เหตุการณ์ วันนี้ 3 สิงหา ช่วงเช้า
ช่วงลงสะพานผมเห็นเก๋งดำขับชิดซ้ายขอบทางติดโพรงหญ้าแปลกๆ ผมขับมอเตอร์ไซค์จึงตัดสินใจที่จะแซงเขาเมื่อพ้นช่วงคอสะพานด้านขวาของเขา ดูจากกระจกข้างขวาผมไม่มีรถมาในเลนขวา ซึ่งเป็นเลนตรงมาจากใต้สะพาน ผมแซงเขาพ้นแล้ว จากนั้นหางตาผมรู้สึกว่ามีรถมาด้านหลัง ตอนนั้นผมอยู่ข้างรถพ่วง ผมจึงจะแซงให้พ้นรถพ่วงแล้วเข้าซ้าย แต่ก็โดนชนเข้าที่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ก่อน แล้วเสียหลักไปอยู่หน้ารถพ่วงคันที่ผมจะแซงให้พ้น ล้มกลิ้ง 3-4 ตลบ ทุกๆตลบสายตาจดจ่อที่หน้ารถพ่วงคันนั้นว่าจะชนผมไหม ในใจคิดได้เวลาแล้วสินะ แต่พี่รถพ่วงเบรคอยู่ไม่ชนผม กับระยะหน้ารถพ่วงแค่ 2 เมตร
ผมลุกขึ้นเข้าเกาะกลางแทบจะทันที แล้วสำรวจตัวเองสักพัก พี่รถพ่วงก็ลงมาถามผม ผมก็บอกเขาผมคิดว่าพี่จะทับผมแล้ว ผมมองหน้ารถพี่วิ่งมาหาผมตลอด จากนั้นผมก็เก็บมือถือของที่ตกตามพื้นถนนสักพัก คนขับรถเก๋งที่ชนผมก็ลงมาจากรถจอดเกาะกลางเช่นกัน แต่งตัวครึ่งท่อน เขาบอกทันทีว่าหลับใน เพลีย แต่ผมพอจะทราบว่าช่วงเช้าของวันเสาร์ อาทิตย์ จะมีคนเมาแล้วขับรถกลับบ้านหลังจากดื่มมาทั้งคืนแทบจะในทันที ผมถามเขาว่าพี่เมาใช่ไหม เขาก็อั้มอึ้งแล้วก็บอกว่านิดหน่อยหลังเลิกงาน ผมยิ่งย้ำเขามากขึ้น พี่เมามากแล้วแบบนี้ เขาจึงบอกผมว่าพวกรุ่นพี่บังคับให้อยู่จนเช้า จบบทสนทนาแรก
ผมเดินจากเกาะกลางมาริมถนน ขณะนั้นพี่รถพ่วงที่จอดกลางถนนเหมือนช่วยบังผมไว้ก็ขับมาริมทาง พร้อมกับคู่กรณี ก็คุยกันเพิ่มเติม ถึงตรงนี้ผมเริ่มจำลำดับไม่ถูก มือไม้สั่นหลังจากล้มกลิ้งเจ็บหน้าอก ข้อเท้า แผลถลอกทั่วตัว เสื้อผ้าขาดทุกชิ้น จังหวะผมแซงรถพ่วงน่าจะ 70กม./ชม.โดนชนจากข้างรถพ่วงไปแซงรถพ่วงก็ไม่รู้ว่าเขาขับมาเท่าไหร่ เขาบอกจะรับผิดชอบทุกอย่าง บอกสังกัด บอกไม่หนีแน่ ผมขอถ่ายบัตรเขาตอบว่าไม่ได้พกเลยเดี๋ยวให้ถ่ายจากในมือถือ แต่ก็ให้ถ่ายจากเอกสารประกันรถเขาแทน คุยกันไปมารู้ว่าอยู่หมู่บ้านเดียวกัน จากนั้นผมก็โทรตามประกันมอเตอร์ไซค์ของผม เขาก็ไปโทรหากู้ภัยเพราะผมบอกว่ามีอาการเจ็บหน้าอก หลังจากนั้นผมก็โทรหาสภอ.พื้นที่เกิดเหตุ ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยดูแล พอตำรวจจราจรมาทุกอย่างปกติ ตามหน้าที่ ผมก็โทรบอกแฟนที่ผมเพิ่งไปส่งทำงานก่อนหน้านี้ บอกพ่อแม่ที่บ้านใกล้จุดเกิดเหตุให้มาเอารถมอเตอร์ไซค์ แต่พี่ตำรวจจราจรคุยกับคู่กรณีผม พี่รู้จักพี่นั้นไหม พี่นี่ไหม รุ่นนั้น ผมก็ได้แต่หันไปมอง คู่กรณีก็เลยบ่ายเบี่ยงประมาณว่าเดี๋ยวค่อยคุย จากนั้นก็คุยกันต่อ จนผมทราบแล้วว่าต้องไปรพ.ก่อน เดี๋ยวคู่กรณี ประกันผม กับตำรวจจราจรจะไปคุยกันต่อที่สภอ. ผมก็บอกกับคู่กรณีกับพี่จราจรพร้อมพี่รถพ่วงที่อยู่เป็นเพื่อนผม ว่าแบบนี้ต้องเป่าแอลกอฮอล์ไหม เพราะถ้าไม่เป่าผมไม่มีอะไรยืนยันว่าพรุ่งนี้พี่จะกลับคำพูด
เขาก็บอกอย่าให้ถึงขั้นนั้นเลย คนบ้านเดียวกัน (หมู่บ้านจัดสรรปริมณฑล ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันตามที่เคยได้ยินแน่ๆ) พี่รถพ่วงก็ช่วยเจรจาเป็นฝั่งผมอีกคน ว่าแบบนี้ไม่ได้ฝั่งน้องเขาก็ต้องกลัวอยู่แล้วพี่เป็นตำรวจเหมือนกัน ก็รู้อยู่แล้วเดี๋ยวพวกพี่ก็ช่วยกัน ผมก็ถามพี่รถพ่วงว่ารถบ.ใช่ไหมครับ ขอพี่รถพ่วงเขาถ่ายป้ายทะเบียนรถไว้ เผื่อว่าเขาจะช่วยเป็นพยานให้ได้ แต่ดันลืมขอเบอร์ สักพักประกันผมก็มา พ่อแม่ผมก็มา รถพยาบาลก็มา มาแบบติดๆกันเลย ประกันขอบัตรถามนู้นนี่นั่น พยาบาลขอทำแผล ตรวจร่างกาย ผมก็ต้องคุยกับพ่อแม่ แล้วผมก็แจ้งกับประกันฝั่งผมแล้วว่าคู่กรณีเมาแล้วขับด้วยนะก่อนที่ผมต้องแยกไปรพ.
เหตุการณ์ที่สภอ.ผมไม่ทราบ
สอบถามจากพ่อแม่ ได้คุยแค่ประกันฝั่งผม แจ้งสิทธิ์ แจ้งขั้นตอนทั่วไป ตรงนี้ผมไม่ได้คาดหวังเพราะพ่อแม่แก่แล้ว ตอนแรกแค่ต้องการให้มาเอารถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านไปก่อนเท่านั้น (ไม่นึกว่าอู่จะมารับรถเองด้วย) แล้วคู่กรณีมาขอโทษพ่อแม่ผมตอนจบ แล้วแยกย้ายกัน
ระหว่างที่ผมอยู่รพ.คู่กรณีก็คอยโทรบอกความคืบหน้าผม 2 ครั้งก่อนที่จะแยกย้ายกับฝั่งที่อยู่กันที่สภอ. ประกันฝั่งผมฝากใบลงบันทึกประจำวันมากับพ่อแม่ผมเพื่อให้รพ.เบิกพรบ. ผมถึงได้อ่านบันทึกประจำวันเนื้อความว่า คู่กรณีผมยอมรับผิดประมาทเปลี่ยนช่องทาง แล้วจะนัดตกลงกันภายหลัง ซึ่งไม่มีส่วนใดเขียนถึงอาการมึนเมา ผมเลยสงสัยโทรหาร้อยเวร ไม่รับสาย จึงต้องไปด้วยตนเองที่สภาพผ้าพันแผลเต็มตัว ขากางเกงขาดขานึง แต่ร้อยเวรที่เขียนบันทึกประจำวันไม่อยู่ ผมรอสักพัก จนได้โทรคุยกันแทน เขาถามว่าผมติดใจอะไรรึเปล่า คู่กรณียอมรับผิดชอบแล้ว เขาจะเป่าหรือไม่เป่าก็ไม่มีผลอะไรกับเรา เขารับผิดชอบเราอยู่แล้ว ผมก็บอกว่าพรุ่งนี้กลัวจะกลับคำเพราะตรวจไม่เจอแล้ว เขาก็ยืนยันเช่นเดิม ผมก็บอกเขาไปคู่กรณีขอผมไว้อย่าให้ถึงเป่า แต่ไม่คิดว่าการลงบันทึกประจำวันก็ไม่มีแม้แต่จะลงให้ผมเป็นหลักฐานสักนิด คุยทางโทรศัพท์เสร็จแล้วผมก็กลับ
ผมไม่ได้ต้องการให้เขาเสียการเสียงาน แต่กลัวเขาไม่รับผิดชอบ กลัวเขากลับคำ เพราะก่อนนี้ผมเคยขี่จักรยาน โดนแท๊กซี่แซงซ้ายมาชนผมที่ไหล่ทาง ผมมีแต่เสียเวลา เสียของ ได้ชดใช้มาก็ในราคาที่เราไปซื้อของเดิมมาใช้ไม่ได้ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องบาดเจ็บและยังต้องเสียของควักเนื้อจ่ายเองอีก
ถึงคำถามครับ
-เหตุการณ์ทั้งหมดผมพลาดแล้วหรือเปล่าที่ใจอ่อน ไม่ แข็งพอที่จะยืนยันให้เขากลับมาเป่า พอจะแก้ไขอะไรได้ไหม
-ประกันผมบอกให้เก็บหลักฐานต่างๆไปเบิกกับประกันคู่ กรณี อาจเป็นว่าประกันฝั่งเขาไม่ทราบว่าเขาเมาแล้วขับ
แต่ถ้าเมาแล้วขับประกันคู่กรณีก็ไม่รับผิดชอบผมด้วยรึเปล่า ตัวคู่กรณีต้องรับผิดชอบเองใช่ไหมครับ
-ประกันฝั่งผมทั้งที่ผมแจ้งแล้วคู่กรณีเมาแล้วขับแต่ไม่ทำ เรื่องต่อ ปกติไหมครับ หรือ ต้องการแค่ใครถูกผิดคือจบ ปิดเคสได้เลยเหรอครับ
-ร้อยเวรที่ลงบันทึกประจำวัน เห็นว่าคู่กรณีรับผิดชอบ แล้ว จึงไม่เป่าแอลกอฮอล์ คือขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ ครับ ไม่ใช่การช่วยเหลือกันอย่างที่พี่รถพ่วงบอกใช่ไหม
-มีอะไรแนะนำผมเพิ่มเติมด้วยครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเจรจาแล้ว ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ถูกตำรวจเมาแล้วชน ช่วยตอบข้อสงสัยกับขอคำแนะนำก่อนไปเจรจาครับ
ช่วงลงสะพานผมเห็นเก๋งดำขับชิดซ้ายขอบทางติดโพรงหญ้าแปลกๆ ผมขับมอเตอร์ไซค์จึงตัดสินใจที่จะแซงเขาเมื่อพ้นช่วงคอสะพานด้านขวาของเขา ดูจากกระจกข้างขวาผมไม่มีรถมาในเลนขวา ซึ่งเป็นเลนตรงมาจากใต้สะพาน ผมแซงเขาพ้นแล้ว จากนั้นหางตาผมรู้สึกว่ามีรถมาด้านหลัง ตอนนั้นผมอยู่ข้างรถพ่วง ผมจึงจะแซงให้พ้นรถพ่วงแล้วเข้าซ้าย แต่ก็โดนชนเข้าที่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ก่อน แล้วเสียหลักไปอยู่หน้ารถพ่วงคันที่ผมจะแซงให้พ้น ล้มกลิ้ง 3-4 ตลบ ทุกๆตลบสายตาจดจ่อที่หน้ารถพ่วงคันนั้นว่าจะชนผมไหม ในใจคิดได้เวลาแล้วสินะ แต่พี่รถพ่วงเบรคอยู่ไม่ชนผม กับระยะหน้ารถพ่วงแค่ 2 เมตร
ผมลุกขึ้นเข้าเกาะกลางแทบจะทันที แล้วสำรวจตัวเองสักพัก พี่รถพ่วงก็ลงมาถามผม ผมก็บอกเขาผมคิดว่าพี่จะทับผมแล้ว ผมมองหน้ารถพี่วิ่งมาหาผมตลอด จากนั้นผมก็เก็บมือถือของที่ตกตามพื้นถนนสักพัก คนขับรถเก๋งที่ชนผมก็ลงมาจากรถจอดเกาะกลางเช่นกัน แต่งตัวครึ่งท่อน เขาบอกทันทีว่าหลับใน เพลีย แต่ผมพอจะทราบว่าช่วงเช้าของวันเสาร์ อาทิตย์ จะมีคนเมาแล้วขับรถกลับบ้านหลังจากดื่มมาทั้งคืนแทบจะในทันที ผมถามเขาว่าพี่เมาใช่ไหม เขาก็อั้มอึ้งแล้วก็บอกว่านิดหน่อยหลังเลิกงาน ผมยิ่งย้ำเขามากขึ้น พี่เมามากแล้วแบบนี้ เขาจึงบอกผมว่าพวกรุ่นพี่บังคับให้อยู่จนเช้า จบบทสนทนาแรก
ผมเดินจากเกาะกลางมาริมถนน ขณะนั้นพี่รถพ่วงที่จอดกลางถนนเหมือนช่วยบังผมไว้ก็ขับมาริมทาง พร้อมกับคู่กรณี ก็คุยกันเพิ่มเติม ถึงตรงนี้ผมเริ่มจำลำดับไม่ถูก มือไม้สั่นหลังจากล้มกลิ้งเจ็บหน้าอก ข้อเท้า แผลถลอกทั่วตัว เสื้อผ้าขาดทุกชิ้น จังหวะผมแซงรถพ่วงน่าจะ 70กม./ชม.โดนชนจากข้างรถพ่วงไปแซงรถพ่วงก็ไม่รู้ว่าเขาขับมาเท่าไหร่ เขาบอกจะรับผิดชอบทุกอย่าง บอกสังกัด บอกไม่หนีแน่ ผมขอถ่ายบัตรเขาตอบว่าไม่ได้พกเลยเดี๋ยวให้ถ่ายจากในมือถือ แต่ก็ให้ถ่ายจากเอกสารประกันรถเขาแทน คุยกันไปมารู้ว่าอยู่หมู่บ้านเดียวกัน จากนั้นผมก็โทรตามประกันมอเตอร์ไซค์ของผม เขาก็ไปโทรหากู้ภัยเพราะผมบอกว่ามีอาการเจ็บหน้าอก หลังจากนั้นผมก็โทรหาสภอ.พื้นที่เกิดเหตุ ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยดูแล พอตำรวจจราจรมาทุกอย่างปกติ ตามหน้าที่ ผมก็โทรบอกแฟนที่ผมเพิ่งไปส่งทำงานก่อนหน้านี้ บอกพ่อแม่ที่บ้านใกล้จุดเกิดเหตุให้มาเอารถมอเตอร์ไซค์ แต่พี่ตำรวจจราจรคุยกับคู่กรณีผม พี่รู้จักพี่นั้นไหม พี่นี่ไหม รุ่นนั้น ผมก็ได้แต่หันไปมอง คู่กรณีก็เลยบ่ายเบี่ยงประมาณว่าเดี๋ยวค่อยคุย จากนั้นก็คุยกันต่อ จนผมทราบแล้วว่าต้องไปรพ.ก่อน เดี๋ยวคู่กรณี ประกันผม กับตำรวจจราจรจะไปคุยกันต่อที่สภอ. ผมก็บอกกับคู่กรณีกับพี่จราจรพร้อมพี่รถพ่วงที่อยู่เป็นเพื่อนผม ว่าแบบนี้ต้องเป่าแอลกอฮอล์ไหม เพราะถ้าไม่เป่าผมไม่มีอะไรยืนยันว่าพรุ่งนี้พี่จะกลับคำพูด
เขาก็บอกอย่าให้ถึงขั้นนั้นเลย คนบ้านเดียวกัน (หมู่บ้านจัดสรรปริมณฑล ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันตามที่เคยได้ยินแน่ๆ) พี่รถพ่วงก็ช่วยเจรจาเป็นฝั่งผมอีกคน ว่าแบบนี้ไม่ได้ฝั่งน้องเขาก็ต้องกลัวอยู่แล้วพี่เป็นตำรวจเหมือนกัน ก็รู้อยู่แล้วเดี๋ยวพวกพี่ก็ช่วยกัน ผมก็ถามพี่รถพ่วงว่ารถบ.ใช่ไหมครับ ขอพี่รถพ่วงเขาถ่ายป้ายทะเบียนรถไว้ เผื่อว่าเขาจะช่วยเป็นพยานให้ได้ แต่ดันลืมขอเบอร์ สักพักประกันผมก็มา พ่อแม่ผมก็มา รถพยาบาลก็มา มาแบบติดๆกันเลย ประกันขอบัตรถามนู้นนี่นั่น พยาบาลขอทำแผล ตรวจร่างกาย ผมก็ต้องคุยกับพ่อแม่ แล้วผมก็แจ้งกับประกันฝั่งผมแล้วว่าคู่กรณีเมาแล้วขับด้วยนะก่อนที่ผมต้องแยกไปรพ.
เหตุการณ์ที่สภอ.ผมไม่ทราบ
สอบถามจากพ่อแม่ ได้คุยแค่ประกันฝั่งผม แจ้งสิทธิ์ แจ้งขั้นตอนทั่วไป ตรงนี้ผมไม่ได้คาดหวังเพราะพ่อแม่แก่แล้ว ตอนแรกแค่ต้องการให้มาเอารถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านไปก่อนเท่านั้น (ไม่นึกว่าอู่จะมารับรถเองด้วย) แล้วคู่กรณีมาขอโทษพ่อแม่ผมตอนจบ แล้วแยกย้ายกัน
ระหว่างที่ผมอยู่รพ.คู่กรณีก็คอยโทรบอกความคืบหน้าผม 2 ครั้งก่อนที่จะแยกย้ายกับฝั่งที่อยู่กันที่สภอ. ประกันฝั่งผมฝากใบลงบันทึกประจำวันมากับพ่อแม่ผมเพื่อให้รพ.เบิกพรบ. ผมถึงได้อ่านบันทึกประจำวันเนื้อความว่า คู่กรณีผมยอมรับผิดประมาทเปลี่ยนช่องทาง แล้วจะนัดตกลงกันภายหลัง ซึ่งไม่มีส่วนใดเขียนถึงอาการมึนเมา ผมเลยสงสัยโทรหาร้อยเวร ไม่รับสาย จึงต้องไปด้วยตนเองที่สภาพผ้าพันแผลเต็มตัว ขากางเกงขาดขานึง แต่ร้อยเวรที่เขียนบันทึกประจำวันไม่อยู่ ผมรอสักพัก จนได้โทรคุยกันแทน เขาถามว่าผมติดใจอะไรรึเปล่า คู่กรณียอมรับผิดชอบแล้ว เขาจะเป่าหรือไม่เป่าก็ไม่มีผลอะไรกับเรา เขารับผิดชอบเราอยู่แล้ว ผมก็บอกว่าพรุ่งนี้กลัวจะกลับคำเพราะตรวจไม่เจอแล้ว เขาก็ยืนยันเช่นเดิม ผมก็บอกเขาไปคู่กรณีขอผมไว้อย่าให้ถึงเป่า แต่ไม่คิดว่าการลงบันทึกประจำวันก็ไม่มีแม้แต่จะลงให้ผมเป็นหลักฐานสักนิด คุยทางโทรศัพท์เสร็จแล้วผมก็กลับ
ผมไม่ได้ต้องการให้เขาเสียการเสียงาน แต่กลัวเขาไม่รับผิดชอบ กลัวเขากลับคำ เพราะก่อนนี้ผมเคยขี่จักรยาน โดนแท๊กซี่แซงซ้ายมาชนผมที่ไหล่ทาง ผมมีแต่เสียเวลา เสียของ ได้ชดใช้มาก็ในราคาที่เราไปซื้อของเดิมมาใช้ไม่ได้ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องบาดเจ็บและยังต้องเสียของควักเนื้อจ่ายเองอีก
ถึงคำถามครับ
-เหตุการณ์ทั้งหมดผมพลาดแล้วหรือเปล่าที่ใจอ่อน ไม่ แข็งพอที่จะยืนยันให้เขากลับมาเป่า พอจะแก้ไขอะไรได้ไหม
-ประกันผมบอกให้เก็บหลักฐานต่างๆไปเบิกกับประกันคู่ กรณี อาจเป็นว่าประกันฝั่งเขาไม่ทราบว่าเขาเมาแล้วขับ
แต่ถ้าเมาแล้วขับประกันคู่กรณีก็ไม่รับผิดชอบผมด้วยรึเปล่า ตัวคู่กรณีต้องรับผิดชอบเองใช่ไหมครับ
-ประกันฝั่งผมทั้งที่ผมแจ้งแล้วคู่กรณีเมาแล้วขับแต่ไม่ทำ เรื่องต่อ ปกติไหมครับ หรือ ต้องการแค่ใครถูกผิดคือจบ ปิดเคสได้เลยเหรอครับ
-ร้อยเวรที่ลงบันทึกประจำวัน เห็นว่าคู่กรณีรับผิดชอบ แล้ว จึงไม่เป่าแอลกอฮอล์ คือขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ ครับ ไม่ใช่การช่วยเหลือกันอย่างที่พี่รถพ่วงบอกใช่ไหม
-มีอะไรแนะนำผมเพิ่มเติมด้วยครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเจรจาแล้ว ขอบคุณล่วงหน้าครับ