน 3 คน นั่งอยู่หน้าศาล มีผู้หญิงผอมๆหนึ่งคน นั่งหันหน้าเข้าศาล ผู้ชายผอมๆหนึ่งคน นั่งอยู่ด้านซ้ายของผู้หญิง และผู้ชายร่างใหญ่หนึ่งคน นั่งอยู่ทางขวามือของผู้หญิงหันหลังให้ศาล
ลองมองดูดีดีว่าเค้านั่งทำอะไรกัน พอยิ่งมองยิ่งเห็นว่า ทั้งสามคนกำลังนั่งกินอะไรอยู่ที่หน้าศาล คิดว่าเขาเป็นชาวบ้านที่มาหาหนูนาและนั่งพักกินข้าวกัน
แต่ข้าวที่เขากำลังกิน อุ้มเห็นว่าเขากำลังหยิบออกมาจากกระทงใบตองเหี่ยวๆและกำลังแย่งกันกินเหมือนคนอดอยาก ตอนนั้นคิดว่าตัวเองตาฝาดเลยลองมองดีๆอีกครั้งให้แน่ใจ
จู่ๆผู้ชายร่างใหญ่ที่กำลังนั่งกินอยู่ก็หันกลับมามอง แต่เขาหันกลับมาแค่หัว ตอนนั้นได้ยินเสียงกระดูกคอเขาหัก ตามจังหวะที่หันหัวกลับมามอง ดัง กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ เสียงกระดูกคอหักตามจังหวะที่เขาหันมาเรื่อยๆจนหัวหันมาด้านหลัง คอที่หมุนหันกลับมาพับเป็นเกลียว ดวงตากลวงโบ๋ ปากมีคราบสีดำติดอยู่เต็มปาก
พออุ้มเห็นแบบนั้นก็ตกใจ คิดในใจว่าชัดเจนแล้วที่ไม่ใช่คน เลยตั้งสติทำเป็นขี่ไปเรื่อยเรื่อย ทำเป็นไม่สนใจเพราะมีความเชื่อว่าถ้าเราทำเป็นมองไม่เห็นเขา เขาจะไม่ทำอะไรเรา
ทั้งที่เราขี่รถผ่านแล้วแต่เขาก็ยังมองตามรถอุ้มที่ขี่ผ่าน จากที่เขาหันหัวกลับมาด้านหลัง เขาก็หันหัวตามจังหวะรถที่อุ้มขี่ผ่านไปข้างหน้า จนคอบิดเบี้ยว หัวห้อยตกอยู่บนไหล่ข้างขวา แต่ก็ต้องตั้งสติแล้วก็ขี่รถต่อไปเรื่อยเรื่อยเพราะกลัวว่ารถจะล้ม ตลอดทั้งทางเรา 3 คนไม่พูดคุยกันเลยสักคำ
พอผ่านมาสักพักเห็นต้นไม้สูงใหญ่สองต้นและมีผู้หญิงยืนอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไม้ ผู้หญิงคนนั้นผมยาวปิดหน้ายืนก้มหน้าอยู่ไม่มีแขนไม่มีขา พอเห็นอุ้มก็ตกใจสติแทบจะไม่อยู่กับตัว คิดในใจว่าเราเพิ่งจะเจอมาเมื่อกี้เองนะ เจอติดกันแบบนี้กลัวจนแทบจะขี่รถต่อไปไม่ไหว แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจและขี่รถต่อไปเรื่อยเรื่อยเพราะไม่อยากให้อีก 2 คนที่มาด้วยกันกลัว
พอขี่มาสักพักใหญ่ใหญ่จึงเห็นรั้ววัดที่เป็นเขตจะที่เข้าหมู่บ้าน ขี่ผ่านกำแพงวัดไปจะเจอประตูวัดอยู่ซ้ายมือ ผ่านประตูวัดไป ขี่ไปตามซอยถึงเจอบ้านของหมอก
อุ้มไปจอดรถที่หน้าบ้าน เห็นกลุ่มคนที่เป็นตาแก่ๆกำลังนั่งกินเหล้าอยู่เกือบ 10 คน ตาแก่ๆในกลุ่มพอเห็นพวกอุ้มเลยตะโกนบอกทิชาว่าจะพาเขาเข้ามาทำไม(คืออุ้มกับแฟน) พาเขาออกไปเดี๋ยวนี้เลย ดึกดื่นแล้ว เขาจะออกจากหมู่บ้านไม่ได้รีบพาเขาออกไปเลย
ตอนนั้นที่ได้ยินอุ้มตกใจคิดว่าที่ออกจากหมู่บ้านไม่ได้เป็นเพราะว่ามีวัยรุ่นหรือเปล่ากลัวอันตรายเพราะต่างถิ่น หมอกจึงอาสาว่าจะขี่รถกลับออกไปส่งอุ้มกับแฟนจนถึงถนนใหญ่ จะไปกับพี่ชายอีกคน เพราะถ้าจะให้นอนบ้านของทิชาก็ไม่มีห้องคนในบ้านอยู่กันเยอะ อุ้มเกรงใจ และบ้านของหมอกก็มีแต่ผู้ชาย บวกกับคนแก่ที่ตะโกนบอกว่าให้รีบกลับออกไป เลยติดสินใจว่าจะกลับ
ระหว่างที่เราขี่รถกลับออกจากหมู่บ้านรถของอุ้มขี่นำหน้า ส่วนรถของหมอกและพี่ชายขี่ตามหลังเพราะกลัวว่ารถจะเสียอีก ระหว่างที่พ้นเขตรั้ววัด อุ้มสังเกตุกระจกมองหลังเห็นไฟรถหมอกดับไป เลยหันกลับไปมองไม่เห็นว่ามีรถตามมาเลยสักคัน แฟนที่นั่งอยู่ข้างหลังเลยสะกิดว่าไม่ต้องหันกลับไปมองขี่ไปเลย
แต่อุ้มก็ยังหันกลับไปมองหลายครั้งและจอดรถเพื่อจะดูว่าหมอกได้ขี่ตามมาไหม ในใจอุ้มคิดว่าไหนตอนแรกบอกจะขี่มาส่ง ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้ แต่มองยังไงก็ไม่เห็นแสงไฟจากรถของหมอกเลยเห็นแต่ความมืด เลยตัดสินใจขี่รถออกไปต่อ
ระหว่างทางที่ขี่กลับออกมาสองข้างทางมืดไม่มีไฟอะไรเลยนอกจากไฟรถเราเหมือนเดิม ไฟจากบ้านคนก็มีไม่กี่หลังเป็นไฟสีส้มที่ติดไว้หน้าบ้าน
ยิ่งขี่ก็ยิ่งไกลเหมือนไกลกว่าขาที่เราขี่เข้ามา มืดจนมองไม่เห็นว่าศาลเจ้าที่ ที่เราต้องบีบแตรตอนแรกคือตรงไหน เลยบีบเป็นจังหวะช่วงที่คิดว่าศาลเจ้าที่คือตรงบริเวณนั้น
ระหว่างที่ขี่ผ่านจุดที่เราบีบแตรมา รู้สึกว่ารถมันหนักขึ้นมากทั้งที่เราซ้อนกันมาแค่สองคน หนักกว่าที่เราซ้อนกันสามคนอีกทั้งที่ใช้ความเร็วขี่เท่ากับขาเข้าหมู่บ้าน
อยู่อยู่แฟนที่นั่งมาข้างหลังก็เริ่มจับเสื้อเราแน่นขึ้นๆแล้วเริ่มร้องไห้ซบมาที่ไหล่ ตอนนั้นเลยคิดว่าแฟนน่าจะเห็นอะไรเข้าสักอย่างแล้วหรือจะเห็นแบบที่เราเห็น เลยชวนแฟนคุยเพื่อไม่ให้แฟนกลัว แต่พูดอะไรไปแฟนก็ไม่พูดตอบกลับมา เหมือนเราพูดอยู่คนเดียว ได้ยินแต่เสียงแฟนร้องไห้
ยิ่งขี่ออกมาก็ไม่เจอถนนใหญ่สักที คิดว่ามันน่าจะถึงถนนใหญ่ได้แล้วเพราะเราขี่กันมานานแล้วเหมือนขี่กันเป็นชั่วโมงทั้งที่ขาเข้าไปไม่นานขนาดนี้ เลยภาวนาในใจว่าขอให้พระที่บ้านคุ้มครองขอให้ออกจากหมู่บ้านนี้ได้อย่างปลอดภัยขอให้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ตอนนั้นสวดมนต์อะไรไม่ถูกแล้วท่องได้แค่ นะโม นะโม นะโม จากนั้นสักพักก็เห็นแสงไฟจากถนนใหญ่บ่งบอกว่าเราจะออกจากหมู่บ้านนี้ได้แล้ว เลยบอกแฟนว่าเริ่มเห็นไฟจากถนนใหญ่แล้วนะใกล้จะถึงบ้านแล้ว แต่แฟนก็ยังไม่พูดตอบ
เรื่องที่คนอื่นเอาไปเล่า
***(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) ***
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปี ที่แล้วเรื่องมีอยู่ว่า อุ้ม(นามสมมุติ อายุตอนนั้น 18 ปี) และแฟน ได้นัดกับกลุ่มรุ่นน้องอีกประมาณ 3 คน (ที่เป็นเพื่อนของแฟนอุ้ม) คือน้องผู้หญิงคนแรกชื่อมายด์ น้องผู้หญิงคนที่สองชื่อทิชา น้องผู้ชายคนที่สามชื่อหมอก
เพื่อไปเที่ยวน้ำตกในอำเภอแห่งหนึ่งของจังหวัดลพบุรี พวกเราทั้งหมดตกลงนัดหมายเวลากันตอน 10.00 น. และรวมตัวกันที่บ้านของอุ้ม แต่กว่าพวกเราจะรวมตัวกันครบเป็นเวลา 14.00 น. เพราะหมอกกับทิชาอยู่หมู่บ้านเดียวกันจึงมาด้วยกันและแวะรับมายด์อีกคนที่อยู่อีกหมู่บ้าน ห่างกันเกือบๆ 20 กิโลเมตร ถึงจะขี่รถมาถึงบ้านของอุ้ม ที่ห่างจากบ้านของมายประมาณ 5 กิโลเมตร
พอมารวมตัวกันครบ แม่ของอุ้มที่รู้ว่าพวกเราจะไปน้ำตกกันตอนเวลานั้น เลยพูดทักขึ้นมาว่า ไปกันวันอื่นไหมวันนี้มันใกล้จะเย็นแล้วแม่รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ตอนนั้นอุ้มไม่เชื่อไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่ากลุ่มเพื่อนมากันครบแล้วจะไปเที่ยวน้ำตกกันเพราะเรานัดกันไว้แล้ว อุ้มเลยตอบกลับแม่ไปว่าจะรีบไปรีบกลับ
จากนั้นพวกเรา 5 คน เลยออกเดินทางขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวน้ำตกกัน รถมอเตอร์ไซค์คันแรก(HONDA Sonic 125) นั่งซ้อนสองคนคือ อุ้มเป็นคนขี่และแฟนเป็นคนซ้อน รถคันที่สอง(Honda Wave110i ) นั่งซ้อนสามคนคือ มีมายนั่งหน้าและทิชาซ้อนหลัง ส่วนหมอกเป็นคนขี่
เราขี่รถกันกว่าจะถึงน้ำตกใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ระยะทาง 60 กิโลเมตร พอไปถึงน้ำตกเราก็เล่นน้ำกัน นั่งคุย นั่งเล่น จนเวลาตอนนั้น 17.30 น. พวกเราเลยเตรียมตัวกลับกัน ขากลับพวกเราเลยคุยกันว่าจะแวะจุดชมวิวที่เป็นสะพานข้ามน้ำติดกับตลาดที่เขาขายปลากัน เพื่อถ่ายรูปเล่นกันอีกสักพักแล้วค่อยเดินทางกลับ เพราะตอนช่วงพระอาทิตย์ตกดินตรงนี้จะวิวสวย
ขากลับรถคันของหมอกขี่นำหน้า ส่วนรถของอุ้มขี่ตามหลัง ระหว่างที่ขี่รถกลับมาเรื่อยๆ ห่างจากจุดชมวิวที่พวกเราจอดถ่ายรูปกันประมาณ 15 กิโลเมตร รถคันที่อุ้มขี่เกิดยางรั่วที่ล้อหลัง อุ้มเลยคุยกับแฟนว่าเราจะพยามยามขี่รถหาร้านปะยางกันก่อน เพราะโทรติดต่อหารถอีกคันไม่ได้ว่ารถคันของอุ้มยางรั่ว ตอนนั้นโทรศัพท์ที่ติดตัวมาด้วยเป็นรุ่นซัมซุงฮีโร่ ใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้และไม่มีเงินโทรออก โทรออกได้แค่ช่วงเวลาที่สมัครโปรโมชั่นโทรฟรีไว้เท่านั้น (โทรศัพท์เครื่องที่ใช้ประจำเสียเลยต้องเอาไปซ่อมก่อน) ส่วนโทรศัพท์เครื่องของแฟน แบตโทรศัพท์หมด (ไม่มีที่ถอดซิม เลยไม่ได้เปลี่ยนซิมใส่โทรศัพท์อีกเครื่อง)
ขี่รถต่อมาอีกประมาณ 5 กิโลเมตร เจอร้านปะยางร้านแรกแถวๆ(ต. เขา...) อยู่ด้านซ้ายมือแต่ว่าร้านปิด อุ้มเลยขี่หาร้านต่อ ขี่ไปเจอร้านปะยางร้านที่สองก็ปิดอีก ส่วนร้านปะยางร้านที่สามที่เราเจอ ร้านเปิดแต่ไม่มีคนอยู่เลย ตะโกนเรียกก็ไม่มีใครออกมา เลยตัดสินใจว่าจะขี่ไปเรื่อยๆค่อยไปหาร้านอื่นข้างหน้าเอา
หมอกที่ขี่รถกลับไปส่งมายด์ถึงที่บ้านแล้ว เกิดสงสัยว่าทำไมรถคันของอุ้มถึงมาช้า เลยโทรหาอุ้มว่าเป็นอะไรทำไมยังไม่ถึง อุ้มเลยบอกว่ารถยางรั่วหาร้านปะยางไม่ได้เลย ขี่หาร้านปะยางมา 3 ร้านแล้ว ร้านปิดหมดเลย จากนั้นหมอกก็บอกว่าจะขี่รถย้อนไปหาให้จอดรอก่อน
หมอกได้บอกกับทิชาว่าให้ทิชา รออยู่ที่บ้านของมายด์ก่อน เพราะหมอกจะขี่รถย้อนกลับไปดูรถของอุ้มเองคนเดียว ไม่อยากให้ทิชาซ้อนรถไปตอนมืดด้วย หมอกขี่ไปคนเดียวน่าจถึงไวกว่า เพราะตอนนั้นเวลาก็เกือบจะ 19.30 น. แล้ว
พอหมอกขี่รถย้อนมาเจออุ้ม หมอกเลยแนะนำว่าให้เราสลับรถกัน คืออุ้มกับแฟนขี่รถคันของหมอกกลับไปและหมอกจะขี่รถคันของอุ้มกลับเข้าหมู่บ้านของหมอกเอง เพราะหมู่บ้านของหมอกกับทิชาอยู่ข้างหน้าใกล้ๆนี้ ที่เป็นทางผ่านก่อนจะถึงหมู่บ้านของมายด์ เพื่อที่จะเอารถคันของอุ้มเข้าไปปะยางร้านในหมู่บ้านเผื่อยังมีร้านเปิดอยู่ และให้อุ้มกับแฟนขี่รถกลับไปที่หมู่บ้านของมายด์ เพื่อไปรับทิชาอีกคนและไปส่งทิชาที่หมู่บ้าน
ตอนนั้นเวลา 22.00 น. พอถึงบ้านของมายด์ เราก็เตรียมตัวเพื่อจะไปส่งทิชาที่หมู่บ้าน โดยให้แฟนอุ้มนั่งหน้าและทิชาซ้อนท้าย การที่ไปหมู่บ้านทิชาครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่อุ้มเคยเข้าไปเพราะเคยแค่ผ่านทางเข้าหมู่บ้านจากทางผ่านของถนนใหญ่นี้เท่านั้น ไม่เคยเข้าไปเลยสักครั้ง
ระหว่างทางที่ขี่รถเข้าไปในหมู่บ้านสองข้างทางมืดและเงียบมากไม่มีไฟข้างทางเลยมีแค่ไฟรถแค่ดวงเดียว พอขี่เข้าไปเรื่อยเรื่อยทางก็ยิ่งเปลี่ยวยิ่งมืดมีแค่ไฟรถ อุ้มเลยเปิดไฟรถสลับสูง-ต่ำ ไปตลอดทางเพราะกลัวว่าจะมีรถสวนทางออกมา
พอระหว่างทางที่ขี่รถเข้าไปในหมู่บ้าน ทิชาที่เป็นคนในหมู่บ้านได้สะกิดบอกว่า ถ้าผ่านศาลเจ้าที่ให้บีบแตรขอทางด้วยนะ เดี๋ยวใกล้ๆถึงแล้วจะบอก อุ้มเลยตกปากรับคำว่าโอเคๆ แต่ตอนนั้นอุ้มไม่รู้ว่าศาลเจ้าที่ที่ทิชาบอกอยู่ฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาเพราะใส่หมวกกันน็อคเลยไม่ได้ยินที่ทิชาบอกทั้งหมด
พอขี่มาได้สักระยะทิชาก็สะกิดบอกให้บีบแตร แต่ตอนนั้นอุ้มเห็นศาลอยู่ฝั่งซ้ายเป็นศาลเล็กๆสีเขียว ที่ด้านหน้าของศาลหันไปทางไร่และด้านหลังของศาลหันไปทางถนน ตั้งอยู่ข้างทางริมถนน คิดว่าเป็นศาลเจ้าที่ ที่จะต้องบีบแตรเลยบีบแตรไป 3 ครั้ง เพื่อขอทาง
แต่พอยิ่งขี่เข้าไปใกล้ เห็นมีคน 3 คน นั่งอยู่หน้าศาล มีผู้หญิงผอมๆหนึ่งคน นั่งหันหน้าเข้าศาล ผู้ชายผอมๆหนึ่งคน นั่งอยู่ด้านซ้ายของผู้หญิง และผู้ชายร่างใหญ่หนึ่งคน นั่งอยู่ทางขวามือของผู้หญิงหันหลังให้ศาล
ลองมองดูดีดีว่าเค้านั่งทำอะไรกัน พอยิ่งมองยิ่งเห็นว่า ทั้งสามคนกำลังนั่งกินอะไรอยู่ที่หน้าศาล คิดว่าเขาเป็นชาวบ้านที่มาหาหนูนาและนั่งพักกินข้าวกัน
แต่ข้าวที่เขากำลังกิน อุ้มเห็นว่าเขากำลังหยิบออกมาจากกระทงใบตองเหี่ยวๆและกำลังแย่งกันกินเหมือนคนอดอยาก ตอนนั้นคิดว่าตัวเองตาฝาดเลยลองมองดีๆอีกครั้งให้แน่ใจ
จู่ๆผู้ชายร่างใหญ่ที่กำลังนั่งกินอยู่ก็หันกลับมามอง แต่เขาหันกลับมาแค่หัว ตอนนั้นได้ยินเสียงกระดูกคอเขาหัก ตามจังหวะที่หันหัวกลับมามอง ดัง กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ เสียงกระดูกคอหักตามจังหวะที่เขาหันมาเรื่อยๆจนหัวหันมาด้านหลัง คอที่หมุนหันกลับมาพับเป็นเกลียว ดวงตากลวงโบ๋ ปากมีคราบสีดำติดอยู่เต็มปาก
พออุ้มเห็นแบบนั้นก็ตกใจ คิดในใจว่าชัดเจนแล้วที่ไม่ใช่คน เลยตั้งสติทำเป็นขี่ไปเรื่อยเรื่อย ทำเป็นไม่สนใจเพราะมีความเชื่อว่าถ้าเราทำเป็นมองไม่เห็นเขา เขาจะไม่ทำอะไรเรา
ทั้งที่เราขี่รถผ่านแล้วแต่เขาก็ยังมองตามรถอุ้มที่ขี่ผ่าน จากที่เขาหันหัวกลับมาด้านหลัง เขาก็หันหัวตามจังหวะรถที่อุ้มขี่ผ่านไปข้างหน้า จนคอบิดเบี้ยว หัวห้อยตกอยู่บนไหล่ข้างขวา แต่ก็ต้องตั้งสติแล้วก็ขี่รถต่อไปเรื่อยเรื่อยเพราะกลัวว่ารถจะล้ม ตลอดทั้งทางเรา 3 คนไม่พูดคุยกันเลยสักคำ
พอผ่านมาสักพักเห็นต้นไม้สูงใหญ่สองต้นและมีผู้หญิงยืนอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไม้ ผู้หญิงคนนั้นผมยาวปิดหน้ายืนก้มหน้าอยู่ไม่มีแขนไม่มีขา พอเห็นอุ้มก็ตกใจสติแทบจะไม่อยู่กับตัว คิดในใจว่าเราเพิ่งจะเจอมาเมื่อกี้เองนะ เจอติดกันแบบนี้กลัวจนแทบจะขี่รถต่อไปไม่ไหว แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจและขี่รถต่อไปเรื่อยเรื่อยเพราะไม่อยากให้อีก 2 คนที่มาด้วยกันกลัว
พอขี่มาสักพักใหญ่ใหญ่จึงเห็นรั้ววัดที่เป็นเขตจะที่เข้าหมู่บ้าน ขี่ผ่านกำแพงวัดไปจะเจอประตูวัดอยู่ซ้ายมือ ผ่านประตูวัดไป ขี่ไปตามซอยถึงเจอบ้านของหมอก
อุ้มไปจอดรถที่หน้าบ้าน เห็นกลุ่มคนที่เป็นตาแก่ๆกำลังนั่งกินเหล้าอยู่เกือบ 10 คน ตาแก่ๆในกลุ่มพอเห็นพวกอุ้มเลยตะโกนบอกทิชาว่าจะพาเขาเข้ามาทำไม(คืออุ้มกับแฟน) พาเขาออกไปเดี๋ยวนี้เลย ดึกดื่นแล้ว เขาจะออกจากหมู่บ้านไม่ได้รีบพาเขาออกไปเลย
ตอนนั้นที่ได้ยินอุ้มตกใจคิดว่าที่ออกจากหมู่บ้านไม่ได้เป็นเพราะว่ามีวัยรุ่นหรือเปล่ากลัวอันตรายเพราะต่างถิ่น หมอกจึงอาสาว่าจะขี่รถกลับออกไปส่งอุ้มกับแฟนจนถึงถนนใหญ่ จะไปกับพี่ชายอีกคน เพราะถ้าจะให้นอนบ้านของทิชาก็ไม่มีห้องคนในบ้านอยู่กันเยอะ อุ้มเกรงใจ และบ้านของหมอกก็มีแต่ผู้ชาย บวกกับคนแก่ที่ตะโกนบอกว่าให้รีบกลับออกไป เลยติดสินใจว่าจะกลับ
ระหว่างที่เราขี่รถกลับออกจากหมู่บ้านรถของอุ้มขี่นำหน้า ส่วนรถของหมอกและพี่ชายขี่ตามหลังเพราะกลัวว่ารถจะเสียอีก ระหว่างที่พ้นเขตรั้ววัด อุ้มสังเกตุกระจกมองหลังเห็นไฟรถหมอกดับไป เลยหันกลับไปมองไม่เห็นว่ามีรถตามมาเลยสักคัน แฟนที่นั่งอยู่ข้างหลังเลยสะกิดว่าไม่ต้องหันกลับไปมองขี่ไปเลย
แต่อุ้มก็ยังหันกลับไปมองหลายครั้งและจอดรถเพื่อจะดูว่าหมอกได้ขี่ตามมาไหม ในใจอุ้มคิดว่าไหนตอนแรกบอกจะขี่มาส่ง ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้ แต่มองยังไงก็ไม่เห็นแสงไฟจากรถของหมอกเลยเห็นแต่ความมืด เลยตัดสินใจขี่รถออกไปต่อ
ระหว่างทางที่ขี่กลับออกมาสองข้างทางมืดไม่มีไฟอะไรเลยนอกจากไฟรถเราเหมือนเดิม ไฟจากบ้านคนก็มีไม่กี่หลังเป็นไฟสีส้มที่ติดไว้หน้าบ้าน
ยิ่งขี่ก็ยิ่งไกลเหมือนไกลกว่าขาที่เราขี่เข้ามา มืดจนมองไม่เห็นว่าศาลเจ้าที่ ที่เราต้องบีบแตรตอนแรกคือตรงไหน เลยบีบเป็นจังหวะช่วงที่คิดว่าศาลเจ้าที่คือตรงบริเวณนั้น
ระหว่างที่ขี่ผ่านจุดที่เราบีบแตรมา รู้สึกว่ารถมันหนักขึ้นมากทั้งที่เราซ้อนกันมาแค่สองคน หนักกว่าที่เราซ้อนกันสามคนอีกทั้งที่ใช้ความเร็วขี่เท่ากับขาเข้าหมู่บ้าน
อยู่อยู่แฟนที่นั่งมาข้างหลังก็เริ่มจับเสื้อเราแน่นขึ้นๆแล้วเริ่มร้องไห้ซบมาที่ไหล่ ตอนนั้นเลยคิดว่าแฟนน่าจะเห็นอะไรเข้าสักอย่างแล้วหรือจะเห็นแบบที่เราเห็น เลยชวนแฟนคุยเพื่อไม่ให้แฟนกลัว แต่พูดอะไรไปแฟนก็ไม่พูดตอบกลับมา เหมือนเราพูดอยู่คนเดียว ได้ยินแต่เสียงแฟนร้องไห้
ยิ่งขี่ออกมาก็ไม่เจอถนนใหญ่สักที คิดว่ามันน่าจะถึงถนนใหญ่ได้แล้วเพราะเราขี่กันมานานแล้วเหมือนขี่กันเป็นชั่วโมงทั้งที่ขาเข้าไปไม่นานขนาดนี้ เลยภาวนาในใจว่าขอให้พระที่บ้านคุ้มครองขอให้ออกจากหมู่บ้านนี้ได้อย่างปลอดภัยขอให้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ตอนนั้นสวดมนต์อะไรไม่ถูกแล้วท่องได้แค่ นะโม นะโม นะโม จากนั้นสักพักก็เห็นแสงไฟจากถนนใหญ่บ่งบอกว่าเราจะออกจากหมู่บ้านนี้ได้แล้ว เลยบอกแฟนว่าเริ่มเห็นไฟจากถนนใหญ่แล้วนะใกล้จะถึงบ้านแล้ว แต่แฟนก็ยังไม่พูดตอบ