ประสบการณ์พระธุดงค์ในป่าช้า ตอน3

กระทู้สนทนา
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
พระอุดมก้าวเดินอย่างระมัดระวังไปตามเส้นทางป่าที่ทึบแสง
 รอยเท้าเล็กๆ ที่ประทับอยู่บนพื้นดินโคลนชื้นสะดุดสายตาท่าน
 รอยเท้าเหล่านี้ดูคล้ายรอยเท้าของเด็กเล็กๆ 
แต่เมื่อสังเกตให้ดีก็พบว่าเป็นเพียงรอยเท้าของแมวป่าเท่านั้น ท่านพึมพำกับตัวเอง "
คงเป็นเพราะความมืดมิดและความเงียบสงบ ทำให้จินตนาการของเราหลอกลวงไปเอง"

ไฟฉายพลันดับลง  พระอุดมจึงจุดตะเกียงไฟ
บรรยากาศในป่าค่อนข้างน่ากลัว 
เสียงลมพัดผ่านเรือนยอดไม้ดังแกรกกรากราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ 
ท่านหยิบตะเกียงขึ้นมาส่องไปรอบๆ 
เพื่อให้แสงสว่างส่องประกายไปทั่วบริเวณ 
แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความเงียบสงบที่น่าอึดอัดใจ

ทันใดนั้นเอง เสียงร้องไห้เบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
 เสียงร้องไห้นี้ฟังดูน่าสงสารราวกับเสียงของเด็กที่กำลังหลงทาง
 ท่านรีบเดินไปตามเสียงร้องไห้นั้นด้วยความร้อนรนใจ 
ใจหนึ่งก็หวังว่าจะได้พบเด็กคนนั้น 
แต่ใจอีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกถึงอันตรายที่อาจจะซ่อนอยู่เบื้องหลังเสียงร้องไห้นี้
เมื่อเดินเข้าไปใกล้แหล่งที่มาของเสียงร้องไห้มากขึ้น 
ท่านก็พบกับเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
 เงาดังกล่าวดูคล้ายกับเงาของเด็กจริงๆ 
ท่านหยุดยืนนิ่งและพยายามมองให้ชัดเจนขึ้น
 แต่ก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นคนหรือสัตว์
"ใครอยู่ตรงนั้น ออกมาเถอะ" ท่านเรียกเสียงเบาๆ 

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
พระอุดมก้าวเดินเข้าไปใกล้เงาอีกเล็กน้อย 
พร้อมกับเตรียมตะเกียงให้แสงสว่างส่องไปทั่วบริเวณนั้น 

ทันใดนั้นเอง เงาดังกล่าวก็ขยับตัวและส่งเสียงร้องออกมาเป็นจังหวะสั้นๆ ซ้ำๆ
"นั่นมัน..." พระอุดมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น 
มันช่างคุ้นเคยเสียจริง เสียงร้องไห้ที่ฟังดูน่าสงสารเมื่อครู่ 
กลายเป็นเสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกชนิดหนึ่งที่ท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือเสียงของ "นกอีโก้ง"

ท่านยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "เป็นเพียงนกอีโก้งตัวน้อยนี่เองที่ทำให้เราคิดว่าเป็นเสียงเด็กทารก" 
ท่านพูดพลางส่ายหัวเบาๆ เพื่อคลายความตึงเครียด
เมื่อแสงไฟส่องไปถึงตัวนกอีโก้งตัวนั้น
 ทำให้ท่านเห็นว่ามันเป็นนกตัวเล็กๆ ที่มี หัวเป็นสีทองอมน้ำเงิน
 ลำตัวด้านบนสีน้ำเงินอมม่วง ใต้คางและอกสีน้ำเงินอมเขียว
 ท้องและสีข้างสีน้ำเงินอมม่วง ต้นขาสีน้ำเงินอมเขียว หัว ไหล่ และขนปีกสีน้ำเงินอมเขียว
 ปีกสั้น นัยน์ตาสีแดง จะงอยปาก และแผ่นที่หน้าผากสีแดง ขาและนิ้วเท้ายาวมาก

"คงจะเป็นเพราะแสงไฟและความเงียบของป่า ทำให้เสียงร้องของมันฟังคล้ายกับเสียงเด็กเสียจริง"
 ท่านคิดในใจพลางเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่
พระอุดมเดินออกมาจากเงามืดของป่าช้าด้วยความรู้สึกโล่งใจ
 เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกอีโก้งยังคงดังก้องอยู่ในหู 
ท่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
 คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "สะ-ติ-มา สุ-ขะ-เม-ทะ-ติ คนมีสติ ย่อมได้รับความสุข"
 ความกลัวที่ท่านเคยรู้สึกเมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางหายไป
ท่านเดินกลับไปยังที่ปักกลดด้วยความสงบจิตสงบใจ 
ป่าช้าแห่งนี้แม้จะดูน่ากลัวในสายตาของคนทั่วไป
 แต่สำหรับท่านแล้ว มันกลับเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกสมาธิและไตร่ตรองถึงคำสอนที่ว่า
"" จิตฺตํ รกฺขถ เมธาวี  จิตตัง รักขะถะ เมธาวี  ผู้มีปัญญา ย่อมตามรักษาจิต

"ป่าช้าเปรียบเสมือนสังเวียนแห่งชีวิต" ท่านคิดในใจ
 "ที่นี่สอนให้เราเข้าใจถึงความจริง และเรียนรู้ที่จะปล่อยวางสิ่งที่ยึดมั่น"
เมื่อกลับถึงที่ปักกลด  ท่านนั่งสมาธิอย่างสงบ ตั้งจิตให้มั่นคง 
ภาพของป่าช้าและนกอีโก้งลอยเข้ามาในความคิด
 ท่านเห็นว่าจิตใจของมนุษย์นั้นสามารถบรรลุถึงความสงบสุขได้
 หากเรามีสติรู้ตัว รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น  รู้ตามคำสอน ไม่หลงลืม ง่าย
 ท่านรู้สึกถึงความสงบสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย 
ความกลัวและความวิตกกังวลได้หายไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความสงบและความสุขที่แท้จริง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่