ย้อนกลับไปนานอักโข สมัยเราเรียนมัธยมต้น โรงเรียนของเราคือโรงเรียนสตรีที่พอจะมีชื่อเสียงกังวานไกล ในย้านฝั่งธนฯ สมัยนั้นถือเป็นโรงเรียนที่ยังต้องมีการแข่งขันเพื่อสอบเข้า และผลปรากฏว่าเรานั้นสอบได้ที่ 4 จากนักเรียนทั้งหมด 400 คน ได้อยู่ห้องคิงส์ไปโดยปริยาย เพราะโรงเรียนคัดเด็กเข้าห้องต่างตามคะแนนสอบเลขที่ 1 ห้อง 1 ของเราก็คือคนที่ทำคะแนนสอบเข้าได้มากที่สุดนั้นเอง แล้วเราที่ 4 คือเรียนเก่งถูกใช่ไหม 5555
ในห้องเลยมีแต่คนเก่งๆ และเราในตอน ม 1 เปิดเทอมใหม่ๆ เราคือนักเรียนที่ไม่มีเพื่อน ด้วยความที่เป็นคนมีปมด้อยเพราะฟันของเราเป็นสีน้ำตาล ผลจากการกินยาแก้ไขในตอนเด็กมากเกินไป ทำให้เราไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าคุยกับเพื่อน กลัวโดนล้อเหมือนตอนอยู่โรงเรียนประถม
เนื่องจากโรงเเรียนมีพิ้นที่จำกัด แปลนโรงเียนเราคือสี่เหลี่ยม ส่วนหน้าคือสนามบาสเกตบอต กลางแจ้ง มีเสาธง ตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ตรงนี้ไว้เข้าแถวก่อนเรียน ถัดไปคือโซนตึกเรียนแล้ว ตึกเรียนเป็นตึก 4 ตึกเชื่อมต่อกันเป็นสีเหลียม หมายถึงเดินถึงกันได้หมด และมีทั้งหมด 4 ชั้น ตรงกลางคือสนามวอลเล่ย์บอลและอื่นที่จะวาดทับเป็นสนามต่างๆได้ซ้อนกัน เพราะไม่มีที่แล้ว หลังสุดคือโรงอาหาร อยู่ใต้ตึกด้านฝั่งสุด ห้องน้ำที่โรงเเรียนเราจะไม่มีโซนห้องน้ำแยกออกไป เพราะห้องน้ำจะอยู่ตามที่พักบันไดแต่ละชั้นของแต่ละมุมของแต่ละตึกมีชั้ละ 2 ห้องใหญ่ 4 ห้องย่อย เวลานักเรียนทำธุระก็จะปลอยดภัยและไม่ต้องเดินไกล
ที่จะบอกว่าโรงเรียนมีพื้นที่น้อย ทำให้เราเรียนกันแบบเดินเรียน ไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เด็กนักเรียนโรงเรียนไหนต้องเดินเรียนบ้าง แต่ตอนนั้นของที่โรงเรียนเราจะเดินกันทุกชั้นปีทุกห้อง ไม่มีใครมีห้องประจำเลย ทำให้เราซึ่งเป็นเด็กไม่มั่นใจ ทำอะไรก็กลัวเพื่อนว่า เลือกที่จะเดินเข้าห้องคนสุดท้าย ได้นั่งโต๊ะริมประตูและหลังสุด
เราเริ่มมีกลุ่มเพื่อนสองคนที่มีเมตตามาคุยกับเรา ทั้งสองคนเป็นคนใจดี คนนึงชื่อเสาร์ เป็นเด็กผู้หญิงผมหยักสก ตาโต แนวแขกๆ ถ้าให้นึกดาราสมัยนี้เสาร์หน้าออกแนวมาร์กี้ ราศีเลยก็ว่าได้ สำหรับอีกคนนึง ชื่อมนพร เด็กผู้หญิงตัวโต หน้าหมวย ใส่แว่นตาขอบดำโตๆ ผมสั้นตรงดิ่งเลย มนพรเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ด้วยแล้วมีความสุข เสาร์ก็เป็นเพื่อนที่ใจดีกับเรามาก เราเลยคบกัน 3 คน เป็นกลุ่มๆ เล็กในห้อง
ชีวิตม.1 ในแต่ละวันก็ดำเนินไป เป็นชีวิตของโรงเรียนผู้หญิงล้วนที่จะเริ่มต้องมีการกรี๊ดกร๊าดรุ่นพี่คนนั้นคนนี้ ซึ่งเรากับเสาร์กรี๊ดพี่คนเดียวกัน ใช่เลยตรงนี้แหละที่เป็นทำให้เรากับเสาร์ได้คุยกัน ส่วนมนพรกลับบ้านทางเดียวกับเสาร์ เราสามคนเลยเป็นกลุ่มเดียวกัน ใชๆๆๆๆ ดีใจจังนึกออกแล้ว
พี่สุดเท่ที่เรากับเสาร์ปลื้มมากคือพี่โอ่ พี่โอ๋เป็นทอมที่หน้าตาหล่อออกแนวขึ้เล่นใจดี ใครๆก็ชอบพี่โอ๋กันหลายคน พี่โอ๋มี FC แทบจะทุก ม.เลยก็ว่าได้ เวลาเราเดินผ้าน้องพี่โอ๋กับเสาร์ก็จะเขินๆ จนพี่โอ๋รู้และไปๆมาๆก็รับเราสองคนเป็นน้องสาว เราดีใจกันมาก ปลื้มพี่โอ๋สุดๆ พี่โอ๋ใจดีเจอพวกเราที่ไหนก็ยิ้มแย้มให้เสมอ เป็นความชอบที่มีแต่ความสุข ทำให้โลกของเราที่โรงเรียนในตอนนี้ ดีขึ้นมาก สดใสขึ้นมา เพราะการไปโรงเรียนทำให้ได้เจอพี่โอ๋ เรากับเสาร์ได้เม้ามอยกันเรื่องพี่โอ๋ พากันชวนไปเดินแถวห้องที่พี่โอ๋เรียน แต่ไม่ว่าจะยังไงมนพรก็ไม่อินพี่โอ๋กับพวกเราเลย
ผ่านไปถึงเทอมสอง เราเริ่มมีแก๊งแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่กลัวที่จะเดินเข้าห้องเรียนก่อนคนอื่นหรือต้องรอมห้ทุกคนเข่าไป เราเริ่มมีความมั่นใจ เริ่มแสดงออกในแบบที่เราเป็น เริ่มพูดคุยหยอกล้อกับเพื่อนๆในห้องได้มากขึ้น ถ้าเปรียนเป็นนักการเมืองเรียกได้ว่าคะแนนนิยมเราก็กำลังไต่ขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ
เมื่อแก๊งเรา เสาร์ มนพร เริ่มสนุกกันใหญ่ ทำให้เพื่อนๆในห้องคนอื่นก็มักจะแวะเวียนเข้ามานั่งคุยจับกลุ่มกับพวกเรา คล่ายๆพวกเราเริ่มเป็นที่สนใจของเพื่อนๆในห้อง แต่เร่องของเรื่องในห้องไม่ได้แค่แก๊งหรือกลุ่มเราที่พอจะมีตัวตน จริงๆแล้วมีอีกแก๊งหรืออีกกลุ่มนึงที่จะออกแนวซ่าๆ เฟริสๆ เค้ารวมตัวกันตั้งแต่ต้นเทอมแรก นัยว่าคือกลุ่มแฟชั่น ไม่ธรรมดา พื้นๆแบบกลุ่มเรา ถึงจะไม่ถึงกับเปรี้ยวจัด หรือทำตัวรังควานใคร แต่ก็มีรัศมีของความนักเลงนิดๆ ซี่งเราก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่คุยด้วย ไม่รู้เพราะอะไร อาจจะรู้สึกเหมือนโดนบูลลี่ด้วยสายตาท่าทางก็เป็นได้ ทำให้ลึกๆแล้วเราไม่ชอบกลุ่มนี้เลย
แต่กลุ่มที่ว่านี้ซี่งประกอบด้วย อารี หมูหิน เล็ก และนก สี่คนที่จะผูกคอซองเล็กๆให้ดูผิดระเบียบ ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ให้ดูวัยรุ่น และหนีบกระเป๋าให้ผอมๆ แบบพี่ๆมอปลาย ส่วนกลุ่มเราหัวยุ่ง คอซองโตๆ เสื้อตามระเบียบ และกระเป๋าหนักๆ จริงๆพวกเราไม่ใช่กลุ่มเด็กเรียน เพียงแต่เป็นกลุ่มนักเรียนปกติทั่วไปมากกว่า
อย่างที่บอกทุกคนในห้องนี้เรียนเก่งทุกคน เพราะเราคือห้องคิงส์
กลุ่มที่ว่านี้ มักจะมาคุยเล่นกับมนพร ก็อย่างที่เราบอกว่ามนพรเป็นคนตลก ด้วยคำพูด รูปร่างและท่าทาง เป็นที่รักของคนทั้งห้องและคุณครู ทำให้กลุ่มอารีก็ชอบมาคุยเล่นกับมนพร ทำให้เรากับเสาร์เลยพลอยต้องรู้จักไปด้วย และอีกอย่างนกกับเสาร์ก็เลขที่ติดกัน บางวิชาหรือกิจกรรมจะให้จับกลุ่มตามเลขที่ทำให้นกกับเสาร์คุ้นเคยกัน มีแต่เรานี่แหละที่ไม่มีใครเข้าหาแบบเฉพาะตัว ทุกครั้งที่กลุ่มอารีมาคุยกับมนพร เราก็จะพยายามเดินเลี่ยงๆ ก็คงกลัวเค้าล้อเรื่องฟันนั้นแหละ เลยกลายเป็นไม่สู้คนไปเฉยเลย ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เราถึงได้รับมนพรกับเสาร์เพราะไม่เคยพูดหรือล้อเราเรื่องฟันดำของเราเลย
และแล้วจุดเรื่มต้นของความรักครั้งแรกของเราในโรงเรียนสตรีก็เริ่มขึ้น ในวิชาพละศึกษา ว่าด้วยการเรียนยืดหยุ่น
วันนั้นเรายังจำได้เหมือนดูหนัง ภาพยังอยู่ในหัวเราถึงแม้จะผ่านมานับหลายๆๆๆๆๆๆสิบแล้วก็ตาม
ที่สนามวอลเล่ย์กลางแจ้งในโรงเรียน หลังจากที่ทุกคนผ่านการหกสูง เอาขาขึ้นพาดกำแพง กันครบแล้ว รวมถึงเราด้วยซึ่งทำไม่เป็นและจนกว่าจะได้ก็ทุลักทุเลมาก ทำให้ท่าทางของเราคงไม่ใช่ท่าทางที่สวยงามน่าดูแก่ผู้พบเห็นและเพือนๆในห้องทุกคน แต่มันทำให้นก ซึ่งอยู่ในกลุ่มอารี เข้ามาคุยกับเรา
ในนาทีนั้งที่ทุกคนนั่งเรียนตามเลขที่กันอยู่ที่สนาม คุณครูพละได้พูดเรื่องการเข้าค่ายที่โรงเรียนของเด็กม.1 ทุกคน และมีการให้จับคู่กันว่าจะใครจะนอนกับใคร เรานั่งอยู่แล้วนกก็เดินมาหาเรา เรียกชื่อเรา ตอนนั้นคือดีใจมาก คิดว่านกคงอยากนอนกับเราซินะ ถึงแม้ว่าเราไ่ได้คุยกับนกบ่อยๆ แถมมีอาการเกร็งๆกลุ่มอารีที่นกอย่ก็ตาม แต่พอนกเดินมาเรียกเราและนั่งข้างๆ ก็รู้สึกดีใจนะ เราก็ตอบว่ามีอะไรหรอแก อย่างยิ้มแย้ม
คือว่าเราจะบอกแกว่า วันเข้าค่าย แกอย่างนอนใกล้เรานะ เรากลัว นี่คือประโยคทีนกมันพูดออกมาใส่หน้าเรา ที่กำลังยิ้มค้างอยู่ แล้วค่อยๆหลุบลงมา ในหัวก็คืองง และอึ้ง และจะพูดอะไรต่อดี ผลคือเราพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้า พอพูดจบนกก็เดินกลับไป สีหน้าที่นกพูดประโยคนั้นออกมาคือเรียบง่าย ไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้รังเกียจใดๆ แต่เป็นประโยคที่ทิ่มแทงเรา หักมุม ช๊อตฟิลว์ และเหมือนผลักเราตกตึก ถึงแม้ว่าตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับนกมากกว่าไปกว่าเพื่อนคนอื่นๆในห้องเลย อาจจะมีเกร็งๆไม่อยากยุ่งบ้าง แต่การที่คิดว่านกจะมาชวนนอนด้วยวันเข้าค่ายมันก็ร็สึกดีที่เพื่อนมาชวนอ่ะนะ
แต่นี้คือไม่อยากนอนใกล้เราก็ไม่ตอบบอกได้ไหมหละ ก็แค่ไปนอนไกลๆเราไม่ให้เรารู้ไ้ด้ไหมหละ เราไม่ได้อยูกลุ่มเดียวกัน หรือคุณครูก็ไม่ได้บังคับให้ใครต้องนอนกับใครเลยนะ คำถามอยู่ในหัวเรามากมาย ทั้งๆที่นกเดินกลับไปนั่งที่ตัวเองแล้ว แต่เราคือเจื่อนจิตมาก เราได้แต่บอกกับตัวเองและฟ้าดินในเวลานั้นว่า
"คอยดูนะซักวัน แกต้องมาอยากอยู่ใกล้เรา แกจะต้องเป็นคนมาอ้อนวอนที่จะอยากอยู่ใกล้เราเอง"
สาบานได้ว่าตอนนั้นที่คิดแบบนั้นและบอกกับตัวเองนั้น เราไม่ได้คิดจิงจังและไม่รู้เลยว่า ฟ้าดินกลับรับฟังและดลบันดาลให้ สิ่งที่เราลั่นวาจาในวันนั้น จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน
จบตอนที่ 1
ความรักครั้งแรก ณ โรงเรียนสตรี (ตอนที่ 1) - ฉันไม่ชอบแก เพราะแกไม่ชอบฉันก่อน
ในห้องเลยมีแต่คนเก่งๆ และเราในตอน ม 1 เปิดเทอมใหม่ๆ เราคือนักเรียนที่ไม่มีเพื่อน ด้วยความที่เป็นคนมีปมด้อยเพราะฟันของเราเป็นสีน้ำตาล ผลจากการกินยาแก้ไขในตอนเด็กมากเกินไป ทำให้เราไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าคุยกับเพื่อน กลัวโดนล้อเหมือนตอนอยู่โรงเรียนประถม
เนื่องจากโรงเเรียนมีพิ้นที่จำกัด แปลนโรงเียนเราคือสี่เหลี่ยม ส่วนหน้าคือสนามบาสเกตบอต กลางแจ้ง มีเสาธง ตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ตรงนี้ไว้เข้าแถวก่อนเรียน ถัดไปคือโซนตึกเรียนแล้ว ตึกเรียนเป็นตึก 4 ตึกเชื่อมต่อกันเป็นสีเหลียม หมายถึงเดินถึงกันได้หมด และมีทั้งหมด 4 ชั้น ตรงกลางคือสนามวอลเล่ย์บอลและอื่นที่จะวาดทับเป็นสนามต่างๆได้ซ้อนกัน เพราะไม่มีที่แล้ว หลังสุดคือโรงอาหาร อยู่ใต้ตึกด้านฝั่งสุด ห้องน้ำที่โรงเเรียนเราจะไม่มีโซนห้องน้ำแยกออกไป เพราะห้องน้ำจะอยู่ตามที่พักบันไดแต่ละชั้นของแต่ละมุมของแต่ละตึกมีชั้ละ 2 ห้องใหญ่ 4 ห้องย่อย เวลานักเรียนทำธุระก็จะปลอยดภัยและไม่ต้องเดินไกล
ที่จะบอกว่าโรงเรียนมีพื้นที่น้อย ทำให้เราเรียนกันแบบเดินเรียน ไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เด็กนักเรียนโรงเรียนไหนต้องเดินเรียนบ้าง แต่ตอนนั้นของที่โรงเรียนเราจะเดินกันทุกชั้นปีทุกห้อง ไม่มีใครมีห้องประจำเลย ทำให้เราซึ่งเป็นเด็กไม่มั่นใจ ทำอะไรก็กลัวเพื่อนว่า เลือกที่จะเดินเข้าห้องคนสุดท้าย ได้นั่งโต๊ะริมประตูและหลังสุด
เราเริ่มมีกลุ่มเพื่อนสองคนที่มีเมตตามาคุยกับเรา ทั้งสองคนเป็นคนใจดี คนนึงชื่อเสาร์ เป็นเด็กผู้หญิงผมหยักสก ตาโต แนวแขกๆ ถ้าให้นึกดาราสมัยนี้เสาร์หน้าออกแนวมาร์กี้ ราศีเลยก็ว่าได้ สำหรับอีกคนนึง ชื่อมนพร เด็กผู้หญิงตัวโต หน้าหมวย ใส่แว่นตาขอบดำโตๆ ผมสั้นตรงดิ่งเลย มนพรเป็นคนอารมณ์ดีอยู่ด้วยแล้วมีความสุข เสาร์ก็เป็นเพื่อนที่ใจดีกับเรามาก เราเลยคบกัน 3 คน เป็นกลุ่มๆ เล็กในห้อง
ชีวิตม.1 ในแต่ละวันก็ดำเนินไป เป็นชีวิตของโรงเรียนผู้หญิงล้วนที่จะเริ่มต้องมีการกรี๊ดกร๊าดรุ่นพี่คนนั้นคนนี้ ซึ่งเรากับเสาร์กรี๊ดพี่คนเดียวกัน ใช่เลยตรงนี้แหละที่เป็นทำให้เรากับเสาร์ได้คุยกัน ส่วนมนพรกลับบ้านทางเดียวกับเสาร์ เราสามคนเลยเป็นกลุ่มเดียวกัน ใชๆๆๆๆ ดีใจจังนึกออกแล้ว
พี่สุดเท่ที่เรากับเสาร์ปลื้มมากคือพี่โอ่ พี่โอ๋เป็นทอมที่หน้าตาหล่อออกแนวขึ้เล่นใจดี ใครๆก็ชอบพี่โอ๋กันหลายคน พี่โอ๋มี FC แทบจะทุก ม.เลยก็ว่าได้ เวลาเราเดินผ้าน้องพี่โอ๋กับเสาร์ก็จะเขินๆ จนพี่โอ๋รู้และไปๆมาๆก็รับเราสองคนเป็นน้องสาว เราดีใจกันมาก ปลื้มพี่โอ๋สุดๆ พี่โอ๋ใจดีเจอพวกเราที่ไหนก็ยิ้มแย้มให้เสมอ เป็นความชอบที่มีแต่ความสุข ทำให้โลกของเราที่โรงเรียนในตอนนี้ ดีขึ้นมาก สดใสขึ้นมา เพราะการไปโรงเรียนทำให้ได้เจอพี่โอ๋ เรากับเสาร์ได้เม้ามอยกันเรื่องพี่โอ๋ พากันชวนไปเดินแถวห้องที่พี่โอ๋เรียน แต่ไม่ว่าจะยังไงมนพรก็ไม่อินพี่โอ๋กับพวกเราเลย
ผ่านไปถึงเทอมสอง เราเริ่มมีแก๊งแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่กลัวที่จะเดินเข้าห้องเรียนก่อนคนอื่นหรือต้องรอมห้ทุกคนเข่าไป เราเริ่มมีความมั่นใจ เริ่มแสดงออกในแบบที่เราเป็น เริ่มพูดคุยหยอกล้อกับเพื่อนๆในห้องได้มากขึ้น ถ้าเปรียนเป็นนักการเมืองเรียกได้ว่าคะแนนนิยมเราก็กำลังไต่ขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ
เมื่อแก๊งเรา เสาร์ มนพร เริ่มสนุกกันใหญ่ ทำให้เพื่อนๆในห้องคนอื่นก็มักจะแวะเวียนเข้ามานั่งคุยจับกลุ่มกับพวกเรา คล่ายๆพวกเราเริ่มเป็นที่สนใจของเพื่อนๆในห้อง แต่เร่องของเรื่องในห้องไม่ได้แค่แก๊งหรือกลุ่มเราที่พอจะมีตัวตน จริงๆแล้วมีอีกแก๊งหรืออีกกลุ่มนึงที่จะออกแนวซ่าๆ เฟริสๆ เค้ารวมตัวกันตั้งแต่ต้นเทอมแรก นัยว่าคือกลุ่มแฟชั่น ไม่ธรรมดา พื้นๆแบบกลุ่มเรา ถึงจะไม่ถึงกับเปรี้ยวจัด หรือทำตัวรังควานใคร แต่ก็มีรัศมีของความนักเลงนิดๆ ซี่งเราก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่คุยด้วย ไม่รู้เพราะอะไร อาจจะรู้สึกเหมือนโดนบูลลี่ด้วยสายตาท่าทางก็เป็นได้ ทำให้ลึกๆแล้วเราไม่ชอบกลุ่มนี้เลย
แต่กลุ่มที่ว่านี้ซี่งประกอบด้วย อารี หมูหิน เล็ก และนก สี่คนที่จะผูกคอซองเล็กๆให้ดูผิดระเบียบ ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ ให้ดูวัยรุ่น และหนีบกระเป๋าให้ผอมๆ แบบพี่ๆมอปลาย ส่วนกลุ่มเราหัวยุ่ง คอซองโตๆ เสื้อตามระเบียบ และกระเป๋าหนักๆ จริงๆพวกเราไม่ใช่กลุ่มเด็กเรียน เพียงแต่เป็นกลุ่มนักเรียนปกติทั่วไปมากกว่า
อย่างที่บอกทุกคนในห้องนี้เรียนเก่งทุกคน เพราะเราคือห้องคิงส์
กลุ่มที่ว่านี้ มักจะมาคุยเล่นกับมนพร ก็อย่างที่เราบอกว่ามนพรเป็นคนตลก ด้วยคำพูด รูปร่างและท่าทาง เป็นที่รักของคนทั้งห้องและคุณครู ทำให้กลุ่มอารีก็ชอบมาคุยเล่นกับมนพร ทำให้เรากับเสาร์เลยพลอยต้องรู้จักไปด้วย และอีกอย่างนกกับเสาร์ก็เลขที่ติดกัน บางวิชาหรือกิจกรรมจะให้จับกลุ่มตามเลขที่ทำให้นกกับเสาร์คุ้นเคยกัน มีแต่เรานี่แหละที่ไม่มีใครเข้าหาแบบเฉพาะตัว ทุกครั้งที่กลุ่มอารีมาคุยกับมนพร เราก็จะพยายามเดินเลี่ยงๆ ก็คงกลัวเค้าล้อเรื่องฟันนั้นแหละ เลยกลายเป็นไม่สู้คนไปเฉยเลย ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เราถึงได้รับมนพรกับเสาร์เพราะไม่เคยพูดหรือล้อเราเรื่องฟันดำของเราเลย
และแล้วจุดเรื่มต้นของความรักครั้งแรกของเราในโรงเรียนสตรีก็เริ่มขึ้น ในวิชาพละศึกษา ว่าด้วยการเรียนยืดหยุ่น
วันนั้นเรายังจำได้เหมือนดูหนัง ภาพยังอยู่ในหัวเราถึงแม้จะผ่านมานับหลายๆๆๆๆๆๆสิบแล้วก็ตาม
ที่สนามวอลเล่ย์กลางแจ้งในโรงเรียน หลังจากที่ทุกคนผ่านการหกสูง เอาขาขึ้นพาดกำแพง กันครบแล้ว รวมถึงเราด้วยซึ่งทำไม่เป็นและจนกว่าจะได้ก็ทุลักทุเลมาก ทำให้ท่าทางของเราคงไม่ใช่ท่าทางที่สวยงามน่าดูแก่ผู้พบเห็นและเพือนๆในห้องทุกคน แต่มันทำให้นก ซึ่งอยู่ในกลุ่มอารี เข้ามาคุยกับเรา
ในนาทีนั้งที่ทุกคนนั่งเรียนตามเลขที่กันอยู่ที่สนาม คุณครูพละได้พูดเรื่องการเข้าค่ายที่โรงเรียนของเด็กม.1 ทุกคน และมีการให้จับคู่กันว่าจะใครจะนอนกับใคร เรานั่งอยู่แล้วนกก็เดินมาหาเรา เรียกชื่อเรา ตอนนั้นคือดีใจมาก คิดว่านกคงอยากนอนกับเราซินะ ถึงแม้ว่าเราไ่ได้คุยกับนกบ่อยๆ แถมมีอาการเกร็งๆกลุ่มอารีที่นกอย่ก็ตาม แต่พอนกเดินมาเรียกเราและนั่งข้างๆ ก็รู้สึกดีใจนะ เราก็ตอบว่ามีอะไรหรอแก อย่างยิ้มแย้ม
คือว่าเราจะบอกแกว่า วันเข้าค่าย แกอย่างนอนใกล้เรานะ เรากลัว นี่คือประโยคทีนกมันพูดออกมาใส่หน้าเรา ที่กำลังยิ้มค้างอยู่ แล้วค่อยๆหลุบลงมา ในหัวก็คืองง และอึ้ง และจะพูดอะไรต่อดี ผลคือเราพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้า พอพูดจบนกก็เดินกลับไป สีหน้าที่นกพูดประโยคนั้นออกมาคือเรียบง่าย ไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้รังเกียจใดๆ แต่เป็นประโยคที่ทิ่มแทงเรา หักมุม ช๊อตฟิลว์ และเหมือนผลักเราตกตึก ถึงแม้ว่าตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับนกมากกว่าไปกว่าเพื่อนคนอื่นๆในห้องเลย อาจจะมีเกร็งๆไม่อยากยุ่งบ้าง แต่การที่คิดว่านกจะมาชวนนอนด้วยวันเข้าค่ายมันก็ร็สึกดีที่เพื่อนมาชวนอ่ะนะ
แต่นี้คือไม่อยากนอนใกล้เราก็ไม่ตอบบอกได้ไหมหละ ก็แค่ไปนอนไกลๆเราไม่ให้เรารู้ไ้ด้ไหมหละ เราไม่ได้อยูกลุ่มเดียวกัน หรือคุณครูก็ไม่ได้บังคับให้ใครต้องนอนกับใครเลยนะ คำถามอยู่ในหัวเรามากมาย ทั้งๆที่นกเดินกลับไปนั่งที่ตัวเองแล้ว แต่เราคือเจื่อนจิตมาก เราได้แต่บอกกับตัวเองและฟ้าดินในเวลานั้นว่า
"คอยดูนะซักวัน แกต้องมาอยากอยู่ใกล้เรา แกจะต้องเป็นคนมาอ้อนวอนที่จะอยากอยู่ใกล้เราเอง"
สาบานได้ว่าตอนนั้นที่คิดแบบนั้นและบอกกับตัวเองนั้น เราไม่ได้คิดจิงจังและไม่รู้เลยว่า ฟ้าดินกลับรับฟังและดลบันดาลให้ สิ่งที่เราลั่นวาจาในวันนั้น จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน
จบตอนที่ 1