สวัสดีครับ เป็นกระทู้แบ่งปันปัญหาที่ผมมองเห็นในอนาคตนะครับ สมัยนี้หนังเราเริ่มจะพัฒนาแล้วใช่ไหมครับ ทั้งการถ่ายทำ คุณภาพงาน การตัดต่อการทำสี แล้วส่วนสำคัญที่สุดของการทำหนังคือเนื้อเรื่องครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอาจจะออกมาพูดระบายก็คือ การให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องและการหาข้อมูลครับ ไม่ใช่นักศึกษาที่จะจบไปทุกคนจะเป็นคนทำหนังที่แย่นะครับ แต่จากมุมสายตาผมแล้ว คนประเภทหนึ่งครับ คือตัวถ่วงในการวงการหนังในอนาคตครับ คนทำหนังในไทย 100 % จะมี 60 % ที่ดีครับ ส่วนอีก 40 % คือคนที่เอาแต่เดินตามคนอื่นคิดเองไม่เป็น วันๆขี้เกียจ ขออะไรที่มันง่ายๆ ง่ายๆครับคนทำแบบข้อไปที วันที่จะต้องคิดบทหนังหรือว่าอย่างไรก็ตาม ก็จะคิดกันตื้นๆ ไม่หาข้อมูล ไม่ใช่นักศึกษาปี 1 นะครับ จะจบแล้ว ผมเลยไม่แปลกใจว่าทำไม หนังไทยมันยังมีความติดขัดกันอยู่ และบางส่วนไร้คุณภาพ ผมเลยอยากแชร์ปัญหาเรื่องนี้ครับ
เวลาจะทำหนังอะไร อย่าคิดว่าคนดูโง่กันนะครับ ทำอะไรอย่าคิดแต่ว่าตัวเองอยากทำ อย่าลืมลงมาเป็นตนดูหนังตัวเองด้วยครับ มองในมุมคนดูแล้วหัดตั้งคำถามกับหนังของตัวเอง ว่ามันมีรูตรงไหนที่คุณต้องกลับไปแก้ไข มองว่าหากคุณเป็นแค่คนดู มองภาพรวมหนังที่คุณพยายามสื่อเขาจะตั้งคำถามกับคุณว่าอย่างไร ผมไม่ได้เก่งมากกว่าผู้กำกับความสามารถในสมัยนี้หรอกนะครับ แต่ผมมองเห็นถึงปัญหา ในรั้วมหาลัยครับ เอาง่ายๆครับมหาลัยผมก็ดังเรื่องภาพยนตร์ครับ เลยมองว่า ก็ต้องมีคนสไตล์แบบนี้กระจายอยู่ทุกมหาลัยในสายงานนี้ครับ แล้วหากยังมีคนประเภทที่เขียนบทหนังแบบไม่หาข้อมูล ไม่หาอะไรรับรองสิ่งที่คิด อย่างไงมันก็จะรู้สึกติดขัดอยู่แล้วครับ
ยกตัวอย่างนะครับ หากผมจะทำหนังโรคจิตขึ้นมา ผมรู้แค่ว่าต้องฆ่า เป็นบ้า รู้แค่นั้นครับ แต่ผมไม่รู้ว่าการเป็นโรคจิตมันเป็นไรอย่าง คนเราจะฆ่าคนได้ต้องคิดอะไร ผมจะบอกนักแสดงให้เล่นเป็นโรคจิตอย่างไร " ช่วงแสดงแบบจิตๆเลยนะบ้าๆเลยนะ แล้วก็ไปฆ่าคนนั้นเลย " สุดท้ายหนังก็จะได้แค่ตื้นๆครับ ไม่มีใครอินของตัวหนัง และนักแสดง เพราะขนาดผู้กำกับหรือคนเขียนบทยังไม่สามารถเข้าใจความรู้สึก หรือความเป็นโรคจิตอย่างถูกต้องได้เลย สุดท้ายเราเป็นคนดูก็ต้องขัดใจ ในการแสดงของนักแสดงอยู่แล้ว อยากให้นักแสดงร้องไห้ในฉากนี้ เราก็ยังต้องเล่าเรื่องราว ว่าร้องไห้เพราะอะไร ร้องไห้ดีใจ ร้องไห้คนตาย ร้องไห้เครียด ร้องไห้เป็นเมน ร้องไห้เพราะกดดันตัวเอง มันต่างกันครับ การทำการบ้านในเรื่องของข้อมูล แบคความหลังต่างๆ จึงสำคัญครับ ไม่ว่าตัวหนังจะไม่ได้พูดกับเราตรงๆ แต่มันก็มีแบคความหลังข้อตัวละครที่ทำให้ไม่มีรอยร้าวได้ครับ ฝากไว้ให้คิดสำหรับผู้กำกับที่จะเป็นหน้าใหม่ทุกคนครับ ไม่ใช่แค่อยากที่จะทำอย่างเดียว แต่อย่าลืมหาข้อมูลของสิ่งที่จะทำอย่าลึกซึ้งด้วยครับ ขอบคุณครับ
ประสบการณ์ตรงจากนักศึกษาที่จะจบมาเป็นผู้กำกับ !!
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอาจจะออกมาพูดระบายก็คือ การให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องและการหาข้อมูลครับ ไม่ใช่นักศึกษาที่จะจบไปทุกคนจะเป็นคนทำหนังที่แย่นะครับ แต่จากมุมสายตาผมแล้ว คนประเภทหนึ่งครับ คือตัวถ่วงในการวงการหนังในอนาคตครับ คนทำหนังในไทย 100 % จะมี 60 % ที่ดีครับ ส่วนอีก 40 % คือคนที่เอาแต่เดินตามคนอื่นคิดเองไม่เป็น วันๆขี้เกียจ ขออะไรที่มันง่ายๆ ง่ายๆครับคนทำแบบข้อไปที วันที่จะต้องคิดบทหนังหรือว่าอย่างไรก็ตาม ก็จะคิดกันตื้นๆ ไม่หาข้อมูล ไม่ใช่นักศึกษาปี 1 นะครับ จะจบแล้ว ผมเลยไม่แปลกใจว่าทำไม หนังไทยมันยังมีความติดขัดกันอยู่ และบางส่วนไร้คุณภาพ ผมเลยอยากแชร์ปัญหาเรื่องนี้ครับ
เวลาจะทำหนังอะไร อย่าคิดว่าคนดูโง่กันนะครับ ทำอะไรอย่าคิดแต่ว่าตัวเองอยากทำ อย่าลืมลงมาเป็นตนดูหนังตัวเองด้วยครับ มองในมุมคนดูแล้วหัดตั้งคำถามกับหนังของตัวเอง ว่ามันมีรูตรงไหนที่คุณต้องกลับไปแก้ไข มองว่าหากคุณเป็นแค่คนดู มองภาพรวมหนังที่คุณพยายามสื่อเขาจะตั้งคำถามกับคุณว่าอย่างไร ผมไม่ได้เก่งมากกว่าผู้กำกับความสามารถในสมัยนี้หรอกนะครับ แต่ผมมองเห็นถึงปัญหา ในรั้วมหาลัยครับ เอาง่ายๆครับมหาลัยผมก็ดังเรื่องภาพยนตร์ครับ เลยมองว่า ก็ต้องมีคนสไตล์แบบนี้กระจายอยู่ทุกมหาลัยในสายงานนี้ครับ แล้วหากยังมีคนประเภทที่เขียนบทหนังแบบไม่หาข้อมูล ไม่หาอะไรรับรองสิ่งที่คิด อย่างไงมันก็จะรู้สึกติดขัดอยู่แล้วครับ
ยกตัวอย่างนะครับ หากผมจะทำหนังโรคจิตขึ้นมา ผมรู้แค่ว่าต้องฆ่า เป็นบ้า รู้แค่นั้นครับ แต่ผมไม่รู้ว่าการเป็นโรคจิตมันเป็นไรอย่าง คนเราจะฆ่าคนได้ต้องคิดอะไร ผมจะบอกนักแสดงให้เล่นเป็นโรคจิตอย่างไร " ช่วงแสดงแบบจิตๆเลยนะบ้าๆเลยนะ แล้วก็ไปฆ่าคนนั้นเลย " สุดท้ายหนังก็จะได้แค่ตื้นๆครับ ไม่มีใครอินของตัวหนัง และนักแสดง เพราะขนาดผู้กำกับหรือคนเขียนบทยังไม่สามารถเข้าใจความรู้สึก หรือความเป็นโรคจิตอย่างถูกต้องได้เลย สุดท้ายเราเป็นคนดูก็ต้องขัดใจ ในการแสดงของนักแสดงอยู่แล้ว อยากให้นักแสดงร้องไห้ในฉากนี้ เราก็ยังต้องเล่าเรื่องราว ว่าร้องไห้เพราะอะไร ร้องไห้ดีใจ ร้องไห้คนตาย ร้องไห้เครียด ร้องไห้เป็นเมน ร้องไห้เพราะกดดันตัวเอง มันต่างกันครับ การทำการบ้านในเรื่องของข้อมูล แบคความหลังต่างๆ จึงสำคัญครับ ไม่ว่าตัวหนังจะไม่ได้พูดกับเราตรงๆ แต่มันก็มีแบคความหลังข้อตัวละครที่ทำให้ไม่มีรอยร้าวได้ครับ ฝากไว้ให้คิดสำหรับผู้กำกับที่จะเป็นหน้าใหม่ทุกคนครับ ไม่ใช่แค่อยากที่จะทำอย่างเดียว แต่อย่าลืมหาข้อมูลของสิ่งที่จะทำอย่าลึกซึ้งด้วยครับ ขอบคุณครับ