เรื่องนี้ถือว่า ดาไลลามะ ปาราชิกข้อหาอวดอุตริมนุษธรรม แล้วใช่ไหม
อดีตลามะน้อยกลับชาติมาเกิด สึกมาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงหลังละทางธรรมตอนอายุ 18
28 สิงหาคม 2024
ในตอนที่โอเซล ตอร์เรส เด็กน้อยชาวสเปนมีอายุได้เพียง 2 ขวบ องค์ดาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตทรงแสดงการยอมรับว่า โอเซลคือการกลับชาติมาเกิดของพระลามะผู้เป็นคุรุหรือพระอาจารย์คนสำคัญ ทำให้เขาได้ขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์ในพิธีแต่งตั้งที่มีผู้เข้าร่วมหลายพันคน
อันที่จริงแล้ว โอเซลเป็นบุตรชายของฟรานซีสโก อีตา และมาเรีย ตอร์เรส สองบุปผาชนที่ละทิ้งบ้านเกิดบนเกาะอีบิซา สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังระดับโลกของสเปน เพื่อเข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ก่อนที่โอเซลจะเกิดมาในปี 1985
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ลามะทุบเตน เยเช พระเถระในนิกายวัชรยานของทิเบตได้มรณภาพลง ลามะเยเชนั้นมีจริยวัตรที่ผิดแผกแตกต่างจากพระลามะชาวทิเบตโดยทั่วไป เพราะท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ชาวตะวันตก ในฐานะที่เป็นผู้เผยแผ่คำสอนของพุทธศาสนาแบบทิเบตไปทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1970 โดยได้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมขึ้นหลายแห่งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ด้วยความเชื่อของนิกายวัชรยานที่ว่า พระลามะที่เป็นคุรุผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมรณภาพไปแล้วนั้น สามารถจะเลือกกลับชาติมาเกิดกับใครก็ได้ในทุกสถานที่ ทำให้ลามะโซปาผู้เป็นศิษย์เอกของท่านซึ่งได้เห็นนิมิตบางอย่าง เชื่อว่าพระอาจารย์จะต้องกลับชาติมาเกิดเป็นชาวตะวันตกอย่างแน่นอน และได้ระบุว่าเด็กชายโอเซลคือชีวิตใหม่และร่างใหม่ของลามะเยเช
ต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตที่ผกผันอย่างไม่น่าเชื่อของโอเซล ซึ่งเขาเขียนเพื่อบอกเล่าให้โลกรู้จากมุมมองของตนเอง
ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1970 ลามะเยเชและลามะโซปาได้เดินทางมายังเกาะอีบิซาของสเปนและได้พบกับพ่อแม่ของผม พ่อกับแม่บังเกิดศรัทธาซาบซึ้งในคำสอนของพวกท่านมาก จนตัดสินใจย้ายมาอยู่ทางตอนใต้ของสเปน เพื่อศึกษาพุทธศาสนาในศูนย์ปฏิบัติธรรมของที่นั่น ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาลาอัลปูฮาร์รา
ลามะทั้งสองได้เชิญให้องค์ดาไลลามะเสด็จมาเยือนศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ซึ่งเมื่อผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตได้เห็นสถานที่สัปปายะแห่งนี้ ก็ตรัสว่าทรงประทับใจอย่างยิ่ง เพราะดูคล้ายกับบ้านเกิดเมืองนอนที่ทิเบตไม่มีผิด
ผมเกิดมาในช่วงหลายปีหลังจากนั้น และเมื่อลามะโซปาได้เห็นผมตอนยังนอนแบเบาะ ท่านก็บอกกับพ่อแม่ผมว่า เด็กคนนี้คือลามะเยเชกลับชาติมาเกิด
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมต้องเดินทางไปอินเดียในตอนที่มีอายุได้เพียง 18 เดือน เพื่อเข้ารับการทดสอบครั้งสำคัญที่จะชี้ขาดว่า ผมคือลามะเยเชที่กลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่
พวกเขาเอาสิ่งของหลายชิ้นออกมาให้ผมเลือก โดยในนั้นมีทั้งของใช้ของลามะเยเชและของคนอื่นปะปนกันอยู่ แต่ผมก็สามารถเลือกของชิ้นที่ถูกต้องได้เสมอ นอกจากนี้ ผมยังสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างน่าประหลาด โดยรู้จักคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนและรู้จักสถานที่ที่ไม่เคยไปอีกด้วย
สามปีหลังจากนั้นผมต้องเดินทางท่องโลกอยู่เสมอ เพื่อไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ลามะเยเชก่อตั้งขึ้นในหลายประเทศ จนเมื่อผมอายุได้ 6 ขวบ พวกผู้ใหญ่จึงพาผมไปที่วัดเสราเจซึ่งอยู่ในรัฐกรณาฏกะทางตอนใต้ของอินเดีย เพื่อเริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังในหลักสูตรที่เป็นทางการ
แต่เหล่าผู้คนซึ่งรับหน้าที่ดูแลผมมักหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปอยู่เสมอ และผมมีโอกาสพบกับพ่อแม่น้อยมาก จนผมแทบไม่มีความผูกพันทางใจกับพวกท่าน และคิดว่าตัวเองเหมือนกับเด็กกำพร้ามากกว่า
ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่มีใครยอมรับตัวตนที่แท้จริงของผม เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับจากคนรอบข้าง ผมต้องพยายามสวมบทบาทเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นปมความขัดแย้งในใจที่ใหญ่มากสำหรับผม
อิทธิพลของลิงคินพาร์ก
แรงกดดันนั้นรุนแรงมหาศาลจนแทบบ้า มันเป็นชีวิตที่ยากลำบากมากสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในบางครั้งผมจะได้เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง แต่เพื่อนชั่วคราวเหล่านี้จะเปลี่ยนหน้าไปอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสตัวผมหรือเข้ามาใกล้ชิดกับผมมากนัก
พวกผู้ใหญ่พยายามแยกผมให้อยู่โดดเดี่ยวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเชื่อว่าพระอาจารย์ที่กลับชาติมาเกิดจะมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป หากได้รับอิทธิพลจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาคบหาสมาคมด้วย และเนื่องจากผมถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นพระลามะ ผมจึงต้องถือเพศพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิตและไม่อาจมีคู่ครองได้
ผมต้องนั่งสงบนิ่งบนธรรมาสน์อย่างโดดเดี่ยว และแยกตัวจากทุกคนโดยสมบูรณ์ มีช่วงเวลาเพียง 40 นาทีในแต่ละวัน ที่ผมสามารถจะพบกับคนที่อยากเจอได้ และนั่นคือการติดต่อกับโลกภายนอกวัดเพียงช่องทางเดียวของผม
อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนจากนอกวัดได้นำเอา “สิ่งต้องห้าม” อย่างเช่นเสียงดนตรีเข้ามาฝากผมด้วย ตอนนั้นผมมีแผ่นซีดีของวงลิงคินพาร์ก, วงลิมป์บิซกิต, และอัลบั้มของเอสโตปา โดยผมจะแอบฟังในห้องนอนหรือห้องน้ำ และต้องซ่อนมันเอาไว้อย่างดีเพราะหากถูกจับได้ก็จะโดนยึดไปทันที
ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงของลิงคินพาร์ก ผมคิดทันทีว่า “นี่ไม่ใช่ดนตรี มันก็แค่เสียงรบกวนต่างหาก”
แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจเนื้อหาของเพลงมากขึ้น มันพูดถึงความต้องการของมนุษย์ที่อยากให้คนอื่นเข้าใจ อยากได้การยอมรับ และอยากจะเป็นที่รัก ผมรู้สึกว่าเนื้อเพลงกระทบโดนใจเข้าอย่างจัง และเหลือเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนั้นโดยไม่ผิดเพี้ยน
คนส่วนใหญ่ไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผมว่าเป็นใครกันแน่ พวกเขาแค่ต้องการให้ผมเล่นตามบทบาทที่คาดหวังไว้ ซึ่งนั่นรวมถึงทุกคนรอบตัวผมและพ่อแม่ของผมด้วย
รู้จักอิสรภาพ
เมื่ออายุมากขึ้น ผมเริ่มแอบเอาสิ่งต้องห้ามเข้ามาในวัดมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นตอนที่อายุ 16 ปี ผมจึงมีคอมพิวเตอร์แล้ว 2 เครื่อง รวมทั้งกระสอบทรายและกีตาร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกและสังคมภายนอก
ผมกับเพื่อนสนิทที่เป็นการกลับชาติมาเกิดของลามะอีกรูปหนึ่ง ร่วมแบ่งปันสิ่งของต้องห้ามที่ลักลอบนำเข้ามาบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้เราไม่รู้เลยว่าการเต้นรำนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่งได้เห็นวิดีโอบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตของบริตนีย์ สเปียร์ส มันทำให้ผมตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว
ตอนนั้นผมจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมบรรดาพระอาจารย์ว่า ผมจำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาแบบตะวันตกบ้าง ผมบอกพวกท่านว่า “ผมเกิดมาเป็นชาวตะวันตก มันจะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะลามะเยเชต้องการจะเชื่อมสายสัมพันธ์กับชาวตะวันตกในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจถ่องแท้ถึงจิตวิทยาและวิถีชีวิตของพวกเขา”
ผมประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรอง จนได้ไปโรงเรียนและร่วมชั้นกับเด็กทั่วไปที่อีบิซาเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีพ่อแม่ตามไปดูแลด้วย สิ่งแรกที่ทำให้ผมช็อกก็คือเด็กวัยรุ่นที่นั่นไม่เคารพผู้ใหญ่เลย ทั้งที่ในวัฒนธรรมทิเบตแล้วพ่อแม่และครูอาจารย์มีฐานะสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่คือผู้ให้ชีวิต ในขณะที่ครูบาอาจารย์ให้ความรู้และภูมิปัญญา
ในช่วงสามสัปดาห์แรกผมถูกรังแกทุกวันและตลอดเวลา แต่ผมก็มีความสุขมาก เนื่องจากคิดไปว่าตัวเองทำให้พวกเขาได้หัวเราะกันสนุกสนาน ในตอนนั้นเรียกได้ว่าผมใสซื่อบริสุทธิ์มาก จนไม่รู้ว่าการกลั่นแกล้งรังแกคืออะไร แต่พอผ่านไปอีกสองสัปดาห์พวกเขาต่างก็รักผม เพราะรับรู้ได้ว่าบุคลิกของผมไม่ได้มาจากการเสแสร้งแกล้งทำ
การได้ขี่รถจักรยานยนต์คือหนึ่งในการค้นพบแรก ๆ ของผม รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระมาก สามารถจะไปไหนคนเดียวก็ได้ตามต้องการ
ผมได้จูบหญิงสาวครั้งแรกที่นั่น มันทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ผมมีความสุขมาก จนคล้ายกับว่าตัวลอยเท้าไม่ติดพื้นไปถึงสองสัปดาห์
อ่านเพิ่ม
https://www.bbc.com/thai/articles/c8rxme64xv6o
เรื่องนี้ถือว่า ดาไลลามะ ปาราชิกข้อหาอวดอุตริมนุษธรรม แล้วใช่ไหม
28 สิงหาคม 2024
ในตอนที่โอเซล ตอร์เรส เด็กน้อยชาวสเปนมีอายุได้เพียง 2 ขวบ องค์ดาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตทรงแสดงการยอมรับว่า โอเซลคือการกลับชาติมาเกิดของพระลามะผู้เป็นคุรุหรือพระอาจารย์คนสำคัญ ทำให้เขาได้ขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์ในพิธีแต่งตั้งที่มีผู้เข้าร่วมหลายพันคน
อันที่จริงแล้ว โอเซลเป็นบุตรชายของฟรานซีสโก อีตา และมาเรีย ตอร์เรส สองบุปผาชนที่ละทิ้งบ้านเกิดบนเกาะอีบิซา สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังระดับโลกของสเปน เพื่อเข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ก่อนที่โอเซลจะเกิดมาในปี 1985
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ลามะทุบเตน เยเช พระเถระในนิกายวัชรยานของทิเบตได้มรณภาพลง ลามะเยเชนั้นมีจริยวัตรที่ผิดแผกแตกต่างจากพระลามะชาวทิเบตโดยทั่วไป เพราะท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ชาวตะวันตก ในฐานะที่เป็นผู้เผยแผ่คำสอนของพุทธศาสนาแบบทิเบตไปทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1970 โดยได้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมขึ้นหลายแห่งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ด้วยความเชื่อของนิกายวัชรยานที่ว่า พระลามะที่เป็นคุรุผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมรณภาพไปแล้วนั้น สามารถจะเลือกกลับชาติมาเกิดกับใครก็ได้ในทุกสถานที่ ทำให้ลามะโซปาผู้เป็นศิษย์เอกของท่านซึ่งได้เห็นนิมิตบางอย่าง เชื่อว่าพระอาจารย์จะต้องกลับชาติมาเกิดเป็นชาวตะวันตกอย่างแน่นอน และได้ระบุว่าเด็กชายโอเซลคือชีวิตใหม่และร่างใหม่ของลามะเยเช
ต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตที่ผกผันอย่างไม่น่าเชื่อของโอเซล ซึ่งเขาเขียนเพื่อบอกเล่าให้โลกรู้จากมุมมองของตนเอง
ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1970 ลามะเยเชและลามะโซปาได้เดินทางมายังเกาะอีบิซาของสเปนและได้พบกับพ่อแม่ของผม พ่อกับแม่บังเกิดศรัทธาซาบซึ้งในคำสอนของพวกท่านมาก จนตัดสินใจย้ายมาอยู่ทางตอนใต้ของสเปน เพื่อศึกษาพุทธศาสนาในศูนย์ปฏิบัติธรรมของที่นั่น ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาลาอัลปูฮาร์รา
ลามะทั้งสองได้เชิญให้องค์ดาไลลามะเสด็จมาเยือนศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ซึ่งเมื่อผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตได้เห็นสถานที่สัปปายะแห่งนี้ ก็ตรัสว่าทรงประทับใจอย่างยิ่ง เพราะดูคล้ายกับบ้านเกิดเมืองนอนที่ทิเบตไม่มีผิด
ผมเกิดมาในช่วงหลายปีหลังจากนั้น และเมื่อลามะโซปาได้เห็นผมตอนยังนอนแบเบาะ ท่านก็บอกกับพ่อแม่ผมว่า เด็กคนนี้คือลามะเยเชกลับชาติมาเกิด
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมต้องเดินทางไปอินเดียในตอนที่มีอายุได้เพียง 18 เดือน เพื่อเข้ารับการทดสอบครั้งสำคัญที่จะชี้ขาดว่า ผมคือลามะเยเชที่กลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่
พวกเขาเอาสิ่งของหลายชิ้นออกมาให้ผมเลือก โดยในนั้นมีทั้งของใช้ของลามะเยเชและของคนอื่นปะปนกันอยู่ แต่ผมก็สามารถเลือกของชิ้นที่ถูกต้องได้เสมอ นอกจากนี้ ผมยังสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างน่าประหลาด โดยรู้จักคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนและรู้จักสถานที่ที่ไม่เคยไปอีกด้วย
สามปีหลังจากนั้นผมต้องเดินทางท่องโลกอยู่เสมอ เพื่อไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ลามะเยเชก่อตั้งขึ้นในหลายประเทศ จนเมื่อผมอายุได้ 6 ขวบ พวกผู้ใหญ่จึงพาผมไปที่วัดเสราเจซึ่งอยู่ในรัฐกรณาฏกะทางตอนใต้ของอินเดีย เพื่อเริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังในหลักสูตรที่เป็นทางการ
แต่เหล่าผู้คนซึ่งรับหน้าที่ดูแลผมมักหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปอยู่เสมอ และผมมีโอกาสพบกับพ่อแม่น้อยมาก จนผมแทบไม่มีความผูกพันทางใจกับพวกท่าน และคิดว่าตัวเองเหมือนกับเด็กกำพร้ามากกว่า
ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่มีใครยอมรับตัวตนที่แท้จริงของผม เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับจากคนรอบข้าง ผมต้องพยายามสวมบทบาทเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นปมความขัดแย้งในใจที่ใหญ่มากสำหรับผม
อิทธิพลของลิงคินพาร์ก
แรงกดดันนั้นรุนแรงมหาศาลจนแทบบ้า มันเป็นชีวิตที่ยากลำบากมากสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในบางครั้งผมจะได้เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง แต่เพื่อนชั่วคราวเหล่านี้จะเปลี่ยนหน้าไปอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสตัวผมหรือเข้ามาใกล้ชิดกับผมมากนัก
พวกผู้ใหญ่พยายามแยกผมให้อยู่โดดเดี่ยวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเชื่อว่าพระอาจารย์ที่กลับชาติมาเกิดจะมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป หากได้รับอิทธิพลจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาคบหาสมาคมด้วย และเนื่องจากผมถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นพระลามะ ผมจึงต้องถือเพศพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิตและไม่อาจมีคู่ครองได้
ผมต้องนั่งสงบนิ่งบนธรรมาสน์อย่างโดดเดี่ยว และแยกตัวจากทุกคนโดยสมบูรณ์ มีช่วงเวลาเพียง 40 นาทีในแต่ละวัน ที่ผมสามารถจะพบกับคนที่อยากเจอได้ และนั่นคือการติดต่อกับโลกภายนอกวัดเพียงช่องทางเดียวของผม
อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนจากนอกวัดได้นำเอา “สิ่งต้องห้าม” อย่างเช่นเสียงดนตรีเข้ามาฝากผมด้วย ตอนนั้นผมมีแผ่นซีดีของวงลิงคินพาร์ก, วงลิมป์บิซกิต, และอัลบั้มของเอสโตปา โดยผมจะแอบฟังในห้องนอนหรือห้องน้ำ และต้องซ่อนมันเอาไว้อย่างดีเพราะหากถูกจับได้ก็จะโดนยึดไปทันที
ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงของลิงคินพาร์ก ผมคิดทันทีว่า “นี่ไม่ใช่ดนตรี มันก็แค่เสียงรบกวนต่างหาก”
แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจเนื้อหาของเพลงมากขึ้น มันพูดถึงความต้องการของมนุษย์ที่อยากให้คนอื่นเข้าใจ อยากได้การยอมรับ และอยากจะเป็นที่รัก ผมรู้สึกว่าเนื้อเพลงกระทบโดนใจเข้าอย่างจัง และเหลือเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนั้นโดยไม่ผิดเพี้ยน
คนส่วนใหญ่ไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผมว่าเป็นใครกันแน่ พวกเขาแค่ต้องการให้ผมเล่นตามบทบาทที่คาดหวังไว้ ซึ่งนั่นรวมถึงทุกคนรอบตัวผมและพ่อแม่ของผมด้วย
รู้จักอิสรภาพ
เมื่ออายุมากขึ้น ผมเริ่มแอบเอาสิ่งต้องห้ามเข้ามาในวัดมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นตอนที่อายุ 16 ปี ผมจึงมีคอมพิวเตอร์แล้ว 2 เครื่อง รวมทั้งกระสอบทรายและกีตาร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกและสังคมภายนอก
ผมกับเพื่อนสนิทที่เป็นการกลับชาติมาเกิดของลามะอีกรูปหนึ่ง ร่วมแบ่งปันสิ่งของต้องห้ามที่ลักลอบนำเข้ามาบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้เราไม่รู้เลยว่าการเต้นรำนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่งได้เห็นวิดีโอบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตของบริตนีย์ สเปียร์ส มันทำให้ผมตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว
ตอนนั้นผมจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมบรรดาพระอาจารย์ว่า ผมจำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาแบบตะวันตกบ้าง ผมบอกพวกท่านว่า “ผมเกิดมาเป็นชาวตะวันตก มันจะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะลามะเยเชต้องการจะเชื่อมสายสัมพันธ์กับชาวตะวันตกในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจถ่องแท้ถึงจิตวิทยาและวิถีชีวิตของพวกเขา”
ผมประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรอง จนได้ไปโรงเรียนและร่วมชั้นกับเด็กทั่วไปที่อีบิซาเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีพ่อแม่ตามไปดูแลด้วย สิ่งแรกที่ทำให้ผมช็อกก็คือเด็กวัยรุ่นที่นั่นไม่เคารพผู้ใหญ่เลย ทั้งที่ในวัฒนธรรมทิเบตแล้วพ่อแม่และครูอาจารย์มีฐานะสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่คือผู้ให้ชีวิต ในขณะที่ครูบาอาจารย์ให้ความรู้และภูมิปัญญา
ในช่วงสามสัปดาห์แรกผมถูกรังแกทุกวันและตลอดเวลา แต่ผมก็มีความสุขมาก เนื่องจากคิดไปว่าตัวเองทำให้พวกเขาได้หัวเราะกันสนุกสนาน ในตอนนั้นเรียกได้ว่าผมใสซื่อบริสุทธิ์มาก จนไม่รู้ว่าการกลั่นแกล้งรังแกคืออะไร แต่พอผ่านไปอีกสองสัปดาห์พวกเขาต่างก็รักผม เพราะรับรู้ได้ว่าบุคลิกของผมไม่ได้มาจากการเสแสร้งแกล้งทำ
การได้ขี่รถจักรยานยนต์คือหนึ่งในการค้นพบแรก ๆ ของผม รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระมาก สามารถจะไปไหนคนเดียวก็ได้ตามต้องการ
ผมได้จูบหญิงสาวครั้งแรกที่นั่น มันทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ผมมีความสุขมาก จนคล้ายกับว่าตัวลอยเท้าไม่ติดพื้นไปถึงสองสัปดาห์
อ่านเพิ่ม https://www.bbc.com/thai/articles/c8rxme64xv6o