ตอนนี้สุขภาพจิตกำลังไปได้สวย แต่ติดกำแพงปมในวัยเด็ก เราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร

ขอเกริ่นก่อนว่า จขกท ไม่ได้เป็นซึมเศร้า หรือไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตนะครับ ยังเห็นโลกยังคงสวยงามอยู่ ยังชอบที่ได้ใช้ชีวิต ยังต้องการที่จะมีความสุขอยู่

ประเด็นที่มาตั้งกระทู้ในวันนี้ เรารู้สึกว่าปมในวัยเด็กของเรามักจะกระทบจิตใจอยู่เรื่อย ๆ จนรู้สึกไม่กระตือรือร้นหรืออยากทำอะไรเป็นพิเศษ ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต ล่องลอย และไม่มีความต้องการมักใหญ่ใฝ่สูง ด้วยคำที่ว่าเราขออยู่ที่ไหนก็ได้ที่เราสบายใจและไม่ต้องการความเครียด ไม่ต้องการต่อสู้อะไรในชีวิตแล้วซึ่งเรามองว่าส่วนนี้ไม่ค่อยโอเค กลัวจะกลายเป็นคนเหลวแหละล่องลอย ทั้งในหน้าที่การงาน และชีวิตคู่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้อย่าว่าแต่ดูแลคนอื่นหรือมีแฟนเลย แก่ไปก็อาจจะเอาตัวเองไม่รอด

จขกท ยังคงต้องการความก้าวหน้าของตัวเองอยู่ ตอนนี้กลายเป็นว่าอะไรก็ไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย ไม่มีการหาความรู้เพิ่มเพื่อพัฒนาตัวเอง และย่ำอยู่กับที่ รวมไปถึงตัดขาดจากสังคม ตัดขาดจากครอบครัว ใช้ชีวิตแต่ละวันเพียงแค่ได้ดูหนังดี ๆ และได้ไปโรงหนัง

ขอเล่าปัญหาในวัยเด็กนะครับ เราอยู่ในครอบครัวที่โตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวพ่อทำงานต่างจังหวัดทำให้ต้องเลี้ยงดูผ่านพี่เลี้ยงที่ใจร้ายมาก ๆ พอโตขึ้นแม่ย้ายไปอยู่กับพ่อพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ดันเกิดความรุนแรงในครอบครัวจนต้องหย่าร้าง(บ้านเละ) ซึ่งตัว จขกท ขึ้น ม1 พอดีและสอบได้โรงเรียนดีระดับประเทศ แต่ตอนนั้นเรารักแม่มากจึงย้ายไปอยู่กับแม่ที่โรงเรียนต่างจังหวัด ซึ่งด้วยความที่ย้ายกระทันหันแม่จึงต้องอยู่กะกลางคืน ทำให้ต้องอยู่คนเดียวตั้งแต่ขึ้น ม.1 กลับบ้านมาไม่เจอใครวนซ้ำไปถึง 2ปี จนกระทั่งแม่เห็นว่าอยู่แบบนี้ไม่ได้เพราะลูกไม่มีคนดูแล จึงวางแผนฮั้วกับพ่อ (หักหลังเราที่เกลียดพ่อมากในตอนนั้น) เข้ามาเรียนที่กรุงเทพมหานครด้วยการให้มารับเราจากที่โรงเรียนและเดินทางไปยังกรุงเทพตัวเปล่า

เราเป็นเด็กเรียนดีมาตลอดสอบได้ที่ 1 ของชั้น จนถึง ม.4  เราเอ่ยปากขอเรียนศิลป์คำนวณซึ่งเราเลือกไปก่อนแล้ว(โคว์ต้าโรงเรียนเดิม) ซึ่งพ่อไม่โอเคอย่างมากและบอกว่ามีแต่คนโง่เรียน เราจำได้มาถึงทุกวันนี้ ทำให้เราต้องกระสนไปสอบวิทย์คณิตซึ่งมีเวลาเตรียมสอบแค่2วัน

พอขึ้นชั้น ม.4 เราก็ไปเรียนสายวิทย์คณิตตามปกติเรื่อย ๆ ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง จขกท ก็โดนทิ้งอีกครั้งเนื่องจากทางฝั่งพ่อจะปล่อยเช่าบ้านที่อยู่ด้วยกันโดยไม่ปรึกษาเราเลยแม่แต่น้อย มารู้ขณะที่ไม่เจอพ่อมาหลายวัน และสิ่งที่ทำให้เรารู้คือวันหนึ่งมีคนมาเคาะกริ่งเรียกขอดูบ้านที่จะเช่า ซึ่งพ่อก็ไม่แจ้งเราว่าให้เราพาดู ตอนนั้นรับไม่ได้มาก ๆ ทำให้รีบขนของเอาเสื้อผ้าไปแค่ 3ตัวกระเป๋าเป้ใบเดียว ขนไปอยู่ที่บ้านอีกหลังแถว มธ โดยที่ไม่บอกใครจนเริ่มเปิดเรียน พ่อถึงโทรมาถามว่าเราอยู่ที่ไหน ซึ่งก็ถามเฉย ๆ ให้เราอยู่คนเดียวต่อไป (ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่าพ่อเช่าคอนโดอยู่ที่ทำงานอยู่กับแฟนใหม่) ทำให้เราต้องไปกลับโรงเรียนระยะทางรวม 100กิโลเมตรต่อวันเพื่อนเข้ามาเรียนในกรุงเทพ จนผ่านไปถึง2ปี ไม่มีใครมาหาเราเลยแม้แต่วันเดียว มีเพียงเงินที่ส่งให้ในรายเดือนที่ช้าบ้างจากพ่อ และเงินรายเดือนจากแม่ที่จ่ายค่าไปเรียนก็แทบจะหมดแล้ว ทำให้ตอนนั้นต้องทำอาหารกินเองแทบทุกวัน ใช้ชีวิตโดยการกินข้าวที่โรงเรียน 25บาทให้ครบทุกมื้อ จะได้ไม่มีค่าใช้จ่ายมากมาย มีหลายวันที่เราท้อมากกับการไปกลับโรงเรียน เราก็จะเลือกโดยการนั่งอยู่ป้ายรถเมล์จนถึงเช้าเพื่อเรียนวันถัดไปอยู่หลายครั้ง

จนกระทั่ง ม.6 เราเครียดกับการต้องเตรียมสอบและพยุงเกรดมาก จึงได้บอกความจริงกับแม่ไปว่าเราต้องอยู่คนเดียวที่ปทุมมาตลอดนะ ปีสุดท้ายขออยู่หอได้มั้ย เพราะต้องอ่รนหนังสือสอบ เราไม่ไหวร้องห่มร้องไห้กับแม่ บอกเหตุผลว่าที่ปกปิดมาตลอด2ปีเพราะแคร์แม่นะ ไม่อยากให้เป็นห่วง เรากลับไม่ได้รับความปลอบใจอะไร เราจำตอนนั้นไม่ค่อยได้เพราะหัวแบล๊งมากเพราะเราคาดหวังว่าแม่ต้องมีความสงสารเราอยู่ในจิตใจ กลับกลายเป็นว่าคุณแม่ของเรานั้นเหมือนพูดเยาะเย้ยอะไรสักอย่างทำให้จิตตอนนั้นเราแตกสลายไปเลย เรางอแงอยู่นานจนกระทั่งเปิดเทอม แม่บอกให้เราอยู่ห้องพัดลมได้มั้ย เดี๋ยวจะขอให้พ่อจ่ายให้จนเราได้อยู่หอ

ใน 1 ปีนั้นคำว่าการไม่เรียนสายวิทยาศาสตร์คือคนโง่ คือความอับอายวนอยู่ในหัวเราทั้งปี เราที่อยากเรียนคณะบริหาร และการเงิน กลายว่าต้องยื่นเข้าสายเทคโนโลยีมหาลัยสีชมพู ช่วงนั้นเรารู้สึกได้รับความสนใจจากพ่อและแม่ครั้งแรกเพราะคณะที่เรายื่นนั้นคะแนนที่ว่าสูงมาก ๆ แต่เรากลับไม่ชอบมันเสียเลย เกลียดซะด้วยซ้ำ ทำไมเขาถึงดีใจกับการที่ได้เรียนสิ่งที่เรียนยาก มากกว่าสิ่งที่ลูกชอบ ยอมรับเลยว่าตอนนั้นสภาพจิตใจเราค่อนข้างแย่มาก

จนกระทั่งเข้าปี1 เราเป็นคนที่หน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ และอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีความอ่อนน้อมทำให้เราเป็นที่รักของคนรู้จักมาก ตอนนั้นมีความสุขมากถึงจะได้เรียนในรายวิชาไม่ชอบก็ตาม จนกระทั่งเกิดโควิดเหมือนโลกทั้งใบเราสลายอีกครั้ง

ทำให้ตั้งแต่ช่วงโควิดมาเราก็กลายเป็นคนปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับใครตลอดมา ไม่ต้องการความเจริญ ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ใช้ชีวิตไปวัน ๆ วันต่อวัน คนเดียว ชอบกินข้าวคนเดียว แต่ก็ยังคงโหยหาสิ่งที่คนอื่นเขามีเช่นกัน เช่น เงิน การบอมรับในหน้าที่การงาน และชีวิตคู่ ผ่านมาหลายปีแล้วเราก็ไม่เคยก้าวข้ามมันได้เลย วนก็วนอยู่ที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ ไปที่เดิม ๆ ทำอะไรเดิม ๆ ทำงานเดิม ๆ เจอหน้าพี่ที่ทำงานเดิม ๆ เจ้านายเดิม ๆ ทั้ง ๆ ที่เรายอมรับเลยว่าเมื่อก่อนเราสู้ และเก่งมาก ๆ มีความสามารถจนกระทั่งหาเงินได้ตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ตอนนี้คือ จขกท กลับไม่เอาอะไรเลยทั้งนั้น แม้แต่การขยับของเงินเดือน คือยอมรับเลยว่าขอแค่มีกินไปวัน ๆ ก็พอใจแล้วซะงั้น ทำให้เราไม่มีอะไรรับประกันความเสี่ยงเลย แต่ก็ไม่อยากต่อสู้กับโลกนี้อีกแล้วเหนื่อย ทำยังไงดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่