สืบสันดาน บทสรุปฉบับ psycho_factory

ไข่มุกนั่งหัวโต๊ะในห้องประชุมบริษัทเทวาเจ็มส์ เธอแต่งตัวในชุดทำงานทั่วไป ไร้รัศมีผู้ถือหุ้นหนึ่งเดียวของบริษัท ผู้บริหารระดับสูงทุกคนในบริษัทนั่งในโต๊ะเดียวกัน ผู้บริหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์
 
             “ผลกระทบจากการที่เราไม่ได้เซ็นสัญญากับคาร์ลอส ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับบริษัทของเรา ถึงเราจะไม่ได้สัมปทานจากเหมืองนั้นเราก็ยังมีคู่ค้าอีกหลายเจ้า แต่ว่าข่าวเรื่องการยกเลิกสัญญาอย่างกระทันหันแม้ว่าสัญญานี้ใกล้จะบรรลุแล้ว นั่นทำให้คู่ค้าของเราต่างลดความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจร่วมกับเรา”
 
             เสียงพูดหยุดนิ่ง สายตาเกือบทุกคู่ในห้องประชุมย้ายจากเจ้าของน้ำเสียง เปลี่ยนมาจับจ้องมาที่ประธานบริษัท
 
             “เสียหายมากแค่ไหน”
 
             ไข่มุกพูดโดยไม่สบตากับใคร ผู้บริหารคนแรกหันไปสบตาส่งสัญญาณให้ผู้บริหารอีกคน ผู้บริหารอีกคนเริ่มพูด
 
             “อาจทำให้มูลค่าบริษัทของเราตกลงไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ครับ”
 
             บรรยากาศความนิ่งเงียบแผ่ขยายไปทั่วห้อง ไข่มุกนั่งนิ่งเหมือนคิดอะไร คนภายนอกอาจคิดว่าเธอหมกมุ่นอยู่กับความคิดเรื่องธุรกิจ แต่ความจริงแล้วเธอคิดถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้น คืนที่เธออาจเพลี่ยงพล้ำให้ชายต่างชาติ การถูกมาวินบังคับให้ไปกับคู่ค้ารายใหม่เป็นอะไรที่ไม่อยู่ในแผน แต่ในเวลานั้นหากมีการขัดขืนและไม่ยอมเล่นตามน้ำไปก่อนอาจทำให้เธอไม่ได้มานั่งในจุดนี้ ตรงนี้
 
             บางทีแล้วเพราะเหตุการณ์นั้นทำให้เธอไม่รู้สึกผิดอะไรเลยกับเรื่องที่เธอทำมา
 
             ผู้บริหารระดับสูงคนแรกเริ่มพูดอีกครั้ง ท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาทำให้รู้เจ้าตัวรู้ว่าพูดอะไรออกไปก็ไม่มีประโยชน์
 
             “และนี่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดในประเทศและต่างประเทศที่มีอยู่ ซึ่งมีโอกาสที่จะเสียไป”
 
             ผู้พูดนิ่งไปชั่วครู่ เขาเปิดดูตัวเลขในเอกสารก่อนจะพูดต่อ
 
             “ไม่ต้องพูดถึงตลาดใหม่ที่เรายังไม่มีแผนจะสร้าง เราคงกินบุญเก่าได้อีกไม่นาน”
 
             ในห้องประชุมมีเสียงซุบซิบอื้ออึง อาจเป็นเพราะประโยคสุดท้ายจากคำพูดของผู้บริหาร
 
             “แล้วลูกค้าที่คุณมาวินเคยติดต่อด้วยล่ะ”
 
             ไข่มุกถาม
 
             ผู้บริหารอีกคนที่นั่งท้าย ๆ โต๊ะลุกขึ้นตอบ
 
             “คนที่เข้าถึงเหล่าไฮโซและคนมีชื่อเสียงได้นั้นมีเพียงแค่คุณมาวินและเจ้าสัวเพียงแค่สองคนเท่านั้นครับ ลูกค้าของเราที่ยอมจ่ายเงินมากกว่ามูลค่าของสินค้าหลายเท่าตัวเขาย่อมอยากได้ความเคารพนับถือจากเจ้าของสินค้าด้วย มีเพียงคุณมาวินและเจ้าสัวเท่านั้นที่ทำตรงนี้ได้”
 
             ไข่มุกไม่แสดงอาการใด ๆ ต่อวิกฤตในบริษัท ความนิ่งเงียบงันนั้นดูไม่ออกว่าเพราะไม่ใส่ใจหรือมีแผนธุรกิจที่เตรียมไว้แล้ว
 
             “แล้วแผนการตลาดของคุณภูพัฒน์ ไม่มีใครทำต่อได้เลยหรือ”
 
             ทุกคนในห้องต่างตกใจ ไม่มีใครคิดว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของหัวเรือใหญ่สุดในบริษัท บรรยากาศในห้องประชุมจึงเงียบไป
 
             
             ไข่มุกเดินลงตึกผ่านหลายสายตา พนักงานสองคนซุบซิบกันในมุมหนึ่ง
 
             “คงถึงคราวที่เรือแตก”
 
             พนักงานคนแรกพูด
 
             “ได้ยินมาว่าหัวหน้าบางคนเริ่มถอดใจแล้ว”
 
             พนักงานคนที่สองตอบ
 
             “คงอย่างนั้น ออกไอเดียอะไรไปก็ไม่มีคนอนุมัติ”
 
             “ทุกคนคงใส่เกียร์ว่างกันหมด”
 
             “ไม่ทุกคนหรอก” ผู้พูดหันซ้ายแลขวาก่อนจะพูดต่อ “มีข่าววงในหลุดลอดมาว่าผู้บริหารบางคนเริ่มเอาข้อมูลภายในไปขาย ข้อมูลลูกค้ากระเป๋าหนักเอย ข้อมูลแหล่งเพชรพลอยที่เป็นความลับทางธุรกิจ สถานที่เจียระไนเพชรที่เคยเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้”
 
             “อย่างนี้ไม่น่ารอด”
 
             “อย่างน้อยถ้าหนึ่งในสามยังกุมบังเหียนในบริษัทอยู่ บริษัทไม่ดิ่งลงเหวแบบนี้หรอก คงไม่มีใครกล้าทำเรื่องไม่ดีในนี้”
 
             “จริง”
 
             พนักงานทั้งสองส่ายหน้ารับไม่ได้กับเรื่องราวนี้ สายตาของทั้งคู่เห็นภาพรถตู้สีดำจอดหน้าตึก พนักงานรักษาความปลอดภัยเปิดประตูรถให้เมื่อเห็นนายใหญ่เดินมา
 
             
             ไข่มุกก้าวขาขึ้นรถ ประตูรถถูกปิดเสียงเฮดังลั่นรถ ที่แท้เป็นเสียงป้ายุพิน แก้วและอดีตคนใช้อีกสามคนที่ติดตามมาด้วย ทั้งหมดมีอาการเมามาย ขวดไวน์เปล่ากลิ้งเต็มพื้นรถ ผู้มาใหม่พยายามปิดบังสีหน้าแสดงความระอากับภาพตรงหน้า เธอได้แต่หันไปส่งยิ้มให้โจ๊กในตำแหน่งคนขับรถ และบีที่นั่งเบาะข้างคนขับ
 
             “พวกนี้กินกันมาตั้งแต่กี่โมงแล้ว”
 
             ไข่มุกถามบี
 
             “ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ”
 
             “เมาแล้วก็อยู่บ้านสิป้า จะออกทำไม”
 
             ไข่มุกหันไปคุยกับยุพิน
 
             “อยู่บ้านมายี่สิบกว่าปี ขอออกมาข้างนอกบ้างสิโว้ย” ยุพินน้ำเสียงเมา แต่ยิ่งทำให้เธอพูด “งั้นพรุ่งนี้ข้าจะตามเข้าไปที่บริษัทด้วยดีกว่า เดินไปให้คนไหว้ ให้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร”
 
             สิ้นเสียงยุพิน เสียงเฮดังลั่น
 
             “เอ้อ ว่าแต่วันนี้ที่บริษัทเป็นอย่างไรบ้าง”
 
             ยุพินถาม ไข่มุกทำสีหน้าเหนื่อยล้า
 
             “เหมือนไม่มีใครทำอะไรเป็นเลย ขาดท่านเจ้าสัว คุณมาวิน คุณภูพัฒน์ไปแล้วไม่มีใครทำอะไรเป็นเลย ต่อไปคงได้แต่กินบุญเก่าไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่”
 
             ยุพินได้ยินดังนั้นเธอทำสีหน้าครุ่นคิด แต่สักพักก็กลับมาทำเป็นอารมณ์ดีอีกครั้ง
 
             “ช่างหัวบุญเก่ามันปะไร เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมา จะหมดก็หมดไป จะเหนื่อยรักษามันทำไม”
 
             คำพูดของยุพินเรียกเสียงเฮจากทั้งรถ ยกเว้นไข่มุก บีและโจ๊ก แก้วในอาการเมามายไม่ต่างกันกับยุพินลุกขึ้นนั่งหลังตรง ก่อนจะยื่นหน้ามาทางไข่มุก
 
             “บุญบริษัทจะหมด พนักงานจะตกงานก็ช่างหัวมัน แต่บุญของเราไม่มีวันหมด ยังไงพวกเราก็ได้เงินเดือนเท่าเดิมนะ” 
 
             ทุกคนเฮ
 
             
             คฤหาสไร้การดูแล สนามหญ้ากว้างใหญ่ที่เคยเรียบกริบตอนนี้หญ้าขึ้นสูงไม่ต่างจากป่า พื้นบ้านเหนียวไร้การเช็ดถูไม่ต่างอะไรกับถนนกลางแจ้ง ดูเหมือนว่าทุกคนจะเคยชินกับสภาพบ้านสกปรก พวกขี้เมากลับไปนอนในห้องพักของตัวเอง ยุพินจับจองห้องนอนของภูพัฒน์ ในขนะที่แก้วยึดห้องมาวินไปครองโดยไม่มีเสียงคัดค้านจากใคร บีและโจ๊กเข้าไปพักอาศัยอยู่ในห้องของคีตา ส่วนห้องของชัตเตอร์ถูกจับจองโดยพวกเหล่าพ่อครัว อดีตคนใช้คนอื่น ๆ ก็พักอยู่ห้องเดิม
 
             ตกดึกไข่มุกเข้ามาหาบีที่ห้อง
 
             “มันเริ่มจะวุ่นวายเกินกว่าที่จะควบคุมได้แล้ว”
 
             ไข่มุกพูด
 
             “เรื่องบ้านเหรอ จ้างคนมาทำความสะอาดก็ได้”
 
             บีตอบเรียบ ๆ 
 
             “นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ดูพวกเราสิ ป้ายุพินก็มาดีแตกตอนแก่ แก้วก็เละเทะกว่าเก่า ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่ทำอะไรเลย” คนพูดหยุดคิดอะไรในหัวชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “เงินที่จ่ายให้ทุกคนเท่าเดิมเหมือนเคยที่ได้รับ ก็เหมือนกับให้เปล่า”
 
             ไข่มุกหันมามองหน้าคนพูดตัดพ้อ
 
             “พวกเขาก็สมควรได้ไหม ทุกคนก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ ทุกคนเคยแบกรับอารมณ์เจ้าของบ้าน ก็ต้องได้อะไรตอบแทนให้สมน้ำสมเนื้อ ถ้าจะให้ทุกคนออกไปโดยไม่ได้อะไรเลยจากเรื่องนี้ฉันคงทำไม่ได้หรอก”
 
             ใจหนึ่งบีก็ยอมรับให้เหตุผล เธอแสดงออกทางแววตาว่าไม่ขัดอะไรกับเรื่องนี้ ชั่วครู่หนึ่งเธอกุมนิ้วมือที่เคยมีบาดแผลและเข้าใจถึงความเจ็บปวดของทุกคนในบ้านหลังนี้
 
             “ฉันกับพี่โจ๊กคิดว่าจะออกจากบ้านหลังนี้แล้ว”
 
             เป็นไข่มุกที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
 
             “ทำไมล่ะ”
 
             บีลุกขึ้นพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงจันทร์สว่าง
 
             “ไม่รู้สิ ฉันว่าสภาพที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่ท่านเจ้าสัว คุณภูพัฒน์ คุณมาวินอยู่ในบ้านหลังนี้อีก อย่างน้อยในตอนนั้นเราก็ยังคุณค่า แม้จะถูกโขกสับแต่เราก็รู้ว่าเรามีจุดหมาย”
 
             “แล้วเรื่องเงินล่ะ”
 
             ผู้ถูกถามยังไม่ตอบทันที เว้นวรรคช่วงหนึ่งก่อนจะให้เหตุผล
 
             “เรื่องเงินมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ทุกวันนี้คิดดูสิเรากลายเป็นคนเลวที่ไม่ต่างอะไรจากเจ้านายเก่าของเราเลย”
 
             “แล้วจะไปทำอะไร”
 
             “ฉันกับพี่โจ๊กมีเงินเก็บมากพอที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ จะได้มีอะไรเป็นของตัวเอง ได้ตัดสินใจเอง”
 
             “ฉันเคารพการตัดสินใจของบีนะ ก่อนออกไปเอาเงินไปสักก่อนสิ เพื่อไปตั้งตัว”
 
             ผู้ฟังหันมายิ้มให้ทางต้นเสียง บีทำสีหน้าขอบใจต่อความห่วงใยที่เพื่อนมอบให้ แต่เธอกลับส่ายหน้า
 
             “ต่อไปนี้มันคงจะหนักมากนะไข่มุก บางทีมันคงไม่ได้จบสวยเหมือนอย่างที่เธอคิดไว้หรอก มันเป็นสมบัติเลือด แค่คิดจะรักษาไว้อาจจะต้องแลกด้วยทั้งชีวิตของเธอ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่