เทียบฟอร์ม '3 หุ้นวัสดุก่อสร้าง' หุ้น HMPRO โดดเด่น มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ไตรมาส 2/67 ขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร สาขาลำพูน และเมกาโฮม สาขาอุดรธานี
หุ้นวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ซบเซาหลังจากที่ภาคอสังหาฯ มีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ ๆ ลงจากที่สถาบันการเงินมีการเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้กำลังซื้อหดหาย ขณะเดียวกันงานลงทุนก่อสร้างภาครัฐหดตัว เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลานาน ทำให้การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ ต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม
แต่ทว่าในช่วงไตรมาส 3/67 เป็นต้นไป หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในไตรมาส 3 แต่อย่างไรตาม ในสัปดาห์หน้า (14 ส.ค.2567) ยังคงตัองจับตามประเด็นร้อนกับการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งหากไม่ได้ไปต่อ อาจมีปัญหาการเบิกจ่ายงบ รวมถึงการสานต่อนโยบายต่าง ๆ และการลงทุนอาจสะดุดได้อีกเช่นกัน
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้ข้อมูลกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า หุ้นวัสดุก่อสร้างหากไม่มีปัจจัยการเมืองในประเทศแนวโน้มจะเริ่มกลับมาดีขึ้น เนื่องจากการเบิกจ่ายภาครัฐจะสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในสัปดาห์ (14 ส.ค.2567) หากสมมุติว่าไม่ได้ไปต่อ อาจมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบได้ รวมถึงการสานต่อนโยบายต่าง ๆ และการลงทุนอาจจะสะดุดได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้หุ้นวัสดุก่อสร้างจะได้รับผลกระทบเรื่องงบประมาณล่าช้า ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มซบเซา โดยในครึ่งปีแรกมีการเปิดโครงการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และเปิดโครงการอย่างระมัดระวัง รวมถึงยอดขายที่ได้รับผลกระทบจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดจากการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลบางโครงการมีการชะลอการเปิดตัวออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังตลาดอสังหาฯ มักจะกลับมาคึกคักได้
ทั้งนี้หุ้น HMPRO ดู Valuation ถูกที่สุด ขณะที่ DOHOME และ GLOBAL จะอาศัยกำลังซื้อที่ต่างจังหวัดค่อนข้างเยอะ หากงบประมาณมีความล่าช้า จะมีความเสี่ยงมากกว่า ดังนั้น HMPRO จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โดยราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ประมาณ 14.10 บาท
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพรวมวัสดุก่อสร้างทรงตัวเพื่อรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ ส่วนข้อดีคือ ต้นทุนมีการปรับตัวลดลงจากตามราคาน้ำมันและแก๊สที่มีการปรับตัวลงมา ทำให้ผลประกอบการทรงตัวแต่ไม่เด่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 จะเริ่มมีความโดดเด่น เนื่องจากรัฐบาลมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
ทั้งนี้กับกรณีที่จะมีการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 ส.ค.2567 หากท่านไม่ได้ไปต่อ จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง จะทำให้หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่มีการเชื่อมโยงกับอนุมัติงบประมาณภาครัฐอาจจะถูกกระทบ แต่หากนายกรัฐมนตรี ได้ไปต่ออาจจะเป็นเซนติเมนเชิงบวกได้อยู่บ้าง
ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ อัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจ ขณะที่นโยบายรัฐบาลยังไม่มีนัยสำคัญ แม้จะมีการขยับค่าจดจำนองขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นขึ้นมาได้ และยังเป็นโอเวอร์ซัพพลายอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งกลุ่มนี้อาจจะยังต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีมาตรการเสริมให้ต่างชาติเข้ามาใช้สิทธิ์ที่อยู่การเช่า 99 ปี ที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้อาจจะพอช่วยได้บ้าง เพราะปัจจุบันแรงซื้อในประเทศไม่มี หากไม่มีมาตรการออกมากระตุ้นต้องไปรอช่วงตามซีซั่นในช่วงไตรมาส 4
สำหรับหุ้นวัสดุก่อสร้างในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หุ้น HMPRO หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,230.99 ล้านบาท เนื่องจากรายได้รวมอยู่ที่ 37,322.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.45% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 37,154.54 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,621.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.11% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,619.87 ล้านบาท
ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 18,535.25 ล้านบาท ลดลง 1.94% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 18,902.67 ล้านบาท โดยรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมอยู่ที่ 17,398.18 ล้านบาท ลดลง 2.20% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 17,788.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศ สืบเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตในระดับต่ำ การเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทยที่เร็วขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. รวมถึงการงดจัดงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ ในช่วงไตรมาส 2 และโครงการปรับปรุงถนนในพื้นที่หน้าโฮมโปรสาขาราชพฤกษ์ ส่งผลให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่สาขาลดลง
รายได้ค่าเช่า อยู่ที่ 458.01 ล้านบาท ลดลง 1.21% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 463.59 ล้านบาท เป็นผลมาจากการงดจัดงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดงาน HomePro Super Expo ที่ช่องทางสาขา และออนไลน์แทน
ส่วนรายได้อื่น อยู่ที่ 679.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.43% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 650.24 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ด้านการขยายสาขาในไตรมาส 2/2567 บริษัทได้มีการเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร สาขาลำพูน และเมกาโฮม สาขาอุดรธานี จึงทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 บริษัทมีโฮมโปร 90 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 28 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา
ส่วนราคา YTD -30.34% เงินปันผลตอบแทน 4.91% มาร์เก็ตแคป 107,182.26 ล้านบาท บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1
หุ้น DOHOME ครึ่งปีแรกมีกำไร 436.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.7% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 66 ที่มีกำไร 297.74 ล้านบาท กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้เท่ากับ 16,108.09 ล้านบาท ลดลง 2.7% จากรายได้รวมหกเดือนของปี 2566 ขณะที่ผลงานไตรมาส 2/67 มีกำไร 192.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 389% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 67 ที่มีกำไร 39.39 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 8,090.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.00 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาส 2/67 โดยรายได้จากการขายและค่าบริการเพิ่มขึ้น 0.3% มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากสาขาใหม่ ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 35.2% จากการเพิ่มขึ้นของเงินสนับสนุนจากเจ้าของสินค้าผู้จัดจำหน่าย และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยไตรมาสนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจาก 14% เป็น 17.5% จากการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในทุกกลุ่มสินค้า จึงทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น 281.80 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายของสาขาขนาดใหญ่และสาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) ที่เปิดดำเนินการใหม่ และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายจากการที่มีการจัดโปรโมชั่น เพื่อผลักดันการขาย
ส่วนการขยายสาขาในไตรมาส 2/67 กลุ่มบริษัทฯ เปิดสาขาขนาดเล็ก เพิ่ม 2 สาขา ทำให้มีสาขาขนาดใหญ่ที่เปิดบริการทั้งสิ้น 24 สาขา และมีสาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) ที่เปิดบริการทั้งสิ้น 13 สาขา
นอกจากนี้ราคา YTD -16.03% เงินปันผลตอบแทน 0.05% มาร์เก็ตแคป 32,941.26 ล้านบาท บริษัท ดูโฮมโฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1
และหุ้น GLOBAL งวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 1,489.84 ล้านบาท ลดลง 6.06% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,586.03 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาใหม่ 8 สาขา หรือมีจำนวนสาขารวม 87 สาขา
ขณะที่ ผลดำเนินงานไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 764.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 703.43 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากการขายสำหรับไตรมาส 2567 เท่ากับ 8,715.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 212.18 ล้านบาท หรือ 2.50% และมีรายได้อื่น เท่ากับ 206.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.43 ล้านบาท หรือ 14.68%
กำไรขั้นต้นประจำไตรมาส 2/67 เท่ากับ 2,320.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนจำนวน 161.41 ล้าน บาท หรือ 7.48% และคิดเป็นอัตรา 26.62% ของรายได้จากการขาย ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 1.23% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายการบริหาร(ไม่รวมค่าเสื่อมราคา กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เกิดขึ้นจริง และ กำไร (ขาดทุน)จากเงินลงทุนชั่วคราวที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) เท่ากับ 1,250.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.71 ล้านบาท หรือ 11.67% โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็น 14.35% ของยอดขาย และต้นทุนทางการเงิน เท่ากับ 70.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.57%
นอกจากนี้ราคา YTD -21.39% เงินปันผลตอบแทน 1.29% มาร์เก็ตแคป 67,624.19 ล้านบาท บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1
Cr.
https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1139620
เทียบฟอร์ม '3 หุ้นวัสดุก่อสร้าง' ครึ่งปีแรกใครกำไรมากสุด ?
หุ้นวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ซบเซาหลังจากที่ภาคอสังหาฯ มีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ ๆ ลงจากที่สถาบันการเงินมีการเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้กำลังซื้อหดหาย ขณะเดียวกันงานลงทุนก่อสร้างภาครัฐหดตัว เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลานาน ทำให้การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ ต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิม
แต่ทว่าในช่วงไตรมาส 3/67 เป็นต้นไป หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในไตรมาส 3 แต่อย่างไรตาม ในสัปดาห์หน้า (14 ส.ค.2567) ยังคงตัองจับตามประเด็นร้อนกับการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งหากไม่ได้ไปต่อ อาจมีปัญหาการเบิกจ่ายงบ รวมถึงการสานต่อนโยบายต่าง ๆ และการลงทุนอาจสะดุดได้อีกเช่นกัน
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้ข้อมูลกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า หุ้นวัสดุก่อสร้างหากไม่มีปัจจัยการเมืองในประเทศแนวโน้มจะเริ่มกลับมาดีขึ้น เนื่องจากการเบิกจ่ายภาครัฐจะสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในสัปดาห์ (14 ส.ค.2567) หากสมมุติว่าไม่ได้ไปต่อ อาจมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบได้ รวมถึงการสานต่อนโยบายต่าง ๆ และการลงทุนอาจจะสะดุดได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้หุ้นวัสดุก่อสร้างจะได้รับผลกระทบเรื่องงบประมาณล่าช้า ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มซบเซา โดยในครึ่งปีแรกมีการเปิดโครงการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และเปิดโครงการอย่างระมัดระวัง รวมถึงยอดขายที่ได้รับผลกระทบจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดจากการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลบางโครงการมีการชะลอการเปิดตัวออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังตลาดอสังหาฯ มักจะกลับมาคึกคักได้
ทั้งนี้หุ้น HMPRO ดู Valuation ถูกที่สุด ขณะที่ DOHOME และ GLOBAL จะอาศัยกำลังซื้อที่ต่างจังหวัดค่อนข้างเยอะ หากงบประมาณมีความล่าช้า จะมีความเสี่ยงมากกว่า ดังนั้น HMPRO จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โดยราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ประมาณ 14.10 บาท
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพรวมวัสดุก่อสร้างทรงตัวเพื่อรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ ส่วนข้อดีคือ ต้นทุนมีการปรับตัวลดลงจากตามราคาน้ำมันและแก๊สที่มีการปรับตัวลงมา ทำให้ผลประกอบการทรงตัวแต่ไม่เด่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 จะเริ่มมีความโดดเด่น เนื่องจากรัฐบาลมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
ทั้งนี้กับกรณีที่จะมีการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 ส.ค.2567 หากท่านไม่ได้ไปต่อ จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง จะทำให้หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่มีการเชื่อมโยงกับอนุมัติงบประมาณภาครัฐอาจจะถูกกระทบ แต่หากนายกรัฐมนตรี ได้ไปต่ออาจจะเป็นเซนติเมนเชิงบวกได้อยู่บ้าง
ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ อัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจ ขณะที่นโยบายรัฐบาลยังไม่มีนัยสำคัญ แม้จะมีการขยับค่าจดจำนองขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นขึ้นมาได้ และยังเป็นโอเวอร์ซัพพลายอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งกลุ่มนี้อาจจะยังต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีมาตรการเสริมให้ต่างชาติเข้ามาใช้สิทธิ์ที่อยู่การเช่า 99 ปี ที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้อาจจะพอช่วยได้บ้าง เพราะปัจจุบันแรงซื้อในประเทศไม่มี หากไม่มีมาตรการออกมากระตุ้นต้องไปรอช่วงตามซีซั่นในช่วงไตรมาส 4
สำหรับหุ้นวัสดุก่อสร้างในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หุ้น HMPRO หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,334.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,230.99 ล้านบาท เนื่องจากรายได้รวมอยู่ที่ 37,322.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.45% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 37,154.54 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,621.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.11% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,619.87 ล้านบาท
ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 18,535.25 ล้านบาท ลดลง 1.94% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 18,902.67 ล้านบาท โดยรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมอยู่ที่ 17,398.18 ล้านบาท ลดลง 2.20% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 17,788.83 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศ สืบเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตในระดับต่ำ การเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทยที่เร็วขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. รวมถึงการงดจัดงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ ในช่วงไตรมาส 2 และโครงการปรับปรุงถนนในพื้นที่หน้าโฮมโปรสาขาราชพฤกษ์ ส่งผลให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่สาขาลดลง
รายได้ค่าเช่า อยู่ที่ 458.01 ล้านบาท ลดลง 1.21% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 463.59 ล้านบาท เป็นผลมาจากการงดจัดงาน HomePro Fair ที่เชียงใหม่ โดยได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดงาน HomePro Super Expo ที่ช่องทางสาขา และออนไลน์แทน
ส่วนรายได้อื่น อยู่ที่ 679.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.43% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 650.24 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ด้านการขยายสาขาในไตรมาส 2/2567 บริษัทได้มีการเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปร สาขาลำพูน และเมกาโฮม สาขาอุดรธานี จึงทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 บริษัทมีโฮมโปร 90 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 28 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา
ส่วนราคา YTD -30.34% เงินปันผลตอบแทน 4.91% มาร์เก็ตแคป 107,182.26 ล้านบาท บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1
หุ้น DOHOME ครึ่งปีแรกมีกำไร 436.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.7% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 66 ที่มีกำไร 297.74 ล้านบาท กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้เท่ากับ 16,108.09 ล้านบาท ลดลง 2.7% จากรายได้รวมหกเดือนของปี 2566 ขณะที่ผลงานไตรมาส 2/67 มีกำไร 192.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 389% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 67 ที่มีกำไร 39.39 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 8,090.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.00 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาส 2/67 โดยรายได้จากการขายและค่าบริการเพิ่มขึ้น 0.3% มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากสาขาใหม่ ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 35.2% จากการเพิ่มขึ้นของเงินสนับสนุนจากเจ้าของสินค้าผู้จัดจำหน่าย และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยไตรมาสนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจาก 14% เป็น 17.5% จากการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในทุกกลุ่มสินค้า จึงทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น 281.80 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายของสาขาขนาดใหญ่และสาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) ที่เปิดดำเนินการใหม่ และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายจากการที่มีการจัดโปรโมชั่น เพื่อผลักดันการขาย
ส่วนการขยายสาขาในไตรมาส 2/67 กลุ่มบริษัทฯ เปิดสาขาขนาดเล็ก เพิ่ม 2 สาขา ทำให้มีสาขาขนาดใหญ่ที่เปิดบริการทั้งสิ้น 24 สาขา และมีสาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) ที่เปิดบริการทั้งสิ้น 13 สาขา
นอกจากนี้ราคา YTD -16.03% เงินปันผลตอบแทน 0.05% มาร์เก็ตแคป 32,941.26 ล้านบาท บริษัท ดูโฮมโฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1
และหุ้น GLOBAL งวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 1,489.84 ล้านบาท ลดลง 6.06% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,586.03 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาใหม่ 8 สาขา หรือมีจำนวนสาขารวม 87 สาขา
ขณะที่ ผลดำเนินงานไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 764.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 703.43 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากการขายสำหรับไตรมาส 2567 เท่ากับ 8,715.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 212.18 ล้านบาท หรือ 2.50% และมีรายได้อื่น เท่ากับ 206.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.43 ล้านบาท หรือ 14.68%
กำไรขั้นต้นประจำไตรมาส 2/67 เท่ากับ 2,320.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนจำนวน 161.41 ล้าน บาท หรือ 7.48% และคิดเป็นอัตรา 26.62% ของรายได้จากการขาย ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 1.23% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายการบริหาร(ไม่รวมค่าเสื่อมราคา กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เกิดขึ้นจริง และ กำไร (ขาดทุน)จากเงินลงทุนชั่วคราวที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) เท่ากับ 1,250.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.71 ล้านบาท หรือ 11.67% โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็น 14.35% ของยอดขาย และต้นทุนทางการเงิน เท่ากับ 70.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.57%
นอกจากนี้ราคา YTD -21.39% เงินปันผลตอบแทน 1.29% มาร์เก็ตแคป 67,624.19 ล้านบาท บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1
Cr. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1139620