มหาเถรสมาคม สำนักพุทธฯ กับการทำผิดพระวินัยของพระ

จุดที่ผมตั้งข้อสังเกตคือสิ่งที่พระทั้งประเทศทำ

1.พระรับเงิน ซึ่งขัดต่อพระวินัย
2.น้ำปานะ ถูกตีความเป็นอะไรที่เป็นของเหลวเป็นน้ำๆ คือน้ำปานะหมด ซึ่งตามพระไตรปิฎก มีแค่ 8 อย่างคือ
    
  1. อมฺพปานํ น้ำมะม่วง
  2. ชมฺพุปานํ น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า
  3. โจจปานํ น้ำกล้วยมีเม็ด
  4. โมจปานํ น้ำกล้วยไม่มีเม็ด
  5. มธุกปานํ น้ำมะทราง (ต้องเจือน้ำจึงจะควร)
  6. มุทฺทิกปานํ น้ำลูกจันทร์หรือองุ่น
  7. สาลุกปานํ น้ำเหง้าอุบล
  8. ผารุสกปานํ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่

โดยที่ทั้งหมดนี้ห้ามทำให้สุกด้วยไฟ(ห้ามก่อไฟ จุดไฟต้ม) แต่ทำให้สุกด้วยแดดได้

ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าพระทั้งประเทศละเมิดวินัยข้อเหล่านี้

โอเคแหละว่าหลายคนจะมองว่าถ้ายึดตามพระไตรปิฎกจะดูเคร่งเกินไป ถ้าเคร่งเกินไปก็ไม่ดี แต่อย่างไรก็แล้วแต่หากจะมีการลดหย่อนมันก็ควรจะมีคำอธิบาย หรือประกาศจากคณะสงฆ์อย่างชัดเจน ว่าพระวินัยนั้นจะสามารถยืดหยุ่นได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งมหาเถรสมาคมก็ควรจะมีหนังสือออกมาอธิบายให้ชัดเจน เพราะไม่อย่างงั้นคณะสงฆ์เราก็จะทะเลาะกันอย่างนี้ไม่จบสิ้น ก็จะแตกออกเป็นหลายสำนักมากขึ้นอีก

แต่ที่เห็นในปัจจุบันพระต่างสำนักทะเลาะกันเรื่องการรับเงิน สำนักหนึ่งบอกพระรับเงินผิดพระวินัย อีกสำนักบอกก็มันจำเป็นต้องใช้ และก็ทะเลาะกันไปมาไม่จบสิ้น

สิ่งที่มหาเถรสมาคมควรทำคือ หากพระมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ควรจะต้องมีการออกหนังสือหรือคำสั่งออกมาเพื่อกำหนดขอบเขตการใช้เงินและการรับเงินของพระ รวมถึงเรื่องน้ำปานะ ควรจะต้องมีหนังสือออกมาอธิบายว่าสามารถยืดหยุ่นได้มากนัอยแค่ไหน

เมื่อมีประกาศออกมาแล้ว ค่อยกำหนดบทลงโทษในทางกฎหมายถ้าหากมีพระกระทำการขัดต่อประกาศดังกล่าว เพราะแค่บทลงโทษตามพระวินัยไม่มีใครกลัวหรอกครับ ลองให้มีโทษทางกฎหมายดูสิ แบบ จำคุก 1 ปี 2 ปี ก็ว่าไป รับรองกลัวกันแน่นอน พร้อมทั้งเปิดช่องทางให้พระเณรรวมถึงประชาชนทั่วไปสามารถแจ้งเรื่องร้อวเรียนได้หากมีพระเณรกระทำผิด

เพราะถ้าหากไม่ทำแบบนี้ ไม่มีการกำหนดขอบเขตว่าพระวินัยยืดหยุ่นได้มากน้อยแค่ไหน มหาเถรสมาคมก็คุมพระเณรทั้งประเทศไม่อยู่แน่นอน แต่ถ้าทำได้วัดทุกวัดก็จะเป็นมาตรฐานแบบเดียวกัน มีแนวประพฤติปฏิบัติในแบบเดียวกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่