ซีรีย์เรื่องนี้ ประกาศความเป็นจ้าวแห่งละครรัก ที่เกาหลีทำได้
ยากที่ละครเอเชีย จีน และไทย จะเดินได้ทัน แม้จะมีพัฒนาการขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ คือ ผลงานที่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่ามาจากประเทศเจ้าของแบรนด์ชั้นนำ
ระดับโลกอย่างซัมซุง LG และแบรนด์เครื่องสำอางค์ชั้นนำอีกมากมาย
ซึ่งผสมผสานความเป็นตะวันตกและตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(เกาหลีใต้ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น
ส่งผลให้สองประเทศสัมพันธ์แนบแน่นทั้งทางธุรกิจและการศึกษา)
หลังจากดู Queen of Tears จบ รู้สึกว่า ... Soft Power ไทยจะสู้ไงไหว
การเดินเรื่อง Queen of Tears บท ที่คิดมาสองชั้นสามชั้น แต่ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ
ไม่ขาดจุดแข็ง คือ ความฟิน ความบันเทิง ที่มีตลอดเรื่อง
บทและการเล่าเรื่องผสมผสาน realistic, romantic, comedy, การสืบสวนสอบสวน
ว่ากันว่า เรื่องนี้อิงจากชีวิตจริง ของ Lee Boo Jin ทายาท Samsung
ซึ่งได้แต่งงานกับ Lim Woo Jae ผู้ชายซึ่งเป็นพนักงานในบริษัท
แต่เมื่อได้ดูแล้ว ต้องบอกว่า เป็นเพียงการนำข้อเท็จจริงมา "ประยุกต์" เป็นวัตถุดิบ
สร้างเรื่องราวความรักในบริบท หักเหลี่ยมในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับชาติ
ถ้าบ้านเรา ก็เครือชินวัตร CP เซนทรัล The Mall Group
ซึ่งต้องดูแลพนักงานหลักพันหลักหมื่นคน เป็นอาณาจักรธุรกิจที่ต้องปกครอง
แต่ตัวละครทั้งหมดกลับมีชีวิต ไม่ได้อิงกับคนจริง
ทำให้ไม่อาจเอาไปเคลมว่า ละครไปกระทบกับชีวิตจริงของใคร
บริษัทใด เพราะตัวละครมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ที่สำคัญคือ ผู้ชมรู้สึกเอาใจช่วยกลุ่มธุรกิจ Queen ในเรื่องที่ต้องเจอกับปัญหามากมาย
ประเด็นชนชั้นไม่ได้เป็นตัวกำหนด ว่าคนรวยต้องเลว คนจนต้องดี
ประสพการณ์ในอดีตและหน้าที่การงานมีส่วนกำหนดบุคลิกของเราในปัจจุบัน
ทำให้ผู้ชมได้สำรวจตัวเอง และสร้างสมดุลย์ใหม่ในชีวิตจริง
นอกจากนี้ ยังไม่เล่าแบบเส้นตรง linear ตามลำดับปี
แต่ใช้ flashback / การเล่าเรื่องย้อนไปย้อนมา สอดคล้องกับตีมความทรงจำ / การจำ - การลืม
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง สาเหตุที่ทำให้คนหมดรัก
คือ ความทรงจำใหม่เข้ามาทับซ้อนมากเรื่อยๆ จนความทรงจำเดิมอยู่ลึกเกินไป
ลุ้นกันว่า รักรีเทิร์น จะสำเร็จได้หรือไม่ เส้นทางนี้สวยงามอย่างไร
พระเอก ร้องไห้เก่ง แต่ก็ถูกจังหวะและสถานการณ์
เข้มแข็งได้ทุกเรื่อง แต่อ่อนโยนกับความรัก
ดังที่ที่ Kim Ji-won ผู้ที่เล่นบทนางเอกว่าไว้ เขามี
"ออร่าของผู้ชายซื่อๆ"
การร้องไห้ของผู้ชายแบบที่ทำให้ผู้หญิงอยากปลอบโยน
หล่อสมาร์ทในลุ๊คทนายความ ท่าทีสุภาพ ทุ่มเทให้งาน
การเป็นชนชั้นกลาง ทำให้พระเอกหมดโอกาสคุมเกมส์ในหลายๆช่วงวิกฤต
แต่ก็ได้เห็นความพยายาม ทำให้อยู่ในสถานะทางสังคม คือ upper middle class
ตั้งใจ ขยัน จนได้ระดับผู้เชี่ยวชาญ ทนาย เป็นบุคคลประเภทเดียวกับ หมอ นักบิน ผู้ตรวจสอบบัญชี
นางเอก ขึ้นกล้อง ใบหน้าทำให้งานภาพเป็นงานศิลปะ
เวลาร้องไห้ น้ำตาทำให้ดวงตางดงามเหมือนแก้วคริสตัล
แม้สายตานางเอกจะแข็ง มีลูกเล่น โนสนโนแคร์ สักเพียงไร
แต่สายตาที่มองแม่พระเอก คือ respect & connect
เป็นคนรู้กาละเทศะ แกร่งทางธุรกิจ ใจปั้ม มีจริตแต่ก็ดูน่ารัก
เมื่อเรื่องเดินเข้าสู่จุดวิกฤต นางเอกก็ดูเปราะบาง ผอม ซีด
แอบฮาการเสียดสี เช่น การสร้างตัวละครประจบสอพลอ 360 องศา
ปั้นหน้าเมื่อพูดต่อหน้าได้หลากหลาย โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
เพราะเป็นธรรมชาติของคนประเภทหนึ่ง
เรื่องได้นำเสนอจุดยืนของคนเหล่านี้ ก็คือ
เข้าหาฝ่ายใดก็ได้ที่มีอำนาจ และผลประโยชน์ให้
ประจบได้ครบทุกฝ่าย แม้แต่ วกกลับมาประจบฝ่ายเดิม
องค์ประกอบอย่างเครื่องแต่งกายก็ช่วยในการเล่า
นางเอกใส่หมวก แบรนด์ CELINE
แต่ไม่มีตัว C เล่าภาวะตกต่ำ ทรุดโทรม broken ในชีวิตนางเอกได้เป็นอย่างดี
และเข้ากับแบรนด์ คือ ความเป็น CELINE คือ ไม่ต้องเพอร์เฟ็ค
ไม่เหมาะกับคนโลกสวย บุคลิกแบบ CELINE คือ คล่องตัว เท่ห์ เป็นธรรมชาติ
อารมณ์ขุ่นๆ ได้ หน้าบูดได้ และอยู่ในโลกที่หมองมัวได้
อีกมุขที่น่ารักมากคือ ไดเป่าผม ความเก่าความเสื่อม ที่ต้องไปต่อ
เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ ขณะเดียวกัน สมจริง กับบ้านที่ต้องประหยัด
มุขที่ทำให้ซึ้งได้ คือ VDO call คุยๆ กับครอบครัว แล้วจอดับ แล้วได้ยินแค่เสียง
โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ ว่าเสียงพูดที่พูดกัน อีกฝ่ายยังได้ยิน แม้จอดับไปแล้ว
เป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นธรรมชาติ -- สำหรับเรา นี่คือ ซีนที่เจ๋งมาก
งานเขียนบท ระดับ "craft of writing" ถักทอมาอย่างดี มีซ่อนความหมาย
ต่อให้ดูซ้ำ ก็พบว่า บางประโยควางหมากไว้แล้ว ตั้งแต่ต้น
เช่น Keyword "อยู่ข้างๆ..." จะได้ยินตั้งแต่อีพีแรก
และ ตอนที่นางเอกบอกว่า "ถือเสียว่า ได้ฝันดีไม่กี่วัน" สื่อนัย
ว่า มีความหวังอยู่ไม่นาน ก็ได้ข่าวร้ายเสียแล้ว ก่อนตัดสินใจเลือกทางที่อันตราย
แม้แต่เรื่องเอาพลาสเต้อร์ติดแผล ซึ่งเราจะได้เห็นหลายตอน ที่ตัวละครมักติดแผลให้กัน
ก็นำมาสร้างสคริปต์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ได้
แทนที่จะรีบรักษา พวกเราก็ทำให้คนรักเจ็บ มันจึงสั่งสม
"...If we had applied ointment on time, disinfected our wounds,
and replaced our bandages every time, would things have been different?” – Baek Hyun Woo
คำพูดต่อแม่
“.... I realized that it was a lie to endure something out of love. You can’t endure it if you truly love someone.”
“ผมตระหนักว่า แม่พูดโกหก ว่าแม่ทนได้ (ที่ทิ้งผมไป) เพราะจริงๆแล้ว แม่จะทนไม่ได้ ถ้าแม่รักผมจริง"
และคำพูดนี้ก็เก๋
“It’s sunny. The clouds look pretty, and the birds are chirping.
T
his world is annoyingly beautiful. So of course, I want to live.”
พวก introvert เครียดง่าย ได้ยินได้เห็นอะไรนิดๆหน่อยๆก็เก็บคิด
ตัวละครกล่าวว่า แดดงาม ฟ้าสวย แล้วนกก็ดันร้องขึ้นมา
โลกใบนี้ช่างสวยงามอย่างน่ารำคาญ แต่ชั้นก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
คำพูดพวกนี้ ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในสังคมของคนเป็นโรคที่รอความตาย
คุณจะไม่รู้สึก ว่าผู้เขียนเก่งและถ่ายทอดได้ดี เราเคยได้ยินคนใกล้ตายคุยมา
เช่น "ดีแค่ไหน ที่ตื่นขึ้นมาเช้านี้ ยังได้เห็นดวงอาทิตย์"
มันช่าง simple แต่คนใกล้ตายกลับดีใจมาก
เพียงยังได้เห็นดวงอาทิตย์อีก 1 วัน
สรุป ภาพรวมคุณภาพ
1. การทำละครโรแมนติก ที่เริ่มต้นตรง 3 ปี หลังแต่งงาน ซึ่งเป็นช่วงที่ความรักกำลังเหือดแห้ง
แต่ก็ไม่ใช่แนวเมียน้อยเมียหลวง เรื่องราวความรักยังทำได้ละมุน โรแมนติก และสง่างาม
ซึ่งไม่ง่าย ในยุคสมัยที่คนหมดศรัทธาในชีวิตแต่งงาน
2. ทำได้เต็มความรู้สึก และความบันเทิง งานแนวนี้ อาจจะเหมือนหนังฝรั่ง หรือ หนังญี่ปุ่นอยู่บ้าง
แต่เกาหลีทำได้กินขาดในแง่ความเต็มเปี่ยมด้านความรู้สึก ความสวยงามของงานภาพ เสื้อผ้าหน้าผม
คุณภาพโปรดั๊กชั่นและทีมงาน ซึ่งทำให้ผู้ชมอยู่ในแอพได้นาน ด้วยลักษณะ "สาระที่เสพติดได้"
3. บทสนทนาของคนรัก เขียนได้ไม่เสี่ยวเลย มีการ develop การโต้ตอบ
แล้วจบด้วยประโยคกินใจ ทั้งสมจริง ทั้งให้ความหมายลึกซึ้ง บทพูดนางเอก-เลขานุการ
เป็นบทสนทนาที่สนุก สมจริง และแปลกใหม่
มีกลิ่นไอความเป็นเพื่อนนิดๆ แต่ก็มีชีวิตพนักงานแบบเลขาอยู่
4. การสร้างตัวละครทุกตัวให้มีทั้งมุมดี และมุมไม่ดี ไม่มีตัวละครใด ที่ล้มเหลว หรือ ทำถูกต้องตลอดเวลา
ในแบบที่สร้างมาจากบทสรุปเกี่ยวกับมนุษย์ที่แบบมองด้านเดียว ตัวละครทุกตัวน่าเห็นใจ มีจุดที่เราอธิบายได้ ว่า
ทำไม เขาคิดแบบนั้นและทำแบบนั้น ตัวละครแต่ละตัวทำให้เกิดอุปสรรคต่อเรื่อง และเป็นสายลมที่ขับเคลื่อนเรื่องราว
ดังนั้น เราจะเห็นพวกเขาคล้ายๆ คนจริง ที่มีทั้งช่วงชนะ ช่วงแพ้ ช่วงน่าเห็นใจ ช่วงได้ดั่งใจ ช่วงยากลำบาก
และช่วงที่สถานการณ์เป็นใจ
5. ความซับซ้อนของเรื่องราว ที่บรรจุลงในละครรัก ให้เห็นอุปสรรคหนักหนา ไม่อาจไว้ใจใครได้
ตัวละครถูกกระทำ แบบไม่มีคำว่าสงสาร เสกโชคชะตาที่ให้บทเรียนแก่ตัวละคร
โดยผู้เขียนคนเดียวกับที่เขียนเรื่อง Crash Landing on You
ซึ่งเคยตีแผ่สังคมเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ผ่านศิลปะ
เรื่องนี้ ตีแผ่การแบ่งชนชั้นในเกาหลีใต้ ใช้วิธีการเสียดสีที่ไม่แรง
แกะทุกรายละเอียด สร้างมุขเสียดสี/มุมมองขำๆ ทั้งคนรวยและคนจน คนแต่ละอาชีพ
เช่น ตอนน้องนางเอกอยากดื่มน้ำแร่ แล้วเถียงกันว่า น้ำแร่จากเทือกเขาไหนดี
หรือ ตอนที่นางเอก บ่นว่าซื้อเกาะไว้ แต่ยังไม่ได้ (มีเวลา) ไปพักเลย
ทั้งหมดนี้ คนทำละครไทย น่าจะนำคิดต่อ บ้านเราไม่ค่อยตั้งราคาให้กับนักเขียนบท
ที่จะทำให้เรื่องบรรจุกลเม็ดหลายด้าน ทั้งอารมณ์ ข้อมูล และปรัชญาความคิด
ส่วนนักแสดง และผู้กำกับ คนไทย มีความพร้อมด้านฝีมือ ไม่ได้เป็นจุดอ่อน
เราไม่ได้ดูถูกละครพาฝัน แต่งานพาฝัน ที่ทำได้ชั้นเลิศ แบบไม่ลักลั่น ก็ประสพความสำเร็จได้
คนดูดูเรื่องนี้แล้วได้อะไรบ้าง
ข้อ 1. ครอบครัว อาจเป็นพื้นที่ความเครียด จริงๆ เชื่อกันว่า ครอบครัวเป็นพื้นที่ safe zone
ให้มนุษย์ได้เป็นมนุษย์ แต่การใส่คำว่า หน้าที่ และการเปลี่ยนลูกหลานให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจเพียงมิติเดียว
สร้างผลกระทบให้ชีวิตและสังคมยุคใหม่มากพอสมควร ในระดับอันตรายถึงชีวิต
ข้อ 2. ความเครียด และ ขาดความสามารถด้านความสัมพันธ์
ทำให้เรื่องนี้ให้แนวคิดสำคัญสำหรับสังคมปัจจุบัน
และจุดแข็งที่สำคัญคือ ทำงานกับความรู้สึกของผู้ชม
สังคมปัจจุบัน การทำงานกินเวลาเกือบทุก ชม ของชีวิต
แม้แต่ตามไปหาเราในฝัน
คนเชื่อมั่นในชีวิตแต่งงานน้อยลง
บ้างก็เลือกที่จะมีความสัมพันธ์แบบไม่ต้องแต่งงาน
หรือ เลือกที่จะไม่มีความสัมพันธ์ระยะยาว เพื่อลดความเบื่อหน่าย
มาถึงเรื่องนี้ ความรักอาจจะเกิดจากเคมีทางฮอร์โมนชั่วคราวก็จริง
แต่ความสัมพันธ์ในระยะยาว
มนุษย์ ต้องใช้ความอ่อนโยน ความน่าภาคภูมิใจ ความเสียสละอย่างมาก
และรักษาสัญญา "อยู่ข้างๆกันตลอดไป" ซึ่งเป็นปรัชญาของชีวิตคู่ ที่ซีรีย์นำเสนอ
จะได้ผลหรือไม่ ก็ไม่ง่ายอย่างที่พูดๆกัน
ข้อ 3. ปล่อยให้เป็นพื้นที่ feedback จากคอมเม้นท์ มาแชร์กัน โปรดอย่าสปอย โต้งๆ เกินไป ขอให้ใช้ภาษาหลีกเลี่ยง
การบอกคำตอบหลายอย่างซึ่งมีเฉลยในเรื่อง เพื่อให้ผู้ที่จะได้รับชมซีรีย์ ไม่เสียอรรถรส
Queen of Tears ซีรีย์เกาหลี... Love Story ระดับพรีเมี่ยม
ยากที่ละครเอเชีย จีน และไทย จะเดินได้ทัน แม้จะมีพัฒนาการขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ คือ ผลงานที่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่ามาจากประเทศเจ้าของแบรนด์ชั้นนำ
ระดับโลกอย่างซัมซุง LG และแบรนด์เครื่องสำอางค์ชั้นนำอีกมากมาย
ซึ่งผสมผสานความเป็นตะวันตกและตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(เกาหลีใต้ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น
ส่งผลให้สองประเทศสัมพันธ์แนบแน่นทั้งทางธุรกิจและการศึกษา)
หลังจากดู Queen of Tears จบ รู้สึกว่า ... Soft Power ไทยจะสู้ไงไหว
การเดินเรื่อง Queen of Tears บท ที่คิดมาสองชั้นสามชั้น แต่ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ
ไม่ขาดจุดแข็ง คือ ความฟิน ความบันเทิง ที่มีตลอดเรื่อง
บทและการเล่าเรื่องผสมผสาน realistic, romantic, comedy, การสืบสวนสอบสวน
ว่ากันว่า เรื่องนี้อิงจากชีวิตจริง ของ Lee Boo Jin ทายาท Samsung
ซึ่งได้แต่งงานกับ Lim Woo Jae ผู้ชายซึ่งเป็นพนักงานในบริษัท
แต่เมื่อได้ดูแล้ว ต้องบอกว่า เป็นเพียงการนำข้อเท็จจริงมา "ประยุกต์" เป็นวัตถุดิบ
สร้างเรื่องราวความรักในบริบท หักเหลี่ยมในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับชาติ
ถ้าบ้านเรา ก็เครือชินวัตร CP เซนทรัล The Mall Group
ซึ่งต้องดูแลพนักงานหลักพันหลักหมื่นคน เป็นอาณาจักรธุรกิจที่ต้องปกครอง
แต่ตัวละครทั้งหมดกลับมีชีวิต ไม่ได้อิงกับคนจริง
ทำให้ไม่อาจเอาไปเคลมว่า ละครไปกระทบกับชีวิตจริงของใคร
บริษัทใด เพราะตัวละครมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ที่สำคัญคือ ผู้ชมรู้สึกเอาใจช่วยกลุ่มธุรกิจ Queen ในเรื่องที่ต้องเจอกับปัญหามากมาย
ประเด็นชนชั้นไม่ได้เป็นตัวกำหนด ว่าคนรวยต้องเลว คนจนต้องดี
ประสพการณ์ในอดีตและหน้าที่การงานมีส่วนกำหนดบุคลิกของเราในปัจจุบัน
ทำให้ผู้ชมได้สำรวจตัวเอง และสร้างสมดุลย์ใหม่ในชีวิตจริง
นอกจากนี้ ยังไม่เล่าแบบเส้นตรง linear ตามลำดับปี
แต่ใช้ flashback / การเล่าเรื่องย้อนไปย้อนมา สอดคล้องกับตีมความทรงจำ / การจำ - การลืม
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง สาเหตุที่ทำให้คนหมดรัก
คือ ความทรงจำใหม่เข้ามาทับซ้อนมากเรื่อยๆ จนความทรงจำเดิมอยู่ลึกเกินไป
ลุ้นกันว่า รักรีเทิร์น จะสำเร็จได้หรือไม่ เส้นทางนี้สวยงามอย่างไร
พระเอก ร้องไห้เก่ง แต่ก็ถูกจังหวะและสถานการณ์
เข้มแข็งได้ทุกเรื่อง แต่อ่อนโยนกับความรัก
ดังที่ที่ Kim Ji-won ผู้ที่เล่นบทนางเอกว่าไว้ เขามี
"ออร่าของผู้ชายซื่อๆ"
การร้องไห้ของผู้ชายแบบที่ทำให้ผู้หญิงอยากปลอบโยน
หล่อสมาร์ทในลุ๊คทนายความ ท่าทีสุภาพ ทุ่มเทให้งาน
การเป็นชนชั้นกลาง ทำให้พระเอกหมดโอกาสคุมเกมส์ในหลายๆช่วงวิกฤต
แต่ก็ได้เห็นความพยายาม ทำให้อยู่ในสถานะทางสังคม คือ upper middle class
ตั้งใจ ขยัน จนได้ระดับผู้เชี่ยวชาญ ทนาย เป็นบุคคลประเภทเดียวกับ หมอ นักบิน ผู้ตรวจสอบบัญชี
นางเอก ขึ้นกล้อง ใบหน้าทำให้งานภาพเป็นงานศิลปะ
เวลาร้องไห้ น้ำตาทำให้ดวงตางดงามเหมือนแก้วคริสตัล
แม้สายตานางเอกจะแข็ง มีลูกเล่น โนสนโนแคร์ สักเพียงไร
แต่สายตาที่มองแม่พระเอก คือ respect & connect
เป็นคนรู้กาละเทศะ แกร่งทางธุรกิจ ใจปั้ม มีจริตแต่ก็ดูน่ารัก
เมื่อเรื่องเดินเข้าสู่จุดวิกฤต นางเอกก็ดูเปราะบาง ผอม ซีด
แอบฮาการเสียดสี เช่น การสร้างตัวละครประจบสอพลอ 360 องศา
ปั้นหน้าเมื่อพูดต่อหน้าได้หลากหลาย โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
เพราะเป็นธรรมชาติของคนประเภทหนึ่ง
เรื่องได้นำเสนอจุดยืนของคนเหล่านี้ ก็คือ
เข้าหาฝ่ายใดก็ได้ที่มีอำนาจ และผลประโยชน์ให้
ประจบได้ครบทุกฝ่าย แม้แต่ วกกลับมาประจบฝ่ายเดิม
องค์ประกอบอย่างเครื่องแต่งกายก็ช่วยในการเล่า
นางเอกใส่หมวก แบรนด์ CELINE
แต่ไม่มีตัว C เล่าภาวะตกต่ำ ทรุดโทรม broken ในชีวิตนางเอกได้เป็นอย่างดี
และเข้ากับแบรนด์ คือ ความเป็น CELINE คือ ไม่ต้องเพอร์เฟ็ค
ไม่เหมาะกับคนโลกสวย บุคลิกแบบ CELINE คือ คล่องตัว เท่ห์ เป็นธรรมชาติ
อารมณ์ขุ่นๆ ได้ หน้าบูดได้ และอยู่ในโลกที่หมองมัวได้
อีกมุขที่น่ารักมากคือ ไดเป่าผม ความเก่าความเสื่อม ที่ต้องไปต่อ
เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ ขณะเดียวกัน สมจริง กับบ้านที่ต้องประหยัด
มุขที่ทำให้ซึ้งได้ คือ VDO call คุยๆ กับครอบครัว แล้วจอดับ แล้วได้ยินแค่เสียง
โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ ว่าเสียงพูดที่พูดกัน อีกฝ่ายยังได้ยิน แม้จอดับไปแล้ว
เป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นธรรมชาติ -- สำหรับเรา นี่คือ ซีนที่เจ๋งมาก
งานเขียนบท ระดับ "craft of writing" ถักทอมาอย่างดี มีซ่อนความหมาย
ต่อให้ดูซ้ำ ก็พบว่า บางประโยควางหมากไว้แล้ว ตั้งแต่ต้น
เช่น Keyword "อยู่ข้างๆ..." จะได้ยินตั้งแต่อีพีแรก
และ ตอนที่นางเอกบอกว่า "ถือเสียว่า ได้ฝันดีไม่กี่วัน" สื่อนัย
ว่า มีความหวังอยู่ไม่นาน ก็ได้ข่าวร้ายเสียแล้ว ก่อนตัดสินใจเลือกทางที่อันตราย
แม้แต่เรื่องเอาพลาสเต้อร์ติดแผล ซึ่งเราจะได้เห็นหลายตอน ที่ตัวละครมักติดแผลให้กัน
ก็นำมาสร้างสคริปต์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ได้
แทนที่จะรีบรักษา พวกเราก็ทำให้คนรักเจ็บ มันจึงสั่งสม
"...If we had applied ointment on time, disinfected our wounds,
and replaced our bandages every time, would things have been different?” – Baek Hyun Woo
คำพูดต่อแม่
“.... I realized that it was a lie to endure something out of love. You can’t endure it if you truly love someone.”
“ผมตระหนักว่า แม่พูดโกหก ว่าแม่ทนได้ (ที่ทิ้งผมไป) เพราะจริงๆแล้ว แม่จะทนไม่ได้ ถ้าแม่รักผมจริง"
และคำพูดนี้ก็เก๋
“It’s sunny. The clouds look pretty, and the birds are chirping.
This world is annoyingly beautiful. So of course, I want to live.”
พวก introvert เครียดง่าย ได้ยินได้เห็นอะไรนิดๆหน่อยๆก็เก็บคิด
ตัวละครกล่าวว่า แดดงาม ฟ้าสวย แล้วนกก็ดันร้องขึ้นมา
โลกใบนี้ช่างสวยงามอย่างน่ารำคาญ แต่ชั้นก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
คำพูดพวกนี้ ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในสังคมของคนเป็นโรคที่รอความตาย
คุณจะไม่รู้สึก ว่าผู้เขียนเก่งและถ่ายทอดได้ดี เราเคยได้ยินคนใกล้ตายคุยมา
เช่น "ดีแค่ไหน ที่ตื่นขึ้นมาเช้านี้ ยังได้เห็นดวงอาทิตย์"
มันช่าง simple แต่คนใกล้ตายกลับดีใจมาก
เพียงยังได้เห็นดวงอาทิตย์อีก 1 วัน
สรุป ภาพรวมคุณภาพ
1. การทำละครโรแมนติก ที่เริ่มต้นตรง 3 ปี หลังแต่งงาน ซึ่งเป็นช่วงที่ความรักกำลังเหือดแห้ง
แต่ก็ไม่ใช่แนวเมียน้อยเมียหลวง เรื่องราวความรักยังทำได้ละมุน โรแมนติก และสง่างาม
ซึ่งไม่ง่าย ในยุคสมัยที่คนหมดศรัทธาในชีวิตแต่งงาน
2. ทำได้เต็มความรู้สึก และความบันเทิง งานแนวนี้ อาจจะเหมือนหนังฝรั่ง หรือ หนังญี่ปุ่นอยู่บ้าง
แต่เกาหลีทำได้กินขาดในแง่ความเต็มเปี่ยมด้านความรู้สึก ความสวยงามของงานภาพ เสื้อผ้าหน้าผม
คุณภาพโปรดั๊กชั่นและทีมงาน ซึ่งทำให้ผู้ชมอยู่ในแอพได้นาน ด้วยลักษณะ "สาระที่เสพติดได้"
3. บทสนทนาของคนรัก เขียนได้ไม่เสี่ยวเลย มีการ develop การโต้ตอบ
แล้วจบด้วยประโยคกินใจ ทั้งสมจริง ทั้งให้ความหมายลึกซึ้ง บทพูดนางเอก-เลขานุการ
เป็นบทสนทนาที่สนุก สมจริง และแปลกใหม่
มีกลิ่นไอความเป็นเพื่อนนิดๆ แต่ก็มีชีวิตพนักงานแบบเลขาอยู่
4. การสร้างตัวละครทุกตัวให้มีทั้งมุมดี และมุมไม่ดี ไม่มีตัวละครใด ที่ล้มเหลว หรือ ทำถูกต้องตลอดเวลา
ในแบบที่สร้างมาจากบทสรุปเกี่ยวกับมนุษย์ที่แบบมองด้านเดียว ตัวละครทุกตัวน่าเห็นใจ มีจุดที่เราอธิบายได้ ว่า
ทำไม เขาคิดแบบนั้นและทำแบบนั้น ตัวละครแต่ละตัวทำให้เกิดอุปสรรคต่อเรื่อง และเป็นสายลมที่ขับเคลื่อนเรื่องราว
ดังนั้น เราจะเห็นพวกเขาคล้ายๆ คนจริง ที่มีทั้งช่วงชนะ ช่วงแพ้ ช่วงน่าเห็นใจ ช่วงได้ดั่งใจ ช่วงยากลำบาก
และช่วงที่สถานการณ์เป็นใจ
5. ความซับซ้อนของเรื่องราว ที่บรรจุลงในละครรัก ให้เห็นอุปสรรคหนักหนา ไม่อาจไว้ใจใครได้
ตัวละครถูกกระทำ แบบไม่มีคำว่าสงสาร เสกโชคชะตาที่ให้บทเรียนแก่ตัวละคร
โดยผู้เขียนคนเดียวกับที่เขียนเรื่อง Crash Landing on You
ซึ่งเคยตีแผ่สังคมเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ผ่านศิลปะ
เรื่องนี้ ตีแผ่การแบ่งชนชั้นในเกาหลีใต้ ใช้วิธีการเสียดสีที่ไม่แรง
แกะทุกรายละเอียด สร้างมุขเสียดสี/มุมมองขำๆ ทั้งคนรวยและคนจน คนแต่ละอาชีพ
เช่น ตอนน้องนางเอกอยากดื่มน้ำแร่ แล้วเถียงกันว่า น้ำแร่จากเทือกเขาไหนดี
หรือ ตอนที่นางเอก บ่นว่าซื้อเกาะไว้ แต่ยังไม่ได้ (มีเวลา) ไปพักเลย
ทั้งหมดนี้ คนทำละครไทย น่าจะนำคิดต่อ บ้านเราไม่ค่อยตั้งราคาให้กับนักเขียนบท
ที่จะทำให้เรื่องบรรจุกลเม็ดหลายด้าน ทั้งอารมณ์ ข้อมูล และปรัชญาความคิด
ส่วนนักแสดง และผู้กำกับ คนไทย มีความพร้อมด้านฝีมือ ไม่ได้เป็นจุดอ่อน
เราไม่ได้ดูถูกละครพาฝัน แต่งานพาฝัน ที่ทำได้ชั้นเลิศ แบบไม่ลักลั่น ก็ประสพความสำเร็จได้
คนดูดูเรื่องนี้แล้วได้อะไรบ้าง
ข้อ 1. ครอบครัว อาจเป็นพื้นที่ความเครียด จริงๆ เชื่อกันว่า ครอบครัวเป็นพื้นที่ safe zone
ให้มนุษย์ได้เป็นมนุษย์ แต่การใส่คำว่า หน้าที่ และการเปลี่ยนลูกหลานให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจเพียงมิติเดียว
สร้างผลกระทบให้ชีวิตและสังคมยุคใหม่มากพอสมควร ในระดับอันตรายถึงชีวิต
ข้อ 2. ความเครียด และ ขาดความสามารถด้านความสัมพันธ์
ทำให้เรื่องนี้ให้แนวคิดสำคัญสำหรับสังคมปัจจุบัน
และจุดแข็งที่สำคัญคือ ทำงานกับความรู้สึกของผู้ชม
สังคมปัจจุบัน การทำงานกินเวลาเกือบทุก ชม ของชีวิต
แม้แต่ตามไปหาเราในฝัน
คนเชื่อมั่นในชีวิตแต่งงานน้อยลง
บ้างก็เลือกที่จะมีความสัมพันธ์แบบไม่ต้องแต่งงาน
หรือ เลือกที่จะไม่มีความสัมพันธ์ระยะยาว เพื่อลดความเบื่อหน่าย
มาถึงเรื่องนี้ ความรักอาจจะเกิดจากเคมีทางฮอร์โมนชั่วคราวก็จริง
แต่ความสัมพันธ์ในระยะยาว
มนุษย์ ต้องใช้ความอ่อนโยน ความน่าภาคภูมิใจ ความเสียสละอย่างมาก
และรักษาสัญญา "อยู่ข้างๆกันตลอดไป" ซึ่งเป็นปรัชญาของชีวิตคู่ ที่ซีรีย์นำเสนอ
จะได้ผลหรือไม่ ก็ไม่ง่ายอย่างที่พูดๆกัน
ข้อ 3. ปล่อยให้เป็นพื้นที่ feedback จากคอมเม้นท์ มาแชร์กัน โปรดอย่าสปอย โต้งๆ เกินไป ขอให้ใช้ภาษาหลีกเลี่ยง
การบอกคำตอบหลายอย่างซึ่งมีเฉลยในเรื่อง เพื่อให้ผู้ที่จะได้รับชมซีรีย์ ไม่เสียอรรถรส