จริงไหมครับ
พาดหัว 2 ไลน์แบบนี้ คงไม่ต้องอธิบายความมาก ทุกคนแจ่มแจ้งดี
ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านจริง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
เราเองต่างก็สำลักข่าว Toxic แทบทุกวัน ทั้ง Toxic Person และ Toxic Action
เป็นคนไทยยามนี้ต้องข่มใจให้หนัก สถานการณ์ฟ้องด้วยตัวมันเอง การกำหนดทิศทางของตัวเองจึงสำคัญมาก ๆ เพราะคนทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กลับอยู่ยาก และลำบากยิ่งขึ้น น่าเห็นใจ
กระแส “ทุนจีน” ที่บุกมาไทยยังมีต่อเนื่อง ทั้งกลืนทั้งกินธุรกิจในไทยแทบทุกหย่อมหญ้า มีดี-ไม่ดี ผสมปนเป ภาพที่เห็น อาจเทาหม่นมากหน่อย เพราะทุนจีนมีแรงกดดันจากนโยบายในประเทศ ต้องออกมาระเบิดข้างนอก
แต่ส่วนตัวก็มีคำถาม ทำไมทุนจีนดี ๆ รวย ๆ ไปปักหมุดลงทุนประเทศอื่น ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก็เวลคัม
อย่าง Google ที่ประกาศลงทุนครั้งใหญ่สุดในแถบอาเซียน โดยเตรียมเม็ดเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าคิดเป็นเงินไทย 72,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในมาเลเซีย เพื่อนบ้านด้านใต้ หวังสร้างศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบคลาวด์ระดับภูมิภาค เป็น Cloud Region ที่สร้างระบบนิเวศแบบพัฒนา หรือมีนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงด้านเอไอและคลาวน์คอมพิวติ้ง
ลึก ๆ รู้สึกเสียดาย ทั้ง ๆ ที่คนไทยเป็นชาติหนึ่งในโลกที่นิยมใช้โซเชียลมากติดอันดับ กิน อยู่ หลับ นอน เข้าห้องน้ำพร้อมมือถือและข้อมูลตลอด…จนพ่อแม่น้อยใจอยากเกิดเป็นสมาร์ทโฟน
รัฐบาลเศรษฐาเองก็มีข้อเสนอดี ๆ ให้กับคอร์ปอเรตเทครายใหญ่ สไตล์สายเปย์ ใจถึงพึ่งได้ แต่ทำไมกูเกิลกลับเมิน
แต่เมื่อเราทำความเข้าใจกับข้อเสนอและสิ่งที่มาเลย์ จะให้กับนักลงทุนแล้ว เราก็ถึงบางอ้อ
ก่อนที่กูเกิลจะประกาศปักหมุด “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ได้ชูยุทธศาสตร์ชาติแบบชัดเจน ชื่อว่า “ยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ” หรือ National Semiconductor Strategy ที่ต้องการปั้นให้มาเลเซียเป็น “ศูนย์การผลิตชิประดับโลก” หรือ Global Chip Hub ระดับโลก
พร้อมทุ่มทุกทาง ทั้งทุนฝึกอบรม และเร่งผลิตวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ที่มีสกิลเป็นจำนวนถึง 60,000 คน เพื่อวางแผนรองรับดีมานด์ในอนาคต แถมประกาศจุดยืน เพื่อเป้าหมายสู่ Neutral Hub ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่กำลังเป็น “หัวใจหลัก” ของโลกวันนี้และวันหน้า
ที่สำคัญ ยังเป็นการแก้ปัญหาซัพพลายเชน ลดความปั้นปึ่ง
ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับอเมริกาด้วย
วิธีคิดของมาเลย์ลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาบอกนักลงทุนอีกว่า จะจัดสรรเงินอีก 25,000 ล้านริงกิตต่อปี หรือประมาณ 1.9 แสนล้านบาท ภายใน 5-10 ปีจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมาเลเซีย เพื่อ “บ่มเพาะคนเก่ง” ให้มากขึ้น
สรุป เขามุ่งที่การสร้างคนเป็นหลัก เพราะคนคือรากฐานของทุกสิ่งอย่าง รวมถึงการบ่มเพาะบริษัทเทคโนโลยีของมาเลย์ให้เติบโต แข็งแกร่ง เหนือมาตรฐาน เพื่อรองรับความเป็น “ศูนย์กลาง” การผลิตชิปในโลกใบนี้
ยังไม่พอ มาเลย์เสนออีกว่า จะทุ่มเงินอีก 5 แสนล้านริงกิต หรือเฉียด ๆ 4 ล้านล้านบาท จากการลงทุนในประเทศและต่างประเทศโดยตรง เพราะเป้าหมายการเป็น Hub นั้นแสนยิ่งใหญ่สำหรับประเทศเขามาก
การตั้งเป้าสู่การเป็นฐาน AI ใหญ่สุดใน South East Asia จึงไม่เกินเลย
เพราะแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคลสำคัญมาก ๆ ด้วยการผลักดัน เร่งผลิตนักศึกษาในสายเทคโนโลยีนานพักใหญ่แล้ว แถมมีโปรแกรมพิเศษอนุญาตคนต่างชาติคุณภาพดีเข้ามาทำงานในประเทศได้ เรียกว่า เสริมซึ่งกันและกัน
ล่าสุด มีข้อมูลระบุว่า ธุรกิจจีนดีได้แห่เข้าไปลงทุนในมาเลเซียแล้วนับแสน ๆ คน และถูกป้อนเข้าสู่ธุรกิจอย่างเป็นระบบ ภายใต้การกำกับของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ประเทศไทยนั้น มีสัดส่วนจีนเทาเข้ามาเป็นอันดับ 4 รองจากเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/opinion-column-10/news-1627611
ทุนดีไปมาเลเซีย “ทุนเทา” มาไทย
พาดหัว 2 ไลน์แบบนี้ คงไม่ต้องอธิบายความมาก ทุกคนแจ่มแจ้งดี
ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านจริง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
เราเองต่างก็สำลักข่าว Toxic แทบทุกวัน ทั้ง Toxic Person และ Toxic Action
เป็นคนไทยยามนี้ต้องข่มใจให้หนัก สถานการณ์ฟ้องด้วยตัวมันเอง การกำหนดทิศทางของตัวเองจึงสำคัญมาก ๆ เพราะคนทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กลับอยู่ยาก และลำบากยิ่งขึ้น น่าเห็นใจ
กระแส “ทุนจีน” ที่บุกมาไทยยังมีต่อเนื่อง ทั้งกลืนทั้งกินธุรกิจในไทยแทบทุกหย่อมหญ้า มีดี-ไม่ดี ผสมปนเป ภาพที่เห็น อาจเทาหม่นมากหน่อย เพราะทุนจีนมีแรงกดดันจากนโยบายในประเทศ ต้องออกมาระเบิดข้างนอก
แต่ส่วนตัวก็มีคำถาม ทำไมทุนจีนดี ๆ รวย ๆ ไปปักหมุดลงทุนประเทศอื่น ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก็เวลคัม
อย่าง Google ที่ประกาศลงทุนครั้งใหญ่สุดในแถบอาเซียน โดยเตรียมเม็ดเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าคิดเป็นเงินไทย 72,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในมาเลเซีย เพื่อนบ้านด้านใต้ หวังสร้างศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบคลาวด์ระดับภูมิภาค เป็น Cloud Region ที่สร้างระบบนิเวศแบบพัฒนา หรือมีนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงด้านเอไอและคลาวน์คอมพิวติ้ง
ลึก ๆ รู้สึกเสียดาย ทั้ง ๆ ที่คนไทยเป็นชาติหนึ่งในโลกที่นิยมใช้โซเชียลมากติดอันดับ กิน อยู่ หลับ นอน เข้าห้องน้ำพร้อมมือถือและข้อมูลตลอด…จนพ่อแม่น้อยใจอยากเกิดเป็นสมาร์ทโฟน
รัฐบาลเศรษฐาเองก็มีข้อเสนอดี ๆ ให้กับคอร์ปอเรตเทครายใหญ่ สไตล์สายเปย์ ใจถึงพึ่งได้ แต่ทำไมกูเกิลกลับเมิน
แต่เมื่อเราทำความเข้าใจกับข้อเสนอและสิ่งที่มาเลย์ จะให้กับนักลงทุนแล้ว เราก็ถึงบางอ้อ
ก่อนที่กูเกิลจะประกาศปักหมุด “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ได้ชูยุทธศาสตร์ชาติแบบชัดเจน ชื่อว่า “ยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ” หรือ National Semiconductor Strategy ที่ต้องการปั้นให้มาเลเซียเป็น “ศูนย์การผลิตชิประดับโลก” หรือ Global Chip Hub ระดับโลก
พร้อมทุ่มทุกทาง ทั้งทุนฝึกอบรม และเร่งผลิตวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ที่มีสกิลเป็นจำนวนถึง 60,000 คน เพื่อวางแผนรองรับดีมานด์ในอนาคต แถมประกาศจุดยืน เพื่อเป้าหมายสู่ Neutral Hub ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่กำลังเป็น “หัวใจหลัก” ของโลกวันนี้และวันหน้า
ที่สำคัญ ยังเป็นการแก้ปัญหาซัพพลายเชน ลดความปั้นปึ่ง ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับอเมริกาด้วย
วิธีคิดของมาเลย์ลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาบอกนักลงทุนอีกว่า จะจัดสรรเงินอีก 25,000 ล้านริงกิตต่อปี หรือประมาณ 1.9 แสนล้านบาท ภายใน 5-10 ปีจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมาเลเซีย เพื่อ “บ่มเพาะคนเก่ง” ให้มากขึ้น
สรุป เขามุ่งที่การสร้างคนเป็นหลัก เพราะคนคือรากฐานของทุกสิ่งอย่าง รวมถึงการบ่มเพาะบริษัทเทคโนโลยีของมาเลย์ให้เติบโต แข็งแกร่ง เหนือมาตรฐาน เพื่อรองรับความเป็น “ศูนย์กลาง” การผลิตชิปในโลกใบนี้
ยังไม่พอ มาเลย์เสนออีกว่า จะทุ่มเงินอีก 5 แสนล้านริงกิต หรือเฉียด ๆ 4 ล้านล้านบาท จากการลงทุนในประเทศและต่างประเทศโดยตรง เพราะเป้าหมายการเป็น Hub นั้นแสนยิ่งใหญ่สำหรับประเทศเขามาก
การตั้งเป้าสู่การเป็นฐาน AI ใหญ่สุดใน South East Asia จึงไม่เกินเลย
เพราะแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคลสำคัญมาก ๆ ด้วยการผลักดัน เร่งผลิตนักศึกษาในสายเทคโนโลยีนานพักใหญ่แล้ว แถมมีโปรแกรมพิเศษอนุญาตคนต่างชาติคุณภาพดีเข้ามาทำงานในประเทศได้ เรียกว่า เสริมซึ่งกันและกัน
ล่าสุด มีข้อมูลระบุว่า ธุรกิจจีนดีได้แห่เข้าไปลงทุนในมาเลเซียแล้วนับแสน ๆ คน และถูกป้อนเข้าสู่ธุรกิจอย่างเป็นระบบ ภายใต้การกำกับของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ประเทศไทยนั้น มีสัดส่วนจีนเทาเข้ามาเป็นอันดับ 4 รองจากเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/opinion-column-10/news-1627611