วันที่ 13 สิงหาคม 2567 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส รายงานว่าขอสรุปรายละเอียดจากการแถลงจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 1 เบื้องต้น ประกอบด้วย
เป้าหมายระดมทุน 1.5 แสนล้านบาท
เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง และให้ความสำคัญกับ ESG
ระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี
เงินที่ได้ลงทุนใน SET ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
ได้รับผลตอบแทนตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินกว่าขั้นสูง
มีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. ก่อน (มีบุริมสิทธิ) เป็น Water Fall
รายละเอียดของแต่ละเงื่อนไขยังไม่ระบุ ให้รอความชัดเจนในหนังสือชี้ชวนเดือน ก.ย. 2567
ผู้จัดการกองทุนยังคงเป็น บลจ.กรุงไทย (KTAM) และ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC)
โดยฝ่ายวิจัยมองเป็นบวกและช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ให้ฟื้นตัวได้อย่างมีนัยะ โดยกองทุนวายุภักษ์ 1 ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสามัญอยู่ที่ 88.58% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทำให้มีโอกาสเห็นแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่และจ่ายปันผลในเกณฑ์ที่ดี เช่น กลุ่มธนาคาร, สื่อสาร, พลังงาน, ค้าปลีก เป็นต้น
ข้อมูลการถือหุ้นจากการปิดสมุดทะเบียนล่าสุดของแต่ละบริษัทจาก SETSMART มีหุ้นที่ถืออยู่ ได้แก่ ADVANC, AOT, BBGI, BBL, BCP, BKIH, BSRC, CENTEL, GLOBAL, HMPRO, INTUCH, IVL, KBANK, KCE, KTB, KWC, PTT, SCB, SCC, SCCC, SCGP, TFFIF, THAI, TTB โดยหุ้น Top 5 ที่ถือครอง ได้แก่ PTT, SCB, TTB, KTB, BCP
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) รายงานว่า ตามที่รมว.คลัง คาดใช้เวลาไม่นานในการเริ่มขายกองทุนวายุภักษ์ (ไม่เกิน ก.ย. 2567) เพราะเป็นการใช้กลไกของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่มีอยู่เดิม โดยคาดว่าจะเติมเงินไปจากกองเดิมได้อีก 1-1.5 แสนล้านบาท หรือราว 30% ของที่เงินลงทุนต่างชาติที่ขายออกไปในช่วง 2 ปีราว 3 แสนล้านบาท จากเดิมที่มี NAV ราว 3 แสนล้านบาท
โดยผู้ลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในประเภท ก. ได้ ระยะเวลาของกองทุน 10 ปี ได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลตามจริง แต่จะมีการกำหนดกรอบขั้นต่ำและขั้นสูงเพื่อคุ้มครองผู้ถือหน่วยลงทุน (กรอบของผลตอบแทน ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง)
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินว่าหุ้นที่กองทุนรวมดังกล่าวสามารถลงทุนได้คือ บริษัทที่มีศักยภาพการเติบโต จ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ และมีการให้ความสำคัญด้าน ESG ในมุมมองของหยวนต้าคาดว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ให้ปันผลดี และอยู่ในดัชนี SET ESG Rating สูง ๆ เช่น ADVANC, PTT, SCB, KTB, CPALL, SCC เป็นต้น
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) รายงานว่า ในขั้นตอนถัดไปจะมีการสำรวจความเห็นของนักลงทุนสถาบันเพื่อกำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และอัตราผลตอบแทนขั้นสูง กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดำเนินการเสนอขายหน่วยลงทุน ช่องทางการเสนอขายหน่วยลงทุน และสัดส่วนการเสนอขายต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภท
มองเงื่อนไขของกองทุนวายุภักษ์ในส่วนของการคุ้มครองเงินลงทุน และการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ มีความน่าสนใจ ในภาวะตลาดปัจจุบันที่มความผันผวนสูง อาจมีนักลงทุนเข้ามาสนใจซื้อ และ ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งนี้ มองในระยะถัดไปเม็ดเงินระดมทุนจะช่วยหนุนราคาหุ้นที่เป็น Top Holding ในกองทุนดังกล่าว โดย 5 อันดับแรกของกองทุน ได้แก่ PTT, SCB, TTB, KTB และ BCP
บล.กรุงศรีฯ รายงานว่า โดยรวมยังไม่มีอะไรมากกว่าข่าวตอนช่วงเช้า แต่มองบวกต่อระยะกลางที่จะมีเม็ดเงินใหม่เข้าหนุนตลาด โดยเม็ดเงินประเภท ก. ที่ 1-1.5 แสนล้านบาท แต่ยังไม่กล่าวถึงตัวเลขผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง แต่ผู้ลงทุนมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินลงทุนตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนที่มีลักษณะเป็น water fall คือกองทุนขาดทุนกำไร ฝั่งประเภท ก. รับผลตอบแทนขั้นต่ำก่อน ส่วนประเภท ข. รับความเสี่ยง ซึ่งเป็นกลไกคุ้มครองเงินลงทุนประเภท ก. ทั้งนี้รายละเอียดทั้งหมดจะเปิดเผยในหนังสือชี้ชวนก่อนเสนอขาย ช่วงเดือน ก.ย. 2567...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1629310
กองทุนวายุภักษ์ 1 คาด 1.5 แสนล้านบาท ประกันเงินต้น ประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ
เป้าหมายระดมทุน 1.5 แสนล้านบาท
เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง และให้ความสำคัญกับ ESG
ระยะเวลาการลงทุนเบื้องต้น 10 ปี
เงินที่ได้ลงทุนใน SET ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
ได้รับผลตอบแทนตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และไม่เกินกว่าขั้นสูง
มีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของหน่วยลงทุนประเภท ก. ก่อน (มีบุริมสิทธิ) เป็น Water Fall
รายละเอียดของแต่ละเงื่อนไขยังไม่ระบุ ให้รอความชัดเจนในหนังสือชี้ชวนเดือน ก.ย. 2567
ผู้จัดการกองทุนยังคงเป็น บลจ.กรุงไทย (KTAM) และ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC)
โดยฝ่ายวิจัยมองเป็นบวกและช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ให้ฟื้นตัวได้อย่างมีนัยะ โดยกองทุนวายุภักษ์ 1 ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสามัญอยู่ที่ 88.58% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทำให้มีโอกาสเห็นแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่และจ่ายปันผลในเกณฑ์ที่ดี เช่น กลุ่มธนาคาร, สื่อสาร, พลังงาน, ค้าปลีก เป็นต้น
ข้อมูลการถือหุ้นจากการปิดสมุดทะเบียนล่าสุดของแต่ละบริษัทจาก SETSMART มีหุ้นที่ถืออยู่ ได้แก่ ADVANC, AOT, BBGI, BBL, BCP, BKIH, BSRC, CENTEL, GLOBAL, HMPRO, INTUCH, IVL, KBANK, KCE, KTB, KWC, PTT, SCB, SCC, SCCC, SCGP, TFFIF, THAI, TTB โดยหุ้น Top 5 ที่ถือครอง ได้แก่ PTT, SCB, TTB, KTB, BCP
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) รายงานว่า ตามที่รมว.คลัง คาดใช้เวลาไม่นานในการเริ่มขายกองทุนวายุภักษ์ (ไม่เกิน ก.ย. 2567) เพราะเป็นการใช้กลไกของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่มีอยู่เดิม โดยคาดว่าจะเติมเงินไปจากกองเดิมได้อีก 1-1.5 แสนล้านบาท หรือราว 30% ของที่เงินลงทุนต่างชาติที่ขายออกไปในช่วง 2 ปีราว 3 แสนล้านบาท จากเดิมที่มี NAV ราว 3 แสนล้านบาท
โดยผู้ลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในประเภท ก. ได้ ระยะเวลาของกองทุน 10 ปี ได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลตามจริง แต่จะมีการกำหนดกรอบขั้นต่ำและขั้นสูงเพื่อคุ้มครองผู้ถือหน่วยลงทุน (กรอบของผลตอบแทน ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง)
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินว่าหุ้นที่กองทุนรวมดังกล่าวสามารถลงทุนได้คือ บริษัทที่มีศักยภาพการเติบโต จ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ และมีการให้ความสำคัญด้าน ESG ในมุมมองของหยวนต้าคาดว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ให้ปันผลดี และอยู่ในดัชนี SET ESG Rating สูง ๆ เช่น ADVANC, PTT, SCB, KTB, CPALL, SCC เป็นต้น
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) รายงานว่า ในขั้นตอนถัดไปจะมีการสำรวจความเห็นของนักลงทุนสถาบันเพื่อกำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ และอัตราผลตอบแทนขั้นสูง กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดำเนินการเสนอขายหน่วยลงทุน ช่องทางการเสนอขายหน่วยลงทุน และสัดส่วนการเสนอขายต่อผู้ลงทุนแต่ละประเภท
มองเงื่อนไขของกองทุนวายุภักษ์ในส่วนของการคุ้มครองเงินลงทุน และการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ มีความน่าสนใจ ในภาวะตลาดปัจจุบันที่มความผันผวนสูง อาจมีนักลงทุนเข้ามาสนใจซื้อ และ ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งนี้ มองในระยะถัดไปเม็ดเงินระดมทุนจะช่วยหนุนราคาหุ้นที่เป็น Top Holding ในกองทุนดังกล่าว โดย 5 อันดับแรกของกองทุน ได้แก่ PTT, SCB, TTB, KTB และ BCP
บล.กรุงศรีฯ รายงานว่า โดยรวมยังไม่มีอะไรมากกว่าข่าวตอนช่วงเช้า แต่มองบวกต่อระยะกลางที่จะมีเม็ดเงินใหม่เข้าหนุนตลาด โดยเม็ดเงินประเภท ก. ที่ 1-1.5 แสนล้านบาท แต่ยังไม่กล่าวถึงตัวเลขผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง แต่ผู้ลงทุนมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินลงทุนตามแนวทางการชำระคืนเงินลงทุนที่มีลักษณะเป็น water fall คือกองทุนขาดทุนกำไร ฝั่งประเภท ก. รับผลตอบแทนขั้นต่ำก่อน ส่วนประเภท ข. รับความเสี่ยง ซึ่งเป็นกลไกคุ้มครองเงินลงทุนประเภท ก. ทั้งนี้รายละเอียดทั้งหมดจะเปิดเผยในหนังสือชี้ชวนก่อนเสนอขาย ช่วงเดือน ก.ย. 2567...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1629310