พระอุดมก้าวเดินอย่างระมัดระวังไปตามเส้นทางป่าที่ทึบแสง
รอยเท้าเล็กๆ ที่ประทับอยู่บนพื้นดินโคลนชื้นสะดุดสายตาท่าน
รอยเท้าเหล่านี้ดูคล้ายรอยเท้าของเด็กเล็กๆ
แต่เมื่อสังเกตให้ดีก็พบว่าเป็นเพียงรอยเท้าของแมวป่าเท่านั้น ท่านพึมพำกับตัวเอง "
คงเป็นเพราะความมืดมิดและความเงียบสงบ ทำให้จินตนาการของเราหลอกลวงไปเอง"
ไฟฉายพลันดับลง พระอุดมจึงจุดตะเกียงไฟ
บรรยากาศในป่าค่อนข้างน่ากลัว
เสียงลมพัดผ่านเรือนยอดไม้ดังแกรกกรากราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ
ท่านหยิบตะเกียงขึ้นมาส่องไปรอบๆ
เพื่อให้แสงสว่างส่องประกายไปทั่วบริเวณ
แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความเงียบสงบที่น่าอึดอัดใจ
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องไห้เบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เสียงร้องไห้นี้ฟังดูน่าสงสารราวกับเสียงของเด็กที่กำลังหลงทาง
ท่านรีบเดินไปตามเสียงร้องไห้นั้นด้วยความร้อนรนใจ
ใจหนึ่งก็หวังว่าจะได้พบเด็กคนนั้น
แต่ใจอีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกถึงอันตรายที่อาจจะซ่อนอยู่เบื้องหลังเสียงร้องไห้นี้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้แหล่งที่มาของเสียงร้องไห้มากขึ้น
ท่านก็พบกับเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เงาดังกล่าวดูคล้ายกับเงาของเด็กจริงๆ
ท่านหยุดยืนนิ่งและพยายามมองให้ชัดเจนขึ้น
แต่ก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นคนหรือสัตว์
"ใครอยู่ตรงนั้น ออกมาเถอะ" ท่านเรียกเสียงเบาๆ
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
พระอุดมก้าวเดินเข้าไปใกล้เงาอีกเล็กน้อย
พร้อมกับเตรียมตะเกียงให้แสงสว่างส่องไปทั่วบริเวณนั้น
ทันใดนั้นเอง เงาดังกล่าวก็ขยับตัวและส่งเสียงร้องออกมาเป็นจังหวะสั้นๆ ซ้ำๆ
"นั่นมัน..." พระอุดมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น
มันช่างคุ้นเคยเสียจริง เสียงร้องไห้ที่ฟังดูน่าสงสารเมื่อครู่
กลายเป็นเสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกชนิดหนึ่งที่ท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือเสียงของ "นกอีโก้ง"
ท่านยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "เป็นเพียงนกอีโก้งตัวน้อยนี่เองที่ทำให้เราคิดว่าเป็นเสียงเด็กทารก"
ท่านพูดพลางส่ายหัวเบาๆ เพื่อคลายความตึงเครียด
เมื่อแสงไฟส่องไปถึงตัวนกอีโก้งตัวนั้น
ทำให้ท่านเห็นว่ามันเป็นนกตัวเล็กๆ ที่มี หัวเป็นสีทองอมน้ำเงิน
ลำตัวด้านบนสีน้ำเงินอมม่วง ใต้คางและอกสีน้ำเงินอมเขียว
ท้องและสีข้างสีน้ำเงินอมม่วง ต้นขาสีน้ำเงินอมเขียว หัว ไหล่ และขนปีกสีน้ำเงินอมเขียว
ปีกสั้น นัยน์ตาสีแดง จะงอยปาก และแผ่นที่หน้าผากสีแดง ขาและนิ้วเท้ายาวมาก
"คงจะเป็นเพราะแสงไฟและความเงียบของป่า ทำให้เสียงร้องของมันฟังคล้ายกับเสียงเด็กเสียจริง"
ท่านคิดในใจพลางเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่
พระอุดมเดินออกมาจากเงามืดของป่าช้าด้วยความรู้สึกโล่งใจ
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกอีโก้งยังคงดังก้องอยู่ในหู
ท่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "สะ-ติ-มา สุ-ขะ-เม-ทะ-ติ คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข"
ความกลัวที่ท่านเคยรู้สึกเมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางหายไป
ท่านเดินกลับไปยังที่ปักกลดด้วยความสงบจิตสงบใจ
ป่าช้าแห่งนี้แม้จะดูน่ากลัวในสายตาของคนทั่วไป
แต่สำหรับท่านแล้ว มันกลับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกสมาธิและไตร่ตรองถึงคำสอนที่ว่า
"" จิตฺตํ รกฺขถ เมธาวี จิตตัง รักขะถะ เมธาวี ผู้มีปัญญา ย่อมตามรักษาจิต
"ป่าช้าเปรียบเสมือนสังเวียนแห่งชีวิต" ท่านคิดในใจ
"ที่นี่สอนให้เราเข้าใจถึงความจริง และเรียนรู้ที่จะปล่อยวางสิ่งที่ยึดมั่น"
เมื่อกลับถึงที่ปักกลด ท่านนั่งสมาธิอย่างสงบ ตั้งจิตให้มั่นคง
ภาพของป่าช้าและนกอีโก้งลอยเข้ามาในความคิด
ท่านเห็นว่าจิตใจของมนุษย์นั้นสามารถบรรลุถึงความสงบสุขได้
หากเรามีสติรู้ตัว รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้ตามคำสอน ไม่หลงลืม ง่าย
ท่านรู้สึกถึงความสงบสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ความกลัวและความวิตกกังวลได้หายไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความสงบและความสุขที่แท้จริง
ประสบการณ์พระธุดงค์ในป่าช้า ตอน3
พระอุดมก้าวเดินอย่างระมัดระวังไปตามเส้นทางป่าที่ทึบแสง
รอยเท้าเล็กๆ ที่ประทับอยู่บนพื้นดินโคลนชื้นสะดุดสายตาท่าน
รอยเท้าเหล่านี้ดูคล้ายรอยเท้าของเด็กเล็กๆ
แต่เมื่อสังเกตให้ดีก็พบว่าเป็นเพียงรอยเท้าของแมวป่าเท่านั้น ท่านพึมพำกับตัวเอง "
คงเป็นเพราะความมืดมิดและความเงียบสงบ ทำให้จินตนาการของเราหลอกลวงไปเอง"
ไฟฉายพลันดับลง พระอุดมจึงจุดตะเกียงไฟ
บรรยากาศในป่าค่อนข้างน่ากลัว
เสียงลมพัดผ่านเรือนยอดไม้ดังแกรกกรากราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ
ท่านหยิบตะเกียงขึ้นมาส่องไปรอบๆ
เพื่อให้แสงสว่างส่องประกายไปทั่วบริเวณ
แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความเงียบสงบที่น่าอึดอัดใจ
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องไห้เบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เสียงร้องไห้นี้ฟังดูน่าสงสารราวกับเสียงของเด็กที่กำลังหลงทาง
ท่านรีบเดินไปตามเสียงร้องไห้นั้นด้วยความร้อนรนใจ
ใจหนึ่งก็หวังว่าจะได้พบเด็กคนนั้น
แต่ใจอีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกถึงอันตรายที่อาจจะซ่อนอยู่เบื้องหลังเสียงร้องไห้นี้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้แหล่งที่มาของเสียงร้องไห้มากขึ้น
ท่านก็พบกับเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เงาดังกล่าวดูคล้ายกับเงาของเด็กจริงๆ
ท่านหยุดยืนนิ่งและพยายามมองให้ชัดเจนขึ้น
แต่ก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นคนหรือสัตว์
"ใครอยู่ตรงนั้น ออกมาเถอะ" ท่านเรียกเสียงเบาๆ
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
พระอุดมก้าวเดินเข้าไปใกล้เงาอีกเล็กน้อย
พร้อมกับเตรียมตะเกียงให้แสงสว่างส่องไปทั่วบริเวณนั้น
ทันใดนั้นเอง เงาดังกล่าวก็ขยับตัวและส่งเสียงร้องออกมาเป็นจังหวะสั้นๆ ซ้ำๆ
"นั่นมัน..." พระอุดมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น
มันช่างคุ้นเคยเสียจริง เสียงร้องไห้ที่ฟังดูน่าสงสารเมื่อครู่
กลายเป็นเสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกชนิดหนึ่งที่ท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือเสียงของ "นกอีโก้ง"
ท่านยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "เป็นเพียงนกอีโก้งตัวน้อยนี่เองที่ทำให้เราคิดว่าเป็นเสียงเด็กทารก"
ท่านพูดพลางส่ายหัวเบาๆ เพื่อคลายความตึงเครียด
เมื่อแสงไฟส่องไปถึงตัวนกอีโก้งตัวนั้น
ทำให้ท่านเห็นว่ามันเป็นนกตัวเล็กๆ ที่มี หัวเป็นสีทองอมน้ำเงิน
ลำตัวด้านบนสีน้ำเงินอมม่วง ใต้คางและอกสีน้ำเงินอมเขียว
ท้องและสีข้างสีน้ำเงินอมม่วง ต้นขาสีน้ำเงินอมเขียว หัว ไหล่ และขนปีกสีน้ำเงินอมเขียว
ปีกสั้น นัยน์ตาสีแดง จะงอยปาก และแผ่นที่หน้าผากสีแดง ขาและนิ้วเท้ายาวมาก
"คงจะเป็นเพราะแสงไฟและความเงียบของป่า ทำให้เสียงร้องของมันฟังคล้ายกับเสียงเด็กเสียจริง"
ท่านคิดในใจพลางเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่
พระอุดมเดินออกมาจากเงามืดของป่าช้าด้วยความรู้สึกโล่งใจ
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกอีโก้งยังคงดังก้องอยู่ในหู
ท่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "สะ-ติ-มา สุ-ขะ-เม-ทะ-ติ คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข"
ความกลัวที่ท่านเคยรู้สึกเมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางหายไป
ท่านเดินกลับไปยังที่ปักกลดด้วยความสงบจิตสงบใจ
ป่าช้าแห่งนี้แม้จะดูน่ากลัวในสายตาของคนทั่วไป
แต่สำหรับท่านแล้ว มันกลับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกสมาธิและไตร่ตรองถึงคำสอนที่ว่า
"" จิตฺตํ รกฺขถ เมธาวี จิตตัง รักขะถะ เมธาวี ผู้มีปัญญา ย่อมตามรักษาจิต
"ป่าช้าเปรียบเสมือนสังเวียนแห่งชีวิต" ท่านคิดในใจ
"ที่นี่สอนให้เราเข้าใจถึงความจริง และเรียนรู้ที่จะปล่อยวางสิ่งที่ยึดมั่น"
เมื่อกลับถึงที่ปักกลด ท่านนั่งสมาธิอย่างสงบ ตั้งจิตให้มั่นคง
ภาพของป่าช้าและนกอีโก้งลอยเข้ามาในความคิด
ท่านเห็นว่าจิตใจของมนุษย์นั้นสามารถบรรลุถึงความสงบสุขได้
หากเรามีสติรู้ตัว รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้ตามคำสอน ไม่หลงลืม ง่าย
ท่านรู้สึกถึงความสงบสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ความกลัวและความวิตกกังวลได้หายไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความสงบและความสุขที่แท้จริง