สวัสดีครับ
ผมขออนุญาตสมัครล็อคอินใหม่เพื่อเข้ามาตั้งกระทู้นะครับ
จริงๆผมเคยมีล็อคอินที่ใช้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมและน้องเขาอยู่
แต่ว่าโดนพันทิปแบนและลบกระทู้ไปเนื่องจากเหตุผลเรื่องลามกอนาจารและศีลธรรม
ท่านที่ติดตามห้อง "บางรัก" และ "ศาลาประชาคม" มาตลอดอาจพอจำเรื่องราวคร่าวๆได้บ้าง
ผมขอท้าวความเดิมอย่างงี้ครับ
เมื่อช่วงปี 2564 ที่เป็นช่วงพีคของสถานการณ์โควิต ผมไปพบกับน้องคนนึงในร้านนวดเกย์ครับ
แต่ก่อนผมเป็นคนชอบไปนวดครับ โดยร้านนวดเหล่านี้แน่นอนครับว่ามี "บริการเสริม" พ่วงตามมาด้วย
หลักๆเราจะแบ่งร้านนวดออกเป็นสองแบบตามประเภทบริการเสริม คือ ร้าน Soft คือทำทุกอย่างที่ไม่มีการสอดใส่ กับ ร้าน Hard คือมีเพศสัมพันธ์จัดเต็ม
ผมกับน้องเขาเราอายุต่างกันเพียง 2-3ปีน้องเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่จับพลัดจับผลูมาทำงานในร้านนวดเกย์เพราะพิษจากโควิดทำให้เขาโดนปลดออกจากงานประจำ ประกอบกับมีภาระบางประการจึงทำให้เขาต้องดิ้นหาเงินครับ
ผมได้ "ขึ้นงาน" กับน้องเขาหลายครั้งครับ โดยทั้งหมดเป็นงานที่มีบริการเสริมแบบ Soft เท่านั้น ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ เนื่องจากน้องเขายืนยันว่าเขาเป็นผู้ชาย และมีลิมิตที่ตัวเองทำให้ผมได้แค่งานภายนอก
เราได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนเรื่องราวมุมมองชีวิตกันหลายอย่างครับ ไม่ได้มาเจอกันเพียงเพื่อเซ็กซ์อย่างเดียว ผมพบว่าแทบทุกเรื่องราวที่เขาเล่านั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่งดาษดื่นของเด็กนวดที่สร้างมาเพื่อเอาเงินลูกค้า ผมได้เห็นสภาพความที่เป็นอยู่ที่พักอาศัย สภาพสังคมหลายๆอย่างของเขาและก็รู้สึก เข้าใจ และ เห็นใจเขามากกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญและแบกรับมันไว้
ผมก็เปรยๆกับเขาบ้างว่า ผมไม่เคยเห็นคนที่ทำงานนวด เดินออกจากวงการนี้ได้สักคน แต่ผมเชื่อในศักยภาพของเขา ขอแค่อย่ายอมแพ้ให้ชะตาเป็นตัวกำหนดอนาคต รีบทำรีบเก็บเงินรีบเคลียร์ภาระแล้วรีบไป ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน น้องเขาก็ลาออกจากร้าน เลิกทำงานนวดจริงๆครับ
แต่ถึงแม้ว่าน้องเขาจะเลิกทำงานนวด เราก็ยังคงมาเจอกัน
เขายังคงช่วยเหลือผมบ้างในเรื่องของเซ็กซ์โดยยังคงไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นสอดใส่นะครับ
เราไม่เคยมีข้อตกลงกันว่า ผมจะให้เท่านั้นเท่านี้แลกกับการที่คุณต้องเลิกทำงานนวดแล้วมามีอะไรกับผมเพียงคนเดียว
เพราะถ้าทำแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำงานนวดหรอก เขาก็ยังขายตัวเหมือนเดิม
เพียงแค่เปลี่ยนจากการขายให้คนที่หลากหลาย มาเป็นขายแบบผูกขาดให้ผมคนเดียว
ซึ่งผมจะไม่ทำแบบนั้น และไม่ต้องการให้มันออกมาในรูปแบบนั้น
ผมต้องการให้เขาสร้างศักดิ์ศรีของเขาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่มันเคยแตกสลาย
ความช่วยเหลือทางการเงินที่ผมมีให้เขาคือความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม หลายทีที่ผมให้โดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ คือผมรู้แหละว่าเขาลำบากแต่กระดากที่จะต้องเอ่ยปากขอเงินคนอื่น ดังนั้นอะไรที่ผมทำให้ได้ ผมก็ทำ ส่วนเรื่องเซ็กซ์ผมแล้วแต่เขา ผมบอกเขาเสมอว่า เขามีสิทธิ์เลือกเสมอ และขอให้เห็นคุณค่าในตัวเองอยู่ตลอด
โดยช่วงแรกๆที่เขาเลิกทำงานนวด ประมาณต้นปี 2565 ผมยอมรับว่า ผมซัพพอร์ตเขาหนักหน่วงอยู่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเงินของเขาที่หาได้จากการวิ่งGRABมันไม่พอที่จะจุนเจือ และพาให้ชีวิตของเขา (พ่วงกับความรับผิดชอบบางประการ) ไปรอดได้ ผมปิดหนี้ที่เขาเคยไปกู้ไว้ช่วงโควิด ทั้งหนี้ในและหนี้นอกระบบ พยายามพาชีวิตของเขากลับมาอยู่ที่ 0 ให้ได้ คืออย่างน้อยๆก็ขอให้เขาไม่ติดลบ
ที่ผมตัดสินใจช่วยเขา ผมยอมรับนะ ผมรักเขาแหละ รักมากด้วย
แต่อีกประการหนึ่งคือ ผมต้องการช่วยให้คนคนนึงเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นว่าทางที่ตัวเองตัดสินใจเลือกเดินนั้นถูกต้อง และพาชีวิตไปสู่ความสว่างได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ส่องกระจกแล้วไม่อายตัวเอง มองตัวเองในกระจกแล้วไม่ต้องร้องไห้
หลังจากเหตุการณ์โควิดจบลง พร้อมๆกับภาระหนี้ที่คั่งค้างได้รับการเคลียร์ยอดโดยผม สภาพการจ้างงานของเขาเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ งานอีเวนต์ , งานคอนเสิร์ต , งานแฟร์ , งานเอ็กซ์โป กลับมาคึกคัก เขากลับมาทำอาชีพอิสระครับ เป็นฟรีแลนซ์ งานของเขาได้เงินเป็นจ๊อบๆ เงินค่อนข้างดี แต่ธรรมชาติของงานฟรีแลนซ์นั้น ถึงแม้ว่าเงินจะดี แต่ก็แลกมากับเวลาชีวิตที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ และแลกกับสุขภาพกับการพักผ่อน ผมก็ยินดีกับเขานะที่เขามีงาน แม้จะเป็นงานที่เรียกได้ว่า "ใครทำคนนั้นได้" ไม่ได้มีรายได้มั่นคง แต่มันก็ดีกว่าช่วงปี 2564-2565มากๆ
ผมยังคงคอยดูแลซัพพอตเขาบ้างในบางเรื่องที่มันจวนตัว ช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต และอาจมีค่าจิปาถะมากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับ "ภาระบางประการ" ของเขาว่าดีขึ้นหรือย่ำแย่ลงเพียงใด มีซื้อของเล็กๆน้อยๆให้ตามเทศกาลที่เหมาะสม
โดยคร่าวๆ ผมจะกันเงินส่วนตัวประมาณ 10,000-12,000 บาทต่อเดือน ไว้เพื่อคอยซัพพอร์ตเขา และพยายามไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้
ทีนี้แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน?
ปัญหามันเริ่มจากผมนี่แหละครับ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบท่องเที่ยวครับ ปกติถ้าเป็นช่วงก่อนโควิด ผมไปต่างประเทศปีละ 3-4 ครั้ง เรียกได้ว่าบินทุกไตรมาส
ช่วงโควิดผมถูกจำกัดการเดินทางให้อยู่ในประเทศ ผมจึงมีเงินเหลือเก็บมากมายเพียงพอให้ผมได้ซัพพอร์ตคนคนนึงได้ โดยที่ตัวผมเองไม่ได้เดือดร้อน และไม่ได้กระทบกับงานอดิเรก
แต่หลังจากทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ ผมเองก็ต้องการออกไปใช้ชีวิต ไปท่องโลก ไปทำตามความฝันของตัวเอง
รายรับของผมไม่สามารถทำให้ผมใช้ชีวิตในแบบที่ผมต้องการ ควบคู่ไปกับการดูแลคนคนหนึ่งได้
ผมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออย่างน้อยที่สุด คือ เกลี่ยและวางแผนวินัยทางการเงินของตัวเองเสียใหม่ ถ้าจะไม่ให้เสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเลย
ช่วงปี2566-2567 ผมพยายามทำบัญชีและควบคุมรายจ่ายให้สมดุลที่สุด พยายามกันเงินส่วนของการท่องเที่ยว และส่วนที่จะซัพพอร์ตน้องเขา
ผมลดการเที่ยวต่างประเทศลง จากเดิม ปีละ 3-4 ครั้ง เหลือปีละ 2 ครั้ง โดยเป็นทริปเล็ก (ในเอเชีย) 1 ทริป และ ทริปใหญ่ (ยุโรปหรืออเมริกา) 1 ทริป
มันก็พอช่วยทุเลาความตึงเค้นของกระเป๋าสตางค์ผมลงไปได้
ผมเคยคุยกับเขาว่า เออเนี่ย...ผมจะเพลาๆเงินที่จะซัพพอร์ตคุณลงแล้วนะ คุณต้องอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้แล้วนะ
เพราะนี่มันก็นาน และเป็นเงินจำนวนมากมหาศาลแล้วที่ผมช่วยดึงเขาให้กลับมาอยู่ที่ 0
ที่ผมยืนยันจะช่วยต่อไปแน่ๆคือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมๆประมาณเดือนละ 5,000 ผมว่าอันนี้อยู่ในวิสัยที่ผมดูแลได้
น้องเขาเข้าใจดีและไม่เคยเรียกร้องเลยครับ เขาบอกผมเสมอว่า
"ผมไม่เคยรู้สึกดีเลยเวลาที่ให้พี่ช่วย" ,
"ถ้าจะให้ก็ให้เท่าที่พี่ไม่ลำบาก" ,
"ผมก็เป็นผมเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปไหน พี่หันมาเมื่อไหร่ก็จะเจอผม"
"ผมรักพี่ในแบบของผม"
แต่ผมรู้ครับ รู้ดีเลยแหละว่าเขาลำบาก บางทีเขาก็แค่มาบ่นมาระบายปัญหาการทำงาน , ระบายปัญหาภาระที่เขารับผิดชอบ , ระบายปัญหาครอบครัว
ไม่ได้มีเจตนามาเล่าเพื่อขอเงินหรอก แต่คือ แค่ฟังผมก็รู้ว่า ถ้ามี "เงิน" ปัญหาทุกอย่างมันจะคลี่คลายลงได้
ติดที่ว่าตอนนี้ผมไม่มีให้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
ผมเริ่มกลัวครับ
ผมไม่ได้กลัวว่าเขาจะห่างหายห่างเหินหรือเดินจากผมไป ผมรู้และเชื่อใจเขาว่าเขาเป็นคนแบบใด
ต่อให้ผมมองคนผิด และเขาเดินจากไปเพราะผมไม่ให้เงิน หรือซัพพอร์ตได้ไม่มากเหมือนเก่า ผมควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ชีวิตสลัดคนแบบนี้ออกไปได้
แต่ที่ผมกลัว คือ ผมกลัวว่า ถ้าชีวิตเขามีคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามาอีก ประกอบกับภาระที่เขาต้องรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่เขา "ปฏิเสธไม่ได้"
เขาจะเลือกเดินย้อนกลับไปหา "งานนั้น" อีกหรือเปล่า
จริงอยู่...ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดีในระดับหนึ่ง และเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึงความพยายามและความอดทนเด็ดเดี่ยวมาตลอด2-3ปีที่ผ่านมา
แต่งานขายบริการนั้น ถ้าพูดกันตรงๆมันก็มีกลิ่น "เย้ายวน" เหลือเกินสำหรับคนที่ชีวิตลุ่มๆดอนๆ
เขาจะสบาย มีกิน มีเก็บแน่ๆ เขาจะไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปกู้อาบังที่ไหน ไม่ต้องกลัวน้ำไฟถูกตัด
หลายคนคงมองว่า ผม "เลี้ยง" เขา ถ้าคุณเลิกเลี้ยงเลิกให้เงิน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดชีวิตเขา
,จะว่าถูกมันก็ถูก แต่ผมอยากใช้คำว่า "ช่วยเหลือ" หรือมากกว่า เพราะคำว่าเลี้ยงมันลดคุณค่าศักดิ์ศรีของเขาลงไปมากๆ
ผมเคยคุยกับเขา บอกเขาตรงๆถึงสิ่งที่ผมกังวลในเบื้องลึกของหัวใจ
เขาตอบผมว่า "พี่อย่าดูถูกผม...ถ้าผมจะกลับไปทำผมทำนานแล้ว ไม่อดทนอยู่แบบนี้หรอก"
ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะยังคงเข้มแข็งและยืนหยัดในคำพูดตัวเอง
ผมรักเขานะ รักมาก รักทั้งๆที่เราอยู่ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและไม่มีสถานะ แต่ผมไม่อยากให้มีเงินเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้
ผมต้องการให้เขามีวันที่ดี มีชีวิตที่ดี ตั้งหลักได้ ยืนบนลำแข้งตัวเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี
และอยากจะรู้ว่า "รักพี่ในแบบของผม" ที่เขาพูดเสมอๆนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ขอบคุณพันทิปที่รับฟังครับ
ผมซัพพอร์ตผู้ชายคนนึงมา 3 ปีจนเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว แต่ถ้าไม่ช่วยก็กลัวเขากลับไปขายบริการ
ผมขออนุญาตสมัครล็อคอินใหม่เพื่อเข้ามาตั้งกระทู้นะครับ
จริงๆผมเคยมีล็อคอินที่ใช้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมและน้องเขาอยู่
แต่ว่าโดนพันทิปแบนและลบกระทู้ไปเนื่องจากเหตุผลเรื่องลามกอนาจารและศีลธรรม
ท่านที่ติดตามห้อง "บางรัก" และ "ศาลาประชาคม" มาตลอดอาจพอจำเรื่องราวคร่าวๆได้บ้าง
ผมขอท้าวความเดิมอย่างงี้ครับ
เมื่อช่วงปี 2564 ที่เป็นช่วงพีคของสถานการณ์โควิต ผมไปพบกับน้องคนนึงในร้านนวดเกย์ครับ
แต่ก่อนผมเป็นคนชอบไปนวดครับ โดยร้านนวดเหล่านี้แน่นอนครับว่ามี "บริการเสริม" พ่วงตามมาด้วย
หลักๆเราจะแบ่งร้านนวดออกเป็นสองแบบตามประเภทบริการเสริม คือ ร้าน Soft คือทำทุกอย่างที่ไม่มีการสอดใส่ กับ ร้าน Hard คือมีเพศสัมพันธ์จัดเต็ม
ผมกับน้องเขาเราอายุต่างกันเพียง 2-3ปีน้องเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่จับพลัดจับผลูมาทำงานในร้านนวดเกย์เพราะพิษจากโควิดทำให้เขาโดนปลดออกจากงานประจำ ประกอบกับมีภาระบางประการจึงทำให้เขาต้องดิ้นหาเงินครับ
ผมได้ "ขึ้นงาน" กับน้องเขาหลายครั้งครับ โดยทั้งหมดเป็นงานที่มีบริการเสริมแบบ Soft เท่านั้น ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ เนื่องจากน้องเขายืนยันว่าเขาเป็นผู้ชาย และมีลิมิตที่ตัวเองทำให้ผมได้แค่งานภายนอก
เราได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนเรื่องราวมุมมองชีวิตกันหลายอย่างครับ ไม่ได้มาเจอกันเพียงเพื่อเซ็กซ์อย่างเดียว ผมพบว่าแทบทุกเรื่องราวที่เขาเล่านั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องแต่งดาษดื่นของเด็กนวดที่สร้างมาเพื่อเอาเงินลูกค้า ผมได้เห็นสภาพความที่เป็นอยู่ที่พักอาศัย สภาพสังคมหลายๆอย่างของเขาและก็รู้สึก เข้าใจ และ เห็นใจเขามากกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญและแบกรับมันไว้
ผมก็เปรยๆกับเขาบ้างว่า ผมไม่เคยเห็นคนที่ทำงานนวด เดินออกจากวงการนี้ได้สักคน แต่ผมเชื่อในศักยภาพของเขา ขอแค่อย่ายอมแพ้ให้ชะตาเป็นตัวกำหนดอนาคต รีบทำรีบเก็บเงินรีบเคลียร์ภาระแล้วรีบไป ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน น้องเขาก็ลาออกจากร้าน เลิกทำงานนวดจริงๆครับ
แต่ถึงแม้ว่าน้องเขาจะเลิกทำงานนวด เราก็ยังคงมาเจอกัน
เขายังคงช่วยเหลือผมบ้างในเรื่องของเซ็กซ์โดยยังคงไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นสอดใส่นะครับ
เราไม่เคยมีข้อตกลงกันว่า ผมจะให้เท่านั้นเท่านี้แลกกับการที่คุณต้องเลิกทำงานนวดแล้วมามีอะไรกับผมเพียงคนเดียว
เพราะถ้าทำแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำงานนวดหรอก เขาก็ยังขายตัวเหมือนเดิม
เพียงแค่เปลี่ยนจากการขายให้คนที่หลากหลาย มาเป็นขายแบบผูกขาดให้ผมคนเดียว
ซึ่งผมจะไม่ทำแบบนั้น และไม่ต้องการให้มันออกมาในรูปแบบนั้น
ผมต้องการให้เขาสร้างศักดิ์ศรีของเขาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่มันเคยแตกสลาย
ความช่วยเหลือทางการเงินที่ผมมีให้เขาคือความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม หลายทีที่ผมให้โดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ คือผมรู้แหละว่าเขาลำบากแต่กระดากที่จะต้องเอ่ยปากขอเงินคนอื่น ดังนั้นอะไรที่ผมทำให้ได้ ผมก็ทำ ส่วนเรื่องเซ็กซ์ผมแล้วแต่เขา ผมบอกเขาเสมอว่า เขามีสิทธิ์เลือกเสมอ และขอให้เห็นคุณค่าในตัวเองอยู่ตลอด
โดยช่วงแรกๆที่เขาเลิกทำงานนวด ประมาณต้นปี 2565 ผมยอมรับว่า ผมซัพพอร์ตเขาหนักหน่วงอยู่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเงินของเขาที่หาได้จากการวิ่งGRABมันไม่พอที่จะจุนเจือ และพาให้ชีวิตของเขา (พ่วงกับความรับผิดชอบบางประการ) ไปรอดได้ ผมปิดหนี้ที่เขาเคยไปกู้ไว้ช่วงโควิด ทั้งหนี้ในและหนี้นอกระบบ พยายามพาชีวิตของเขากลับมาอยู่ที่ 0 ให้ได้ คืออย่างน้อยๆก็ขอให้เขาไม่ติดลบ
ที่ผมตัดสินใจช่วยเขา ผมยอมรับนะ ผมรักเขาแหละ รักมากด้วย
แต่อีกประการหนึ่งคือ ผมต้องการช่วยให้คนคนนึงเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นว่าทางที่ตัวเองตัดสินใจเลือกเดินนั้นถูกต้อง และพาชีวิตไปสู่ความสว่างได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ส่องกระจกแล้วไม่อายตัวเอง มองตัวเองในกระจกแล้วไม่ต้องร้องไห้
หลังจากเหตุการณ์โควิดจบลง พร้อมๆกับภาระหนี้ที่คั่งค้างได้รับการเคลียร์ยอดโดยผม สภาพการจ้างงานของเขาเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ งานอีเวนต์ , งานคอนเสิร์ต , งานแฟร์ , งานเอ็กซ์โป กลับมาคึกคัก เขากลับมาทำอาชีพอิสระครับ เป็นฟรีแลนซ์ งานของเขาได้เงินเป็นจ๊อบๆ เงินค่อนข้างดี แต่ธรรมชาติของงานฟรีแลนซ์นั้น ถึงแม้ว่าเงินจะดี แต่ก็แลกมากับเวลาชีวิตที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ และแลกกับสุขภาพกับการพักผ่อน ผมก็ยินดีกับเขานะที่เขามีงาน แม้จะเป็นงานที่เรียกได้ว่า "ใครทำคนนั้นได้" ไม่ได้มีรายได้มั่นคง แต่มันก็ดีกว่าช่วงปี 2564-2565มากๆ
ผมยังคงคอยดูแลซัพพอตเขาบ้างในบางเรื่องที่มันจวนตัว ช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต และอาจมีค่าจิปาถะมากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับ "ภาระบางประการ" ของเขาว่าดีขึ้นหรือย่ำแย่ลงเพียงใด มีซื้อของเล็กๆน้อยๆให้ตามเทศกาลที่เหมาะสม
โดยคร่าวๆ ผมจะกันเงินส่วนตัวประมาณ 10,000-12,000 บาทต่อเดือน ไว้เพื่อคอยซัพพอร์ตเขา และพยายามไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้
ทีนี้แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน?
ปัญหามันเริ่มจากผมนี่แหละครับ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบท่องเที่ยวครับ ปกติถ้าเป็นช่วงก่อนโควิด ผมไปต่างประเทศปีละ 3-4 ครั้ง เรียกได้ว่าบินทุกไตรมาส
ช่วงโควิดผมถูกจำกัดการเดินทางให้อยู่ในประเทศ ผมจึงมีเงินเหลือเก็บมากมายเพียงพอให้ผมได้ซัพพอร์ตคนคนนึงได้ โดยที่ตัวผมเองไม่ได้เดือดร้อน และไม่ได้กระทบกับงานอดิเรก
แต่หลังจากทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ ผมเองก็ต้องการออกไปใช้ชีวิต ไปท่องโลก ไปทำตามความฝันของตัวเอง
รายรับของผมไม่สามารถทำให้ผมใช้ชีวิตในแบบที่ผมต้องการ ควบคู่ไปกับการดูแลคนคนหนึ่งได้
ผมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออย่างน้อยที่สุด คือ เกลี่ยและวางแผนวินัยทางการเงินของตัวเองเสียใหม่ ถ้าจะไม่ให้เสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเลย
ช่วงปี2566-2567 ผมพยายามทำบัญชีและควบคุมรายจ่ายให้สมดุลที่สุด พยายามกันเงินส่วนของการท่องเที่ยว และส่วนที่จะซัพพอร์ตน้องเขา
ผมลดการเที่ยวต่างประเทศลง จากเดิม ปีละ 3-4 ครั้ง เหลือปีละ 2 ครั้ง โดยเป็นทริปเล็ก (ในเอเชีย) 1 ทริป และ ทริปใหญ่ (ยุโรปหรืออเมริกา) 1 ทริป
มันก็พอช่วยทุเลาความตึงเค้นของกระเป๋าสตางค์ผมลงไปได้
ผมเคยคุยกับเขาว่า เออเนี่ย...ผมจะเพลาๆเงินที่จะซัพพอร์ตคุณลงแล้วนะ คุณต้องอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้แล้วนะ
เพราะนี่มันก็นาน และเป็นเงินจำนวนมากมหาศาลแล้วที่ผมช่วยดึงเขาให้กลับมาอยู่ที่ 0
ที่ผมยืนยันจะช่วยต่อไปแน่ๆคือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ รวมๆประมาณเดือนละ 5,000 ผมว่าอันนี้อยู่ในวิสัยที่ผมดูแลได้
น้องเขาเข้าใจดีและไม่เคยเรียกร้องเลยครับ เขาบอกผมเสมอว่า
"ผมไม่เคยรู้สึกดีเลยเวลาที่ให้พี่ช่วย" ,
"ถ้าจะให้ก็ให้เท่าที่พี่ไม่ลำบาก" ,
"ผมก็เป็นผมเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปไหน พี่หันมาเมื่อไหร่ก็จะเจอผม"
"ผมรักพี่ในแบบของผม"
แต่ผมรู้ครับ รู้ดีเลยแหละว่าเขาลำบาก บางทีเขาก็แค่มาบ่นมาระบายปัญหาการทำงาน , ระบายปัญหาภาระที่เขารับผิดชอบ , ระบายปัญหาครอบครัว
ไม่ได้มีเจตนามาเล่าเพื่อขอเงินหรอก แต่คือ แค่ฟังผมก็รู้ว่า ถ้ามี "เงิน" ปัญหาทุกอย่างมันจะคลี่คลายลงได้
ติดที่ว่าตอนนี้ผมไม่มีให้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
ผมเริ่มกลัวครับ
ผมไม่ได้กลัวว่าเขาจะห่างหายห่างเหินหรือเดินจากผมไป ผมรู้และเชื่อใจเขาว่าเขาเป็นคนแบบใด
ต่อให้ผมมองคนผิด และเขาเดินจากไปเพราะผมไม่ให้เงิน หรือซัพพอร์ตได้ไม่มากเหมือนเก่า ผมควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ชีวิตสลัดคนแบบนี้ออกไปได้
แต่ที่ผมกลัว คือ ผมกลัวว่า ถ้าชีวิตเขามีคลื่นลูกใหญ่โถมเข้ามาอีก ประกอบกับภาระที่เขาต้องรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่เขา "ปฏิเสธไม่ได้"
เขาจะเลือกเดินย้อนกลับไปหา "งานนั้น" อีกหรือเปล่า
จริงอยู่...ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดีในระดับหนึ่ง และเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึงความพยายามและความอดทนเด็ดเดี่ยวมาตลอด2-3ปีที่ผ่านมา
แต่งานขายบริการนั้น ถ้าพูดกันตรงๆมันก็มีกลิ่น "เย้ายวน" เหลือเกินสำหรับคนที่ชีวิตลุ่มๆดอนๆ
เขาจะสบาย มีกิน มีเก็บแน่ๆ เขาจะไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปกู้อาบังที่ไหน ไม่ต้องกลัวน้ำไฟถูกตัด
หลายคนคงมองว่า ผม "เลี้ยง" เขา ถ้าคุณเลิกเลี้ยงเลิกให้เงิน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดชีวิตเขา
,จะว่าถูกมันก็ถูก แต่ผมอยากใช้คำว่า "ช่วยเหลือ" หรือมากกว่า เพราะคำว่าเลี้ยงมันลดคุณค่าศักดิ์ศรีของเขาลงไปมากๆ
ผมเคยคุยกับเขา บอกเขาตรงๆถึงสิ่งที่ผมกังวลในเบื้องลึกของหัวใจ
เขาตอบผมว่า "พี่อย่าดูถูกผม...ถ้าผมจะกลับไปทำผมทำนานแล้ว ไม่อดทนอยู่แบบนี้หรอก"
ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะยังคงเข้มแข็งและยืนหยัดในคำพูดตัวเอง
ผมรักเขานะ รักมาก รักทั้งๆที่เราอยู่ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและไม่มีสถานะ แต่ผมไม่อยากให้มีเงินเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้
ผมต้องการให้เขามีวันที่ดี มีชีวิตที่ดี ตั้งหลักได้ ยืนบนลำแข้งตัวเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี
และอยากจะรู้ว่า "รักพี่ในแบบของผม" ที่เขาพูดเสมอๆนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ขอบคุณพันทิปที่รับฟังครับ