ช่วงที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ขอให้รักท่านให้มากๆ

กระทู้โพล
เรื่องมีอยู่ว่า
ปี 1981 ที่หมู่บ้านสายเล จังหวัดตองจีรัฐฉานประเทศพม่า มีครอบครัวหนึ่งอพยพมาจากประเทศจีน มีเด็กชายคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวนี้ มีชื่อว่าสาม ตอนที่เขาเกิดมานั้น ครอบครัวอาจจะไม่ค่อยมีฐานะ พูดง่ายๆหาเช้ากินข้าวบางวันข้าวจะหุงในหม้อยังไม่มีเลย พ่อแม่ต้องไปขอเข้าวัดมากิน
แต่ด้วยความขยันขันแข็งของพ่อแม่ และพี่ๆคนโต เมื่อเด็กชายอายุถึง 12 ขวบ บ้านก็เป็นคนที่มีฐานะ พูดง่ายๆคือเป็นคนรวยในหมู่บ้าน ด้วยความขยันทำมาหากินของพ่อแม่และพี่น้อง ได้สร้างบ้านใหญ่ 2 ชั้น มีวัวไว้ลากเกวียนคู่หนึ่ง ซื้อนาได้ 20 ไร่ 
ด้วยว่าเด็กชาย สาม มีโรคประจำตัวสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่ว่าอายุจะได้ 12 ขวบ แต่กายภาพทั้งร่างกายเท่ากับเด็กอายุ 8 ขวบเอง
พี่สาวของเด็กชายคนนี้ ไปเป็นแม่บ้านในเมืองใหญ่ และปรึกษากับเจ้านายเจ้านายก็เลยให้ยามา เมื่อเด็กชายได้กินยานั้น โรคประจำตัวก็หายเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป และช่วงนั้นเองเด็กชายก็ได้ไปเข้าโรงเรียน อายุ 12 ขวบ ได้เริ่มเรียนป 1
เมื่อเด็กชายอายุได้ 14 สุขภาพร่างกายเหมือนคนทั่วๆไป ความคิดของเด็กคนนี้เข้ามาในหัวสมอง 
ถ้าฉันโตมา ฉันจะไม่ขอเงินพ่อแม่ใช้ ฉันจะไปหางานทำ ฉันจะหากินด้วยลำแข้งของตัวเอง เด็กชายหาช่องทางจะหนีออกจากบ้าน เพื่อที่จะเผชิญภัยกับข้างหน้า อยู่มาวันหนึ่ง เด็กชายได้หนีออกจากบ้านไปเวลากลางคืน เพื่อที่จะไปต่อสู้กับโลกภายนอก โดยไม่คิดถึงการเรียน ไม่คิดถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อเขา ในความคิดมีอยู่อย่างเดียว ฉันจะหากินด้วยลำแข้งของตัวเอง หนีออกจากบ้านไป ไกลไปประมาณ 100 กิโล เด็กชายก็เดินไป หางานทำไป คนอื่นก็มองว่าเด็กแค่นี้จะมาทำงานอะไรได้ สุดท้ายก็ได้ไปอยู่โรงสีข้าว ในอำเภอ หน้องวอน(หนองบอน)อำเภอที่เด็กชายหนีไปอยู่นั้น น้องชายของพ่อเขาหรือลูกพี่ลูกน้องกับพ่อเขา(อาของเขา) อยู่ที่นั่นแต่เขาไม่รู้ เด็กชายทำงานที่โรงสีได้ประมาณ 5 เดือน เขาให้เดือนละ 500 บาทช่วงเวลานั้น อยู่ๆอาของเขาก็มาเห็น อาเขาก็รายงายไปที่บ้าน แม่ก็มารับกลับบ้าน เด็กชายกลับไปกับแม่โดยไม่เต็มใจ ดูแววตาเขาเหมือนไม่รักแม่ เหมือนไม่อยากอยู่กับพ่อแม่เลย อยากจะหากินด้วยลำแข้งของตัวเองแม้ว่าอายุแค่ 14 ก็ตาม เมื่อเด็กชายไปอยู่กับพ่อแม่และครอบครัว ปีนั้นพี่สาว คนที่ 4 และคนที่ 5 เข้ามาทำงานในประเทศไทย ความคิดของเด็กชายคนนี้ ฉันต้องไปประเทศไทยสักวันหนึ่ง จะทำมาหากินด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งเงินพ่อแม่เลี้ยงเรา
เด็กชายไปอยู่กับพ่อแม่ในครอบครัวไม่ถึง 3 เดือน ก็หนีออกจากบ้าน
ช่วงเวลานั้นบ่อพลอยที่จังหวัดเมืองสุ กำลังดัง เด็กชายคนนี้ ความคิดเว็บแรกเข้ามาในหัวสมองฉันจะต้องหนีออกจากบ้าน ไปขุดพลอยเพื่อที่จะได้เงินเยอะๆเลี้ยงดูตัวเองโดยไม่พึ่งเงินพ่อแม่
เด็กชาย หาหนังสือที่มีแผนที่เส้นทาง หลักกิโลระยะเวลาที่จะเดินทางมาดู หลังจากนั้นขอเงินพ่อ 500 จ๊าด  ช่วงเวลานั้น 6,000 บาทได้ 100,000 จากพม่า
ทำงานที่นั่นได้วันละ 150 จ๊าด ด้วยการที่รักลูกพ่อก็ไม่ถามว่าจะเอาไปทำอะไร เด็กชายไปซื้อตั๋วรถ จะไปจังหวัดเมืองสู้ จะไปบ่อพลอย ช่วงนั้นอายุ 15 พอดี หลังจากคิดทบทวนดูแผนที่ เด็กชายไม่รีรอ หนีออกจากบ้าน ไม่สนใจพ่อแม่จะเป็นห่วงมากแค่ไหน เมื่อไปถึงบ่อพลอย อายุแค่ 14-15ไม่มีใครรับทำงาน แต่เด็กชายก็ขยันอดทนและสู้ ทำงานให้คนอื่นเห็นว่า ฉันก็สามารถทำได้เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่ง
จากนั้นก็ได้ไปลงบ่อพลอย ไปขุดพลอย เดือนนั้นเขาได้มา 5 แสน จ๊าด ถ้าเทียบกับเงินบาทเวลานั้นก็คือ 30,000 บาท เด็กชายตื่นเต้นภูมิใจในตัวเอง จะได้ใช้เงินที่หาด้วยตนเอง ไม่ได้อาศัยขอพ่อแม่
หลังจากนั้น เด็กชายทำงานไม่ถึง 4 เดือนก็ได้ข่าวว่าพ่อไม่สบาย ที่พ่อไม่สบาย พูดง่ายๆคือ พ่อใจสลายพ่อตรอมใจ ที่ลูกรักหนีออกจากบ้าน แต่เด็กชายไม่รู้ตัวว่าทำผิดต่อพ่อ จนกระทั่งพ่อตรอมใจ 
เมื่อเด็กชายได้ข่าว ก็รีบไปหาพ่อ ได้อยู่กับพ่อไม่ถึง 2 เดือน พ่อก็จากไป ตอนนั้นเด็กชายอายุ ยังไม่ถึง 17 หลังจากนั้น ยอมอยู่กับแม่ ในใจก็คิดตลอดเวลาว่า นา 20 ไร่ที่พ่อซื้อให้ไม่ใช่ของผม
(ตามกฎประเพณีของไทใหญ่ ลูกชายคนสุดท้องได้รับมรดกทั้งหมด ผู้ที่แต่งงานก่อนหน้านั้น จะต้องแยกย้ายออกบ้าน พ่อแม่จะให้ของขวัญ สำหรับผู้ที่เป็นพี่คนโตทุกคน แต่นมรดกทั้งหมดจะตกอยู่ที่ลูกคนสุดท้อง)
เมื่ออายุ17 -18ก็ขอแม่ตรงๆว่า ผมจะไปเมืองไทย จะไปทำงาน ก่อนหน้านั้นเด็กชาย ก็ทำนาเกี่ยวข้าวเสร็จ ปลูกกระเทียม ทำเสร็จสิ้นก็ขอแม่มาเมืองไทย ในใจลึกๆของแม่คือไม่อยากให้ไปเมืองไทย เพราะว่าเป็นลูกรักแก้วตาดวงใจของแม่ อีกอย่างหนึ่งพ่อก็เสียชีวิตไปยังไม่นาน บ้านกว้างเกือบ 50 ตารางวาไม่มีใครอยู่ แม่ไม่อยากอยู่คนเดียว แม่อยากอยู่กับลูกชาย ตอนนี้เหลือแค่ 2 คนแม่ลูก ลูกคนนี้ทั้งดื้อและดัน แม่ก็ต้องยอม
เมื่อมาถึงเมืองไทย 2 เดือนแรก พี่สาวคนที่ 4ก็กลับไปอยู่กับแม่ ส่วนสาม ก็ทำงานอยู่ในประเทศไทย หลังจากนั้นไม่สนใจที่บ้านเลย คิดแต่ว่า พ่อทิ้งนาไว้ให้ 20 ไร่แล้ว แม่คงปล่อยเช่ากิน ยังไงฉันก็จะไม่กลับบ้าน จะไม่พึ่งพามรดกของพ่อแม่ จะไม่เอาเงินของพ่อแม่มาใช้จ่าย ฉันจะหาด้วยลำแข้งของตัวเอง
สาม..ตอนที่อยู่เมืองไทย ทำงาน 2 ปีตอนนั้นทำงานรับเหมาจัดสวนตามหมู่บ้านจัดสรรได้ค่าแรงวันละ 350 บาท เปิดกินแค่วันละ 50 ที่เหลือให้เจ้านายเก็บไว้เมื่อครบ 2 ปี ก็ลาออกจากงานเอาเงินที่เก็บได้ไปเรียนหนังสือ ถ้าเงินหมดก็ไปทำงานต่ออีก 2 ปี ทำแบบนั้นเรื่อยๆ จนอ่านออกเขียนได้ ไปเรียนอยู่สถาบัน หนึ่ง จบปริญญาตรี แต่เขาไม่ให้วุฒิการศึกษา เพราะว่าเป็นแรงงานต่างด้าว ไม่มีบัตรประจำตัว เรียนได้แค่ความรู้ แกะไม่ได้วุฒิบัตรเพิ่มไปสมัครงาน
หลังจากนั้นพี่สาวก็แต่งงานออกไปนอกบ้าน บ้านที่พ่อสร้าง เหลือไว้แม่คนเดียว ด้วยสาเหตุที่สาม ไม่ยอมกลับบ้าน แม่ก็เลยต้องไปอาศัยอยู่กับ ลูกสาวคนที่ 3 หลังจากนั้นด้วยแรงคิดถึง ใจที่ห่วงหา ลูกชายคนสุดท้อง จนแม่มีโรคประจำตัว พูดง่ายๆแม่ก็ตรอมใจกับลูกชายคนเล็กอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็เสียชีวิต สำหรับสาม เวลานี้ทำมาหากินก็ลำบาก
ข้อดีก็คือ ขยันอดทน อ้อนน้อมถ่อมตัวไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก ทำงานที่ไหนเจ้านายก็ไว้ใจ
ด้วยสาเหตุ ไม่ให้คุณค่าความรักของพ่อแม่ ไม่สนใจใยดีกับพ่อแม่ ปล่อยปะและละเลยความรักของพ่อแม่ แม้ว่าจะขยันอดทนเท่าไหร่ ไม่เคยมีเงินเก็บเลย กำลังจะมีเงินเก็บ มันก็มีทางออกไปเสมอ 
ตอนนี้ คนที่ชื่อสาม เป็นแรงงานต่างด้าวอยู่ในประเทศไทย เรื่องที่เขียนไม่ใช่นิยาย แต่มันเป็นชีวิตจริงของคนๆหนึ่ง  ที่ไม่เคยให้คุณค่าความรักของพ่อแม่ ตอนนี้แม้สำนึกผิดมันก็ไม่สามารถเอากลับมาคืนได้
อยากจะบอกผู้ที่เข้ามาอ่าน อย่าปล่อยปละละเลย ความรักของพ่อแม่ ถ้าอยากมีสันติสุขในใจ 
ถ้าเราไม่ให้คุณค่าความรักของพ่อแม่ วันที่เราคิดได้เราจะไม่มีสันติสุข และมันจะฟ้องอยู่ในใจตลอดเวลาว่าเราเป็นคนชั่ว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
1.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่