New China Insights เมื่อทุนจีนทะลักไทย

เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://mgronline.com/china/detail/9670000072807


เพจแนะนำการลงทุนไทย ต้องรู้จักการขอใบอนุญาตกับ BOI (ภาพจาก Bilibili)

โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
“ทุนจีน” เป็นสิ่งที่คนไทยทั่วไปรับรู้และทราบกันดี โดยเฉพาะช่วงหลังการระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา จีนเปิดประเทศ ทั้งประชาชนจีนและทุนจีนต่างหลั่งไหลออกมานอกประเทศเพื่อหาโอกาสใหม่ๆที่ดีกว่าให้กับชีวิตและธุรกิจของตนเอง จึงไม่แปลกที่คนไทยเราจะเห็นสินค้าจีนและนักลงทุนจีนทะลักเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่อง

เขียนเคยเขียนบทความเกี่ยวกับทุนจีนที่เข้ามาในไทยและอาเซียนระลอกนี้เป็นระลอกที่ 4 ซึ่งดูเหมือนว่าจะมาแบบเร็ว แรงและจำนวนมากกว่าเก่า ผู้เขียนเองก็มีเพื่อนคนจีนบางกลุ่มมาไทยแล้วและบางส่วนกำลังหาช่องทางมาไทยเพื่อขายสินค้า ทำงาน ทำธุรกิจหรือลงทุน โดยชาวจีนกลุ่มนี้เห็นศักยภาพของสินค้าและอุตสาหกรรมในประเทศตนเองว่าได้เปรียบถึงตัดสินใจมาไทย ผู้เขียนมีเพื่อนคนจีนอยู่คนนึงบอกว่า เคยมาสำรวจตลาดดูราคาเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทยพบว่าราคายังสูงกว่าจีนมาก ไปเดินห้างที่ไหนก็เห็นโอกาสทำเงินไปหมด เพราะของประเภทเดียวกันราคาที่ขายอยู่ในจีนถูกกว่าไทยมาก

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ กลุ่มคนจีนที่ผู้เขียนรู้จักต่างบอกว่า หลังจากนี้อีก 2-3 ปี คนจีนที่จะมาขายสินค้าหรือลงทุนในไทยจะ “เข้ามาแบบปะทุ” ที่จีนใช้คำว่า 井喷 (อ่านว่า จิ่งเพิน)

การลงทุนจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ไทยและอาเซียนในยุคนี้ มีหลายปัจจัยสำคัญดังนี้

1.โอกาสในการขยายตลาด: การลงทุนในไทยและอาเซียนช่วยให้บริษัทจีนสามารถเข้าถึงตลาดที่มีการเติบโตสูงและมีประชากรมาก การเข้าถึงตลาดใหม่ๆ

2.แหล่งทรัพยากรและต้นทุนที่ต่ำ: ประเทศในอาเซียนมีทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ต้นทุนการดำเนินงานและค่าแรงงานในบางประเทศในอาเซียนยังต่ำกว่าจีน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต

3.นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลจีน: รัฐบาลจีนมีนโยบาย "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative) ที่สนับสนุนการลงทุนและการค้าในหลายประเทศ โดยมุ่งหวังที่จะสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการค้าระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งช่วยส่งเสริมการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน


หนึ่งในการจัดตั้งศูนย์ธุรกิจการค้าการลงทุนร่วมกันระหว่างไทยจีน โดยขณะนี้กลุ่มทุนจีนมากมายกำลังยกขบวนเข้ามาทำธุรกิจร่วมทุนในไทย (ภาพจาก Dezhou News)

4. การสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง: การลงทุนในประเทศอื่นเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างจีนกับประเทศเหล่านั้น ซึ่งอาจมีผลต่อความสัมพันธ์ที่ดีในด้านอื่นๆ เช่น การเมืองและการทูต

5. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพาน ถนน และท่าเรือ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างจีนและประเทศอาเซียน และส่งเสริมการค้าและการลงทุน

6. การกระจายความเสี่ยง: การลงทุนในหลายประเทศช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว โดยการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงและมีโอกาสทางธุรกิจที่ดี

การลงทุนจากจีนที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในอาเซียนและไทยแสดงถึงความสำคัญของอาเซียนต่อจีน ในภาวะที่สินค้าจีนมีข้อจำกัดในการส่งออกไปยังสหรัฐฯและยุโรป ดูเหมือนว่าอาเซียนจะเป็นตัวเลือกที่ดีและใกล้ที่สุด ที่จะนำสินค้ามาขายหรือตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าไปขายในสหรัฐฯและยุโรป

มีข่าวออนไลน์ของจีนแห่งหนึ่งพาดหัวข่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “การลงทุนจากจีนมาไทยมีมูลค่าเป็นสองเท่าของการลงทุนจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และความต้องการซื้อที่ดินเพื่อทำโรงงานของผู้ประกอบการจีนมีมากและรวดเร็วจนผู้พัฒนาที่ดินดำเนินงานกันไม่ทัน” เขตอุตสาหกรรมหนึ่งในจังหวัดระยองบอกว่า ความเร็วในการพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมตามไม่ทันความเร็วของความต้องการซื้อที่ดินของบริษัทจีน!และยังมีแนวโน้มว่า บริษัทจีนมีความต้องการซื้อกักตุนที่ดินในประเทศไทยด้วย

จากสถิติของ BOI ในปี 2022-2023 การลงทุนจากจีนในไทยมีมากเป็นอันดับหนึ่งจากการลงทุนจากต่างประเทศในไทยทั้งหมด หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์การลงทุนจากจีนในไทยคิดเป็น 25% และแนวโน้มยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนในไทยกลายเป็นไฮไลต์และตัวกระตุ้นปริมาณเงินลงทุนของจีนในไทยโดยรวมด้วย
 
รถยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลักอันดับหนึ่งของประเทศไทย คิดเป็นประมาณ 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไทยยังเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์อันดับต้นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในตลาดรถยนต์ของประเทศไทยคือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากจีน ซึ่งขณะนี้ บริษัทจีนมีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยสูงถึง 80%


พิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัทจีนค่ายฉางอันในไทย (ภาพจาก Tencent news)
ในปี 2023 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ที่ 76,314 คัน เพิ่มขึ้น 7.8 เท่าจากปี 2022 ซึ่งบีวายดีมีส่วนแบ่งประมาณ 40% ในตลาดรถยนต์ทั้งหมดของประเทศไทย บีวายดีอยู่อันดับที่หก ตามหลังฟอร์ดและมิซูบิชิ นับว่าบีวายดีเติบโตในอัตราที่รวดเร็วและสูงมาก หากเทียบกับระยะเวลาที่เพิ่งเข้ามาทำการตลาดในไทย

การลงทุนจากจีนมาไทยสถิติไม่อยู่แค่ในกรอบของ BOI เท่านั้น แต่การเข้ามาลงทุนเองหรือผ่านคนกลางก็มีมากมาย คนจีนอพยพใหม่ที่อาศัยอยู่ในไทยเคยบอกกับผู้เขียนว่า ที่เมืองไทย “ซิกแซก” ได้ง่าย ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้แค่มีเงินก็สามารถเนรมิตได้ทุกสิ่ง!คนจีนบางคนใช้ช่องโหว่ฟรีวีซ่า 3 เดือน เข้ามาไทยไม่ได้มาเที่ยวแต่มาทำธุรกิจการค้า แล้วหาเส้นสายเพื่อเปิดบัญชีธนาคารหรือทำธุรกรรมอื่นๆในไทย ด้านของสินค้าจีนล้นทะลักคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจุบันสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยรายเล็กและรายย่อยแค่ไหน การค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนก็เป็นตัวเร่งการแข่งขันในตลาดไทย สินค้าจีนมาตีตลาดกระจุย ทั้ง Shoppee,Lazada และล่าสุด Temu ที่ทำให้ผู้ค้าไทยหวาดหวั่นไปตามๆกัน

ด้านของธุรกิจบริการในไทยคนจีนก็เข้ามาเป็นผู้ประกอบการโดยตรงมากมาย ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงผับบาร์ ด้านของศูนย์กระจายสินค้าและโลจิสติกส์ในไทยหลากหลายผู้บริการก็มีคนจีนเป็นเจ้าของ คือทุกวันนี้ทุนจีนรุกคืบเข้ามาในไทยทุกภาคส่วน

แล้วทำไมชาวจีนในยุคนี้ถึงเลือกลงทุนในไทย ในกลุ่มประเทศหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซีย มีข้อได้เปรียบด้านประชากร ขนาดพื้นที่ และทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เทียบกับอินโดนีเซียและเวียดนาม ไทยมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและความครบถ้วนของอุตสาหกรรมที่สูงกว่า อีกทั้งไทยยังมีระบบอุปถัมภ์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นทุนจีนเข้ามาแล้วก็แค่หาสายสัมพันธ์ ให้เงินถูกคน ถูกช่องทางก็สามารถทำได้ทุกสิ่ง

นอกจาก “ทุนจีนขาว” ที่เข้ามาลงทุนในไทยแบบถูกกฎหมายตามขั้นตอนแล้ว ยังมีอีกทุนใหญ่ที่เข้ามาในไทยเป็นดอกเห็ดหน้าฝนคือ “ทุนจีนเทา” ทุนจีนเทาเป็นที่ถูกจับตาจากทั้งสื่อ ประชาชนไทยและรัฐบาล ช่วงสองปีนี้ดูเหมือนทุนจีนเทาจะล้นทะลักเข้าไทย สารพัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเดือดร้อนให้คนไทย สารพัดธุรกิจสีเทา ฟอกเงินต่างๆ กลายเป็นว่า ทุกวันนี้มีสารพัดจีน ดำเนินธุรกิจสารพัดอย่างกระจุกตัวรวมกันอยู่ มีทั้งส่วนที่สร้างโอกาสและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทย

ในวันที่เมืองไทยเราเปิดกว้างทุกด้าน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนไทยในระยะยาวมีแน่นอน ทั้งเรื่องค่าครองชีพที่จะพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ราคาบ้านจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนคนไทยเองไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งทุกวันนี้ก็เริ่มที่จะเกิดขึ้นแล้ว ประชาชนจะหวังพึ่งใครได้นอกจากพึ่งตนเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่