- ถ้าเคยดูเรื่อง The Killing Field (1984) กับ First They Killed my Father (2017) หรือ อ่านหนังสือของคุณ ยาสึโกะ นะอิโตะ เรื่อง 4 ปี นรกในเขมร หรือ ศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างสงครามอินโดจีนหรือประเทศกัมพูชามาจะนึกภาพตามได้ไม่ยากว่า Animation เรื่องนี้จะดำเนินเรื่องโดยมีเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นฉากหลังเหมือนกันตั้งแต่การยึดครองอำนาจในปี 1975 จนถึงการสิ้นสุดลงในปี 1979 เปลี่ยนตัวละครกับเส้นเรื่องมาเป็นครอบครัวสมมติ ประกอบด้วย ชู , สามีของชู , ลูกชายของชู และ ยาย (มีอีกแต่จำได้แค่นี้ ) ซึ่งหนังเปิดเรื่องมาด้วยภาพวิถีชีวิตทั่วไปของคนในแต่ละมุมรวมถึงครอบครัวของชูที่กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกัน พร้อมกับมีคำพรรณนาเป็นภาษาฝรั่งเศสบรรยายให้ทราบว่าขณะนี้กำลังอยู่ใน Timeline อะไร ? พอหนังให้เราเสพสมด้วยความชื่นมื่นเสร็จไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ได้มีกองทัพเขมรแดงย่างกรายเข้ามาเยี่ยงวีรบุรุษกลางฝูงชนพร้อมกับบอกว่าบ้านเมืองสงบแล้ว เราโค่นล้มอำนาจจากรัฐบาลลอน นอล ได้แล้ว จึงทำให้ประชาชนต่างพากันดีใจอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ความชื่นมื่นก็อยู่ได้ไม่นาน กองทัพเขมรแดงจึงได้แสดงธาตุแท้ตาม Dialogue ที่ถูกอบรมมาด้วยการบังคับให้ประชาชนอพยพไปอยู่ชนบทแล้วอ้างว่าสหรัฐอเมริกาจะมาทิ้งระเบิด ทำให้ประชาชนรวมถึงครอบครัวของชูรีบขนข้าวของออกไป หารู้ไม่ว่านั่นคือแผนการที่ถูกวางไว้มานานโดยผู้นำเผด็จการ พลพต แอนด์ เดอะแก็งค์
- ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 24 นาที จะเล่าผ่านตัวของชูกับลูกชายของเธอเป็นหลักโดยมีสมาชิกที่เหลืออย่างสามีของเธอและคนอื่น ๆ ตัดสลับไปมาพร้อมกับ Updates สถานการณ์หลังจากที่บ้านเมืองเข้าสู่กลียุคเต็มรูปแบบผู้คนถูกอพยพไปอยู่ชนบทจนกระทั่งทั้งคู่ได้พลัดหลงไปกับคลื่นมวลชนที่มีพวกเขมรแดงยืนจ้งก้าคุมแถวในระยะประชิดต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้น ? ซึ่งปลายทางพอทราบอยู่ว่าแต่ละคนจะไป ณ จุดไหน ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็ได้ออกตามหาระหว่างกันด้วยความหวังที่ยังเหลืออยู่ เมื่อไปถึงจุดนัดพบจะมีหัวหน้าแต่ละจุดต้อนรับแล้วพาคนเข้าสู่คอร์สอบรมให้คนเท่าเทียมกัน ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นของทุนนิยมทั้งหมดแล้วตั้งเป็นสังคมใหม่ ให้คนหันไปใช้แรงงานเพื่อสร้างผลผลิตร่วมกัน ถ้าใครต่อต้านจะถูกลงโทษแล้วจับไปเข้าคอร์สอบรมถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะผู้มีความรู้ จึงทำให้คนค่อย ๆ ถูกกดขี่ ทำร้าย จนล้มหายไปพร้อมกับค่อย ๆ สูญเสียความเป็นคนไปทีละนิด ระหว่างดูไปรู้สึกหดหู่จนเก็บอารมณ์ไม่ไหวเลยปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เพราะ สิ่งที่ถูกถ่ายทอดผ่านการกระทำของตัวละคร ไม่ว่าตอนที่ ชู ถูกคนของเขมรแดงกระชากผมแล้วซัดจนหงายลงไปกับพื้นดิน หรือ ตอนที่พวกเขมรแดงชักปืนขู่ไถนาฬิกาข้อมือ หรือ เอากรรไกรมาตัดผมผู้หญิง ต่าง ๆ นอกจากสะท้อนความถ่อย เถื่อน แล้วยังเป็นโศกนาฎกรรมที่คนในบ้านหันมาเข่นฆ่ากันเอง เพียงเพราะ อุดมการณ์ แนวคิด หรือ idea ของคนนั่งสุมหัวดูดม้ากันแล้วพรรณนาเพ้อพกไปถึงประเทศบ้านเกิดอยู่แรมปีว่าได้อำนาจเมื่อไหร่กูอยากให้เป็นไปตามมโนคติที่นึกไว้อย่างนี้ ๆ พอได้มาจริงแทนที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้นตามยุคสมัยกลายเป็นว่าไปแข่งความเชี้ยกับพวกอำนาจเก่า ๆ ที่เคยก่อไว้ซะงั้นแล้วเศือกทำถึงจนทำให้ประเทศตกต่ำถึงขีดสุด
- ถึงบรรยากาศในหนังเต็มไปด้วยมวลแห่งความตึงเครียด เพราะ มีการสูญเสียที่เกิดขึ้นจริง แต่สารที่แฝงมาพร้อมกับ Details ไม่ว่าจะในคำพูดหรือสภาพแวดล้อมข้างทางด้วยลายเส้นที่บรรจงวาดแต่ละอย่างมีการเก็บ Details เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ละเอียดดีว่าสถานที่นี้คืออะไร ? สีที่ใช้ระบายก็มีความโดดเด่นด้วยโทนภาพที่ละมุนจนดูออกมาสวยงามและเป็นธรรมชาติแถมช่วยทำให้ Story มีชีวิตชีวาคล้ายกับเรื่อง Flee (2021) รวมถึงได้เห็นมุมมองของฝั่งเขมรแดงที่ไม่ได้เป็นเครื่องจักรสังหารไปทั้งหมดว่า พวกเขาเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการนี้และทำเพื่อความอยู่รอดภายใต้คำสั่งที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้งในตัวของมัน บางคนก็เข้าร่วมด้วยความสมัครใจเพราะเจ็บแค้นที่ถูกระบบที่กลุ่มอำนาจนำคนก่อนใช้กดขี่ ขณะที่บางคนกลับยื่นมือช่วยแอบเอาเสบียงอาหารมาให้ หรือ ช่วยชี้ทางหนีให้ มันเลยทำให้เห็นอีกมุมของอีกฝ่ายภายใต้ความอารีในฐานะเพื่อนร่วมชาติในยามสิ้นหวัง
- บทสรุปช่วงท้ายถึงรู้ Timeline อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ? เพราะมันยึดโยงตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ในส่วนของตัวละครหลักอย่าง ชู กับ ลูกชายของเธอ ขณะดูคือลุ้นตามอย่างห่วง ๆ จนกระทั่งได้พบกันในช่วงท้าย ๆ แล้วยังมีช่วงให้ลุ้นอีกจนนำไปสู่จุดที่คาดไม่ถึงนิด ๆ ระหว่างทางมีแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลาด้วยเพราะการดำเนินเรื่องมันไปเนิบ ๆ ไม่เร่งรีบ อีกทั้งวิธีการเล่าในช่วงสลับ part ระหว่าง ชู กับ ลูกชาย มีความเป็นตัวเองในแง่ของการใช้ภาษากายในตอนที่ สามีของชูโอบกอดเธอข้างหลัง แต่ละช่วง ก็ใช้เป็นสัญญะสื่อแทนที่จะบอกตรง ๆ ซึ่งแอบเข้าถึงยากเหมือนกัน คงเพราะอยากให้เราซึมซับช่วงเวลานั้นผ่านความทรงจำของคุณแม่ของผู้กำกับ Denis Do ที่เคยประสบเหตุการณ์อย่างละเอียดมากกว่าขายฉากสงครามเพื่อกระตุ้นอารมณ์ตรง ๆ แต่ก็มีช่วงให้ลุ้นให้เสียวเป็นระยะอย่างพวกเขมรแดงเรียกคนไปสอบสวนแล้วทำการลงโทษจะ ๆ หรือ ตอนที่สามีของชูกำลังหลบในดงหญ้าขณะที่พวกเขมรแดงเดินตรวจเวรอยู่ตรงหน้า โดยรวมนอกจากชอบและประทับใจแล้วยังเป็นหนัง Animation น้ำดีที่ให้คุณค่าของชีวิตแต่หาดูยากแล้วยังควรค่าแก่พานักเรียนไปเหมาโรงดูเพื่อเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง ระบบการปกครอง ผ่านตัวสงครามในประเทศกัมพูชา ถึงเป็นเสียงพูดภาษาฝรั่งเศสที่ดูขัดต่อเนื้อเรื่องที่ควรใช้ภาษาของเขาดีกว่าแต่ไม่ได้ติดใจอะไร ? นอกจากจะได้สาระแล้วยังได้รู้เท่าทันเชื้อร้ายของผู้ใช้ที่ยังเหลืออยู่และแปรรูปตามเวลาหาคนมาเป็นพาหะสืบทอดต่อจนทำให้นึกถึงดินแดนกะลาคนดีย์ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการที่แนบเนียนและแยบยลตามยุคสมัยขึ้น ไม่ให้คนจับได้
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.108 Funan (2018) : จงก้าวไปด้วยหัวใจ แล้ว แหงนหน้ามองด้วยความหวัง
- ถ้าเคยดูเรื่อง The Killing Field (1984) กับ First They Killed my Father (2017) หรือ อ่านหนังสือของคุณ ยาสึโกะ นะอิโตะ เรื่อง 4 ปี นรกในเขมร หรือ ศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างสงครามอินโดจีนหรือประเทศกัมพูชามาจะนึกภาพตามได้ไม่ยากว่า Animation เรื่องนี้จะดำเนินเรื่องโดยมีเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นฉากหลังเหมือนกันตั้งแต่การยึดครองอำนาจในปี 1975 จนถึงการสิ้นสุดลงในปี 1979 เปลี่ยนตัวละครกับเส้นเรื่องมาเป็นครอบครัวสมมติ ประกอบด้วย ชู , สามีของชู , ลูกชายของชู และ ยาย (มีอีกแต่จำได้แค่นี้ ) ซึ่งหนังเปิดเรื่องมาด้วยภาพวิถีชีวิตทั่วไปของคนในแต่ละมุมรวมถึงครอบครัวของชูที่กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกัน พร้อมกับมีคำพรรณนาเป็นภาษาฝรั่งเศสบรรยายให้ทราบว่าขณะนี้กำลังอยู่ใน Timeline อะไร ? พอหนังให้เราเสพสมด้วยความชื่นมื่นเสร็จไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ได้มีกองทัพเขมรแดงย่างกรายเข้ามาเยี่ยงวีรบุรุษกลางฝูงชนพร้อมกับบอกว่าบ้านเมืองสงบแล้ว เราโค่นล้มอำนาจจากรัฐบาลลอน นอล ได้แล้ว จึงทำให้ประชาชนต่างพากันดีใจอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ความชื่นมื่นก็อยู่ได้ไม่นาน กองทัพเขมรแดงจึงได้แสดงธาตุแท้ตาม Dialogue ที่ถูกอบรมมาด้วยการบังคับให้ประชาชนอพยพไปอยู่ชนบทแล้วอ้างว่าสหรัฐอเมริกาจะมาทิ้งระเบิด ทำให้ประชาชนรวมถึงครอบครัวของชูรีบขนข้าวของออกไป หารู้ไม่ว่านั่นคือแผนการที่ถูกวางไว้มานานโดยผู้นำเผด็จการ พลพต แอนด์ เดอะแก็งค์
- ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 24 นาที จะเล่าผ่านตัวของชูกับลูกชายของเธอเป็นหลักโดยมีสมาชิกที่เหลืออย่างสามีของเธอและคนอื่น ๆ ตัดสลับไปมาพร้อมกับ Updates สถานการณ์หลังจากที่บ้านเมืองเข้าสู่กลียุคเต็มรูปแบบผู้คนถูกอพยพไปอยู่ชนบทจนกระทั่งทั้งคู่ได้พลัดหลงไปกับคลื่นมวลชนที่มีพวกเขมรแดงยืนจ้งก้าคุมแถวในระยะประชิดต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้น ? ซึ่งปลายทางพอทราบอยู่ว่าแต่ละคนจะไป ณ จุดไหน ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็ได้ออกตามหาระหว่างกันด้วยความหวังที่ยังเหลืออยู่ เมื่อไปถึงจุดนัดพบจะมีหัวหน้าแต่ละจุดต้อนรับแล้วพาคนเข้าสู่คอร์สอบรมให้คนเท่าเทียมกัน ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นของทุนนิยมทั้งหมดแล้วตั้งเป็นสังคมใหม่ ให้คนหันไปใช้แรงงานเพื่อสร้างผลผลิตร่วมกัน ถ้าใครต่อต้านจะถูกลงโทษแล้วจับไปเข้าคอร์สอบรมถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะผู้มีความรู้ จึงทำให้คนค่อย ๆ ถูกกดขี่ ทำร้าย จนล้มหายไปพร้อมกับค่อย ๆ สูญเสียความเป็นคนไปทีละนิด ระหว่างดูไปรู้สึกหดหู่จนเก็บอารมณ์ไม่ไหวเลยปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เพราะ สิ่งที่ถูกถ่ายทอดผ่านการกระทำของตัวละคร ไม่ว่าตอนที่ ชู ถูกคนของเขมรแดงกระชากผมแล้วซัดจนหงายลงไปกับพื้นดิน หรือ ตอนที่พวกเขมรแดงชักปืนขู่ไถนาฬิกาข้อมือ หรือ เอากรรไกรมาตัดผมผู้หญิง ต่าง ๆ นอกจากสะท้อนความถ่อย เถื่อน แล้วยังเป็นโศกนาฎกรรมที่คนในบ้านหันมาเข่นฆ่ากันเอง เพียงเพราะ อุดมการณ์ แนวคิด หรือ idea ของคนนั่งสุมหัวดูดม้ากันแล้วพรรณนาเพ้อพกไปถึงประเทศบ้านเกิดอยู่แรมปีว่าได้อำนาจเมื่อไหร่กูอยากให้เป็นไปตามมโนคติที่นึกไว้อย่างนี้ ๆ พอได้มาจริงแทนที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้นตามยุคสมัยกลายเป็นว่าไปแข่งความเชี้ยกับพวกอำนาจเก่า ๆ ที่เคยก่อไว้ซะงั้นแล้วเศือกทำถึงจนทำให้ประเทศตกต่ำถึงขีดสุด
- ถึงบรรยากาศในหนังเต็มไปด้วยมวลแห่งความตึงเครียด เพราะ มีการสูญเสียที่เกิดขึ้นจริง แต่สารที่แฝงมาพร้อมกับ Details ไม่ว่าจะในคำพูดหรือสภาพแวดล้อมข้างทางด้วยลายเส้นที่บรรจงวาดแต่ละอย่างมีการเก็บ Details เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ละเอียดดีว่าสถานที่นี้คืออะไร ? สีที่ใช้ระบายก็มีความโดดเด่นด้วยโทนภาพที่ละมุนจนดูออกมาสวยงามและเป็นธรรมชาติแถมช่วยทำให้ Story มีชีวิตชีวาคล้ายกับเรื่อง Flee (2021) รวมถึงได้เห็นมุมมองของฝั่งเขมรแดงที่ไม่ได้เป็นเครื่องจักรสังหารไปทั้งหมดว่า พวกเขาเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการนี้และทำเพื่อความอยู่รอดภายใต้คำสั่งที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้งในตัวของมัน บางคนก็เข้าร่วมด้วยความสมัครใจเพราะเจ็บแค้นที่ถูกระบบที่กลุ่มอำนาจนำคนก่อนใช้กดขี่ ขณะที่บางคนกลับยื่นมือช่วยแอบเอาเสบียงอาหารมาให้ หรือ ช่วยชี้ทางหนีให้ มันเลยทำให้เห็นอีกมุมของอีกฝ่ายภายใต้ความอารีในฐานะเพื่อนร่วมชาติในยามสิ้นหวัง
- บทสรุปช่วงท้ายถึงรู้ Timeline อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ? เพราะมันยึดโยงตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ในส่วนของตัวละครหลักอย่าง ชู กับ ลูกชายของเธอ ขณะดูคือลุ้นตามอย่างห่วง ๆ จนกระทั่งได้พบกันในช่วงท้าย ๆ แล้วยังมีช่วงให้ลุ้นอีกจนนำไปสู่จุดที่คาดไม่ถึงนิด ๆ ระหว่างทางมีแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลาด้วยเพราะการดำเนินเรื่องมันไปเนิบ ๆ ไม่เร่งรีบ อีกทั้งวิธีการเล่าในช่วงสลับ part ระหว่าง ชู กับ ลูกชาย มีความเป็นตัวเองในแง่ของการใช้ภาษากายในตอนที่ สามีของชูโอบกอดเธอข้างหลัง แต่ละช่วง ก็ใช้เป็นสัญญะสื่อแทนที่จะบอกตรง ๆ ซึ่งแอบเข้าถึงยากเหมือนกัน คงเพราะอยากให้เราซึมซับช่วงเวลานั้นผ่านความทรงจำของคุณแม่ของผู้กำกับ Denis Do ที่เคยประสบเหตุการณ์อย่างละเอียดมากกว่าขายฉากสงครามเพื่อกระตุ้นอารมณ์ตรง ๆ แต่ก็มีช่วงให้ลุ้นให้เสียวเป็นระยะอย่างพวกเขมรแดงเรียกคนไปสอบสวนแล้วทำการลงโทษจะ ๆ หรือ ตอนที่สามีของชูกำลังหลบในดงหญ้าขณะที่พวกเขมรแดงเดินตรวจเวรอยู่ตรงหน้า โดยรวมนอกจากชอบและประทับใจแล้วยังเป็นหนัง Animation น้ำดีที่ให้คุณค่าของชีวิตแต่หาดูยากแล้วยังควรค่าแก่พานักเรียนไปเหมาโรงดูเพื่อเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การเมือง ระบบการปกครอง ผ่านตัวสงครามในประเทศกัมพูชา ถึงเป็นเสียงพูดภาษาฝรั่งเศสที่ดูขัดต่อเนื้อเรื่องที่ควรใช้ภาษาของเขาดีกว่าแต่ไม่ได้ติดใจอะไร ? นอกจากจะได้สาระแล้วยังได้รู้เท่าทันเชื้อร้ายของผู้ใช้ที่ยังเหลืออยู่และแปรรูปตามเวลาหาคนมาเป็นพาหะสืบทอดต่อจนทำให้นึกถึงดินแดนกะลาคนดีย์ เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการที่แนบเนียนและแยบยลตามยุคสมัยขึ้น ไม่ให้คนจับได้
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้