JJNY : ศิริกัญญาโวยชักดาบ 5 ธนาคาร│‘ส.ว.พันธุ์ใหม่’พ้อถูกมองข้าม│ปภ.เตือน 10 จว.กลาง-กทม.│ญี่ปุ่นเผชิญ “ฤดูร้อนระอุ”

ศิริกัญญา โวยรัฐบาล ชักดาบ 5 ธนาคาร กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท หวังใช้ทำ ดิจิทัลวอลเล็ต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4770845
 
 
‘ศิริกัญญา’ จวก ‘รัฐบาล’ ชักดาบ 5 ธนาคาร กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท หวังใช้ทำ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้ หากยังไม่ชัดเจน สภาไม่ควรอนุมัติ แนะให้รอก่อนแล้วค่อยออกเป็น พ.ร.บ.โอนงบ เพื่อแจกให้ครบ 45 ล้านคน
 
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 กันยายน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สองเป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี พ.ศ.2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ปรับลด 7,824,398,500 บาท โดยเป็นการพิจารณาเรียงรายมาตรา
 
จากนั้นเวลา 11.45 น. เข้าสู่การพิจารณามาตรา 6 งบกลาง โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า ตนขอปรับลดงบประมาณลง 1.52 แสนล้านบาท โดยในมาตรานี้มีงบประมาณเพิ่มเติม 1.8 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงรายการจากการใช้หนี้ธนาคารรัฐ 3.5 หมื่นล้านบาท แต่ตนขอตัดเฉพาะในส่วนของการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ อีก 3.5 หมื่นล้านบาท ขอให้นำกลับไปชำระหนี้ของธนาคารของรัฐตามเดิม
 
ด้วยเหตุผลว่า เราทราบดีว่างบประมาณในส่วนการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจที่งอกขึ้นมา ถูกนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้มีความชัดเจนมากขึ้นหลังเปลี่ยนรัฐบาลว่าในเฟสแรก จะเปลี่ยนจากดิจิทัลวอลเล็ตเป็นเงินสด ไปแล้ว 14.5 ล้านคน ซึ่งใช้งบประมาณในปี 2567 กว่า 1.45 แสนล้านบาท
 
โดยมาจาก 2 ส่วนคือ พ.ร.บ.เพิ่มเติมงบประมาณปี 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท และอีกก้อนคือใช้งบกลางอีกประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท เราควรจะเลิกเรียกว่าดิจิทัลวอลเล็ตได้แล้ว เพราะไม่มีดิจิทัลและวอลเล็ตแล้ว
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังต้องหาเงินมาอีก 3.05 แสนล้านบาท ซึ่งวันนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่เข้าใจว่าวันนี้ยังไม่มีรัฐบาล ยังไม่มีการถวายสัตย์ฯ ยังไม่มีการแถลงนโยบาย ดังนั้น เราจึงไม่มีทางรู้ว่าเงินก้อนที่เหลือจะแจกผ่านดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ หรือจะแจกเป็นเงินสด จะแจกเท่าไหร่ เมื่อไหร่
ดังนั้น จึงไม่รู้ว่าเราจะมาพิจารณางบประมาณเพื่ออนุมัติก้อนนี้ไปเพื่ออะไร แต่หากจะทำให้ได้ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้ เราต้องการเงินเพิ่มอีก 3.05 แสนล้านบาท วันนี้ที่เราพิจารณากันอยู่มีงบประมาณที่เราพิจารณาไว้ตั้งแต่วาระ 1 จำนวน 1.52 แสนล้านบาท อยู่ในกระเป๋า อีกก้อนมาจากการเบี้ยวหนี้ ชักดาบธนาคารรัฐ 3.5 หมื่นล้านบาท
 
เรียกว่าหน้ามืดแล้ว มีเงินตรงไหนเหลือก็ขอไปล้วง ไปควักออกมาให้หมด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ครบ 3.05 แสนล้านบาทอยู่ดี ยังขาดอีก 1.17 แสนล้านบาท เท่ากับคน 12 ล้านคน ที่ตอนนี้ยังหน้าสิ่วหน้าขวานว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาจ่ายให้ประชาชนจนครบ ซึ่งหากยังไม่ครบแล้วท่านจะไปตัดงบธนาคารแห่งรัฐมาก่อนทำไม หลายโครงการเป็นโครงการที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ เช่น โครงการจำนำสินค้าเกษตรปี 2552 โครงการประกันรายได้ สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
 
รวมถึงตัดงบของธนาคารออมสิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่ใช้ในโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ตัดนิดตัดหน่อยก็จะเอา เพื่อรวมเงินให้ได้ แต่ก็รวมได้แค่ 3.5 หมื่นล้านบาท และเป็นงบที่มาอย่างประหลาด เพราะในชั้นอนุ กมธ.ฯ ก็ไม่มีอนุฯ ไหนตัด เพื่อรวมเงินนำไปใช้ในโครงการเติมเงิน ทั้งนี้ ที่ปรับลดนั้นลอยมาหลังจากที่อนุกมธ.พิจารณาเสร็จสิ้น ในคราวที่ ครม.มีมติให้โอนเงินเพื่อใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า สภาไม่จำเป็นต้องเห็นชอบเงินจำนวน 1.2 แสนล้านบาทเพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตใช่หรือไม่ และเงินที่จะใช้ก็ยังมีไม่เพียงพอ ฉะนั้น ตนจึงมีข้อเสนอว่าควรรอให้มีการแถลงนโยบายให้จบก่อน แล้วค่อยมาออกเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ก็ยังทัน เพราะยังมีเวลา ให้ประชาชนรอมาได้ปีกว่า ให้รออีกหน่อย เพื่อให้รัฐบาลไปออกร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณ โดยตัดงบกระทรวงของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อใช้ดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อแจกให้ครบ 45 ล้านคน
 

 
‘ส.ว.พันธุ์ใหม่’ โวย เสียงข้างมากกินรวบ ตั้งกมธ. 21 ชุด พ้อถูกมองข้าม ทำงานยากตั้งแต่เริ่มต้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4770969

‘ส.ว.พันธุ์ใหม่’ โวย เสียงข้างมากกินรวบ ตั้งกมธ. 21 ชุด พ้อถูกมองข้าม ทำงานยากตั้งแต่เริ่มต้น
 
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 3 กันยายน ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. กล่าวถึงกรณีที่ ที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการแก้ไขข้อบังคับการประชุมและกำหนดให้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญประจำวุฒิสภา 21 คณะ จากเดิมมี 26 คณะ

น.ส.นันทนากล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้มีข้อเสนอในการที่จะยกร่างข้อบังคับการประชุมว่าด้วย กมธ. ที่มีผู้ยกร่างทั้งสิ้น 5 ร่าง ซึ่ง 4 ร่างเป็นของสมาชิกเสียงข้างน้อย และเราตั้งใจที่จะเสนอร่างนี้เข้าไป และข้อตกลงในการที่จะนำร่างนี้เข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา โดยนำร่างของเสียงข้างมากเป็นร่างหลัก แต่ปรากฏว่าทั้ง 4 ร่างถูกตีตก จึงเหลือร่างหลักของเสียงข้างมากเพียงร่างเดียว ซึ่งมีการเปิดให้แปรญัตติ และใช้ระยะเวลาประมาณ 30 วัน แต่เมื่อวานนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่คำเดียว จึงมีความรู้สึกว่าเสียงของวุฒิสมาชิกเสียงข้างน้อยไม่มีความสำคัญ และไม่มีการเคารพ ตกลงแล้วกันมาทำงานในสภา เราไม่สามารถผลักดันอะไรได้เลย แม้จะมีข้อตกลงเพื่อลงมติร่วมกันแต่ถึงเวลาก็ใช้เสียงข้างมากในการลงมติ
 
เมื่อถามว่า ส.ว.เสียงข้างน้อยจะทำงานยากหรือไม่ น.ส.นันทนากล่าวว่า ยากลำบากมาตั้งแต่ต้นที่เรามีจำนวนน้อยเกินกว่าที่เราจะไปชนะในมติใดๆ ได้ แต่ก็ยังคิดว่า ส.ว.เป็นผู้ที่มาจากอาชีพที่หลากหลายและการเข้ามาร่วมเข้ามาทำงานต้องมีเสียงข้างมากหรือข้างน้อย และควรให้กลุ่มอาชีพได้แสดงความรู้ความสามารถผลักดันวาระ แต่สุดท้ายเราไม่ได้เห็นความหลากหลายตรงนี้ ถือเป็นเรื่องยากที่จะผลักดันวาระต่อไป ไม่ต้องพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
 
เราคงทำได้แค่ส่งเสียง ให้สื่อมวลชนสื่อสารไปยังประชาชนว่าเราพยายามเต็มที่แล้ว” น.ส.นันทนากล่าว
 
เมื่อถามว่า หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่องที่ ส.ว.เสียงข้างน้อยอยากผลักดัน จะไม่สำเร็จเลยใช่หรือไม่ น.ส.นันทนากล่าวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น เราได้เสนอญัตติน้ำท่วม ซึ่งคนทั่วไปเขาเห็นความเดือดร้อน เป็นญัตติของเสียงข้างน้อยก็ไม่ได้รับการบรรจุ กว่าจะบรรจุน้ำก็คงลดไปแล้ว
 
น.ส.นันทนากล่าวว่า เราคงได้ยินมาแล้วว่าจะมีประธาน กมธ.จากสีน้ำเงิน 21 เก้าอี้ ต้องถามประชาชนว่าเห็นชอบหรือไม่ เสียงข้างมากไม่ได้แปลว่าจะต้องกินรวบทั้งหมด หรือจะได้เป็นประธาน กมธ.ทุกคณะ ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งประธาน กมธ.ควรเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถตรงกับภาระหน้าที่ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อรับผลประโยชน์ มีห้องทำงาน หรือขอเครื่องราชฯ ได้ เพราะประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย



ปภ.เตือน 10 จว.ภาคกลาง-กทม. เฝ้าระวังเจ้าพระยาเพิ่มสูง ตั้งแต่ 5 ก.ย. ให้ย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9394323

ปภ.เตือน 10 จว.ภาคกลาง-กทม. เฝ้าระวังเจ้าพระยาเพิ่มสูง ตั้งแต่ 5 ก.ย. ให้ย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง
 
เมื่อวันที่ 3 ก.ย.67 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) รับแจ้งจากกรมชลประทาน ว่า ในช่วงวันที่ 3–9 ก.ย. ร่องมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคใต้

จากการคาดการณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า 1 – 7 วันข้างหน้า พบว่าปริมาณน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในวันที่ 9 ก.ย. ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์  จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน ประมาณ 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำจากลำน้ำสาขา ประมาณ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณ 1,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบกรมชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ในอัตรา 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
 
ทำให้มีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราระหว่าง 1,400 – 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 0.25 – 0.40 เมตร และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.เป็นต้นไป
 
กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และ สมุทรปราการ รวมถึง กรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ
 
พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ ตลอดจนประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม
 
นอกจากนี้ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
 
สำหรับประชาชน ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่