เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 40

สำหรับกระทู้นี้เราจะมาเล่าความฝันของลูกสาวคนโตของเราค่ะ

แต่ก่อนที่เราจะเล่า เราจะขอเล่าความสัมพันธ์ของเรากับลูกคนนี้ให้ได้ทราบก่อน เพราะเรากับเขามีความสัมพันธ์กันบางอย่างที่เราคิดว่าเป็นมากว่าแม่ลูกกัน

เริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์เขาเลย ตอนนั้นเราปล่อยท้องประมาณ 2 ปี ก็ไม่มีวี่แววว่าเราจะตั้งครรภ์เลย

แล้ววันนึงเราก็มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านพ่อของเขาที่อีสาน แล้วก็พากันไปเที่ยวที่คำชะโนด

ตอนนั้นเราคิดอะไรในใจก็ไม่ทราบ เราไปไหว้บอกกล่าวขอลูกจากที่นั้น ไม่เชิงบนบาน เพราะเราไม่ชอบการบนบาน ไม่ชอบขอพร ขออะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเลย

เราได้กล่าวบอกว่า ถ้าเรามีบุญวาสนามากพอก็ขอให้เราได้ตั้งครรภ์มีลูกสักทีแค่นั้นแหละค่ะ

หลังจากกลับมาจากที่นั่นได้ไม่นาน เราก็ทราบว่าเราตั้งครรภ์

และตอนวันคลอด เราตั้งครรภ์ลูกเราคนนี้ได้ 42 สัปดาห์แล้วก็ไม่มีวี่แววเจ็บครรภ์ เจ็บท้องว่าจะคลอดเลย

คืนก่อนคลอดเราฝันว่า มีพระพุทธรูปปางนาคปรกองค์สีดำตั้งอยู่บนครรภ์เรา ส่องแสงสีทองเรืองรองจากด้านหลัง

แล้วก็มีเสียงบอกเราว่า ลูกเราต้องคลอดวันนี้ ถ้าไม่คลอดวันนี้เขาจะเอาลูกเรากลับไป แล้วเราก็ตื่น

รุ่งเช้าของวันนั้นเป็นวันพุธ ซึ่งตรงกับวันที่หมอนัดตรวจครรภ์พอดี

พอถึงเวลาที่เราเข้าไปพบหมอ หมอก็บอกเราว่า ตอนนี้ครรภ์เราจะเลย 42 สัปดาห์แล้ว จะเอายังไง จะรอเจ็บครรภ์คลอดเองอยู่อีกมั๊ย หรือจะผ่า

เพราะหมอดูแล้วถ้าปล่อยไว้รกอาจจะเสื่อมเป็นอันตรายกับทั้งแม่และลูก

เราเลยถามหมอว่า ถ้าจะผ่าคลอดวันนี้เลยได้มั้ย เพราะเรากลัวคำพูดหมอ บวกกับที่เราฝันด้วย

หมอบอกว่าปกติเค้าจะดูฤกษ์ ดูวัน แล้วทำนัดผ่า แต่เคสของเราหมอผ่าให้วันนั้นเลยค่ะ เราก็บอกหมอว่า วันนี้แหละฤกษ์ดีแล้วสำหรับเรา

หมอผ่าทำคลอดลูกเราอยู่นานมาก จนเราได้ยินพยาบาลและหมอคุยกันว่า เราเสียเลือดเยอะมาก ต้องรีบเอาออก เรารู้สึกถึงแรงคนประมาณ 3 คนที่ขึ้นมาขย่มหน้าอกเราจนเราแทบจะหายใจไม่ออก

หลังจากออกจากห้องคลอดเราต้องนอนให้เลือดและรอดูอาการอยู่นานมาก ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกเลย

เมื่อลูกเราได้ประมาณ 5-6 เดือน เขาก็ป่วยจากการสำลักนม หายใจมีเสียงครืดคราด เหมือนมีอะไรปิดกั้นทางเดินหายใจเขาอยู่ กินนมได้น้อย

เมื่อเราพาลูกมาโรงพยาบาลอาการเขาทรุดหนักลง หายใจเองไม่ได้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจครอบตัวครึ่งบนอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งวันนั้น เราเห็นเงาดำอยู่ข้างเตียงลูกเรา เรารู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากสัญชาตญาณตัวเอง

เรากล่าวขอชีวิตลูกเราจากเงาดำตรงนั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หมอมาบอกกับย่าเขาให้โทรหาพ่อเขามาดูใจลูก

เพราะพรุ่งนี้ถ้าลูกเรายังไม่สามารถหายใจเองได้ หมอจะต้องเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายหายใจ มันเป็นการรักษาทางเลือกสุดท้าย

แต่หลังจากเราขอชีวิตลูกเราจากเงาดำนั้น เย็นวันนั้นลูกเราก็อาการดีขึ้นอย่างกับปาฎิหารย์ หายใจเองได้ กินนมได้

และได้ออกจากโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น และเราก็ได้ไปบวชชีโกนผม ปฎิบัติธรรมให้เขาในวันนั้นเหมือนกัน

มาถึงในช่วงตอนที่เขาเริ่มจะพูดได้ เขาจะชอบเล่นคนเดียว พูดอยู่คนเดียว แล้ววันนึงเขาก็มาบอกกับคนอื่นๆในบ้านว่า เขาชื่อนั่น ชื่อนี้ เขาไม่ได้ชื่อเหมือนที่เราเรียก ที่เราตั้งให้

เขาพูดจาเช่นนั้นบ่อยขึ้น จนทำให้ปู่ย่าเขากลัว แล้วก็พาหลานไปหาพระ ให้พระท่านช่วยปิดการรับรู้จากอดีต

แล้วเขาก็ลืมชื่อที่เขาเคยพูด เคยบอกกล่าวไป

หลังจากนั้นมา ย่าเขาจะชอบเล่าให้เราฟังว่า ลูกเราชอบนอนละเมอร้องไห้บ่อย แล้วก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด แม้แต่ในวันที่เรากลับไปเยี่ยม ไปใช้เวลาอยู่กับเขาก็เป็น

พอเขาเริ่มโตขึ้นหน่อย เขาก็บอกเล่ากับเรากับย่าเขาว่า เขาฝันร้ายแล้วก็ชอบตื่นมาร้องไห้ตอนกลางคืน

เราจึงบอกเขาและย่าเขาว่า หัดให้เขาสวดมนต์ก่อนนอน จะได้ไม่นอนฝันร้าย

หลังจากที่เขาได้มาอยู่ในความดูแลของเราเต็มเวลา ได้ประมาณ 1 ปีแล้ว

เราได้เขียนกระทู้บอกเล่านิมิตความฝันของเราเรื่องลูกเราคนนี้ในกระทู้

เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 39 ที่ผ่านมา

ตอนนี้ลูกเราอายุได้ 9 ขวบ แล้วเมื่อวันพระที่เพิ่งผ่าน ลูกสาวเราได้มาบอกเล่าความฝันของเขาให้เราฟัง

เขาเล่าว่า เมื่อคืนเขาฝันร้าย ฝันว่ามีผู้ชาย 2 คนมาทำร้ายเขา จะฆ่าเขา แล้วเราก็เข้าไปช่วยเขาไว้ได้ทัน พอตื่นเขาก็นั่งร้องไห้เพราะความกลัว

แล้วเขาก็ถามเราว่า วันนี้เป็นวันพระใช่มั้ย เราก็บอกว่าใช่ ทำไมล่ะ

แล้วเขาก็บอกว่า ตอนที่อยู่บ้านปู่ย่า เขาจะฝันร้ายในวันพระแบบนี้ตลอด

เราเลยถามเขาว่า แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าวันที่หนูฝันเป็นวันพระ ตอนที่อยู่บ้านปู่ย่า

เขาบอกว่า ที่บ้านปู่ย่ามีปฎิทิน ตอนเช้าตื่นมาเขาจะไปดูปฎิทิน แล้วก็รู้ว่าเป็นวันพระอีกแล้ว

เราฟังเขาบอกเล่าแล้วก็แปลกใจไม่น้อยเลย ที่ลูกเราฝันร้ายนอนละเมอร้องไห้เฉพาะวันพระ แล้วก็เป็นมาตั้งแต่เล็กๆ จนเขาเริ่มสังเกตุตัวเอง

แล้วเรื่องราวที่เขาฝันร้ายมาตลอด เราเองก็เพิ่งจะฝันถึงเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็เป็นฝันแบบเดียวกันกับที่เขาเจอมาตลอด

เราไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ เราเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปเสมอ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เราก็ยังไม่ได้รู้เท่านั้นเอง

วันนั้นเราจึงบอกลูกเราไปว่า ก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระ สวดบทขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร แล้วก็แผ่เมตตาด้วย จะได้ไม่นอนฝันร้าย

เพราะคนเราเกิดมามีเจ้ากรรมนายเวร มีหนี้กรรมติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น เกิดมาแล้วก็ต้องใช้หนี้ ชดใช้ให้เขาให้หมด แล้วก็อย่าไปก่อหนี้เพิ่มอีก

คนที่เขามาเบียดเบียนเราทำให้เราเดือดร้อนโดยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้คิดเสียว่า เราเคยไปทำแบบนั้นกับเขามาก่อน เราติดหนี้เขามา เขาเลยมาทำให้เราลำบาก เพื่อใช้หนี้ให้เขา

ส่วนคนที่มาช่วยเหลือเกื้อกูลเรา ก็ให้คิดเสียว่า เขาติดหนี้เรามา เขาเลยมาใช้หนี้คืนให้เรา มีโอกาสก็ตอบแทนบุญคุณเขาบ้าง

แต่อย่าไปเอาเปรียบเบียดเบียนเขา คิดว่าเขาช่วยก็จะเอาแต่ได้อย่างเดียว เดี๋ยวจะติดหนี้เขาเพิ่ม ชดใช้กันไม่จบไม่สิ้น

แล้วลูกเราก็ถามเราว่า ใช้หนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรหมดแล้วจะได้ไปนิพพานมั๊ย

เราก็บอกเขาว่า ถ้าใช้หนี้เขาหมดแล้วไม่ก่อหนี้เพิ่ม ก็อาจจะได้ไปอยู่

เราแปลกใจนิดหน่อยที่เขาถามถึงทางไปนิพพานตั้งแต่อายุยัง 9 ขวบ

แต่เราไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงถามแบบนั้น เพราะเขาชอบอ่านหนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์เหมือนเราตอนเป็นเด็ก

แล้วเขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเหตุและผล เพราะเราจะสอนเขาตลอดเรื่องการกระทำ สอนให้เขารับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ทั้งดีและไม่ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่