สืบเนื่องจากกระทู้นี้
กรรมตามสนอง YG Entertainment ที่ไม่ยุติธรรมกับน้องลิซ่า แค่6เดือน ขาดทุน187ล้านบาท หุ้นตก50%ขาดทุน 24,187ล้านบาท
https://ppantip.com/topic/42838836
ผมเข้าไปอ่านแล้วรู้สึกตลกดี ที่มีคนแยกไม่ออกระหว่าง Market Cap ของบริษัทในตลาดหุ้น กับผลประกอบการ ที่ทางบริษัทต้องชี้แจงในทุกไตรมาศให้กับตลาดหุ้น เพื่อแสดงความโปร่งใสของบริษัทนั้นๆ แถมยังอ่านงบการเงินไม่เป็นอีก ถึงได้บอกว่า YG ขาดทุน ก็เลยกลัวว่าคนที่อ่านกระทู้นั้นแล้วไม่เข้าใจ จะได้รับสารที่ผิดพลาดอย่างมากไป ก็เลยขอมาอธิบายเป็นประเด็นๆ ดังนี้ครับ
.
ประเด็นที่ 1 : YG และ HYPE ขาดทุนยับจริงมั้ย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Market Cap กับ งบการเงินให้ได้ก่อน ว่ามันต่างกันอย่างไร แล้วถ้าเราจะดูว่าบริษัทไหนกำไร หรือขาดทุน เราต้องดูจากตรงไหน
Market Cap = จำนวนหุ้นของบริษัทนั้นที่มีอยู่ในตลาด x ราคาหุ้นตัวนั้น ณ ราคาปิดแต่ละวัน
ตรงนี้แค่เป็นการอ้างอิงว่ามูลค่าตลาดคร่าวๆ เมื่อคำนวนจากราคาหุ้นว่าจะเป็นเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ที่เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นเช่นกัน ซึ่งจะแปรผันตรงกับราคาหุ้น ราคาหุ้นขึ้นหรือลง Martket Cap ก็แตกต่างกันไป และแน่นอนว่าถ้า Market Cap ใหญ่ก็ส่งผลดีกับภาพลักษณ์ของบริษัท เช่นก็จะเป็นที่สนใจของกองทุนต่างชาติ หรือคนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ใหญ่ๆ มั่นคงๆ นั่นเอง
.
ยกตัวอย่างหุ้น EA เมื่อก่อนราคา 100 บาท วันนี้เหลือราคา 13 บาท สมมติว่าหุ้นมีในตลาด 1000 ล้านหุ้น Market Cap ของหุ้น EA ณ วันนั้นจะอยู่ที่ หนึ่งแสนล้านบาท
แต่ถ้าเอาราคาหุ้นวันนี้ที่ 13 บาทมาคำนวน นั่นหมายความว่า Market Cap ของหุ้น EA จะลดลงเหลือแค่ หนึ่งหมื่นสามพันล้านบาท
.
ถามว่าเราสามารถสรุปได้เหรอว่า EA ขาดทุนไป แปดหมื่นเจ็ดพันล้านบาท จาก Market Cap ที่ลดลงเนื่องจากราคาหุ้นลดลง ??
คำตอบคือไม่ได้ครับ Market Cap ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับผลประกอบการของบริษัทเลย แม้ว่าในเชิง Fair Market ราคาหุ้นควรจะขึ้นลงตามผลประกอบการก็จริง แต่ใครอยู่ในตลาดหุ้น ลงทุนในหุ้น จะรู้ว่ามันไม่จริง มันมีปัจจัยแวดล้อมมากกว่านั้นเยอะ ที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้น หรือลง
.
ดังนั้นถ้าเราจะต้องการทราบว่าบริษัท EA ขาดทุนหรือกำไร เราต้องดูจากผลประกอบการรายไตรมาศของเขา อาจจะมีการเทียบกับไตรมาศเดียวกันของปีที่แล้ว ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไรอีกที นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ
.
งบการเงิน : รายงานความเคลื่อนไหวด้านรายรับรายจ่ายของบริษัท ที่ต้องส่งให้ตลาดหุ้นตรวจสอบ ในกรณีที่บริษัทของคุณเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น ตรงนี้จะรายงานทุกอย่าง รายได้รวมเป็นเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ หักลบต่างๆ นานาแล้ว Net Income เหลือเท่าไหร่ ตรงนี้แหละที่จะใช้ดูว่าบริษัทกำไร หรือขาดทุนเท่าไหร่ในไตรมาศนั้นๆ
ดังนั้นถ้าอยากรู้ว่าบริษัทกำไรหรือขาดทุน ต้องดูที่งบการเงิน ไม่ใช่ไปดู Market Cap ที่ลดลง
.
สรุปประเด็นแรก : หากจะบอกว่า YG หรือ Hybe ขาดทุน เราต้องดูที่ผลประกอบการของเขา ไม่ใช่ดูจาก Market Cap ที่ลดลงจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถ้าไปดูผลประกอบการของบริษัทว่าจะกำไรสุทธิเท่าไหร่ ก็ต้องไปดูตรง Net Income
HYBE : สำหรับผลประกอบการก็ชัดเจนว่า Hybe ไตรมาศ 1/24 ก็มีกำไร่สุทธิ 17.23B ซึ่งอาจจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาศ 1/23 ที่กำไรอยู่ที่ 24.29B แต่ภาพรวมก็คือกำไรไม่ได้ขาดทุนยับอย่างที่เจ้าของกระทู้นั้นบอกมา
และในไตรมาศสองที่จะมีรายรับจากวงใหม่อย่าง ILLIT และศิลปินอื่นๆ ที่ทยอยออกอัลบั้มตามมาเรื่อยๆ ก็คงทำให้รายได้กลับขึ้นไปสูงได้ตามปกติ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใดๆ เลย เพราะถ้าดูจากตารางด้านล่างจะเห็นว่าปกติแล้วใน Q2 3 นี่แหละ ที่จะเป็นช่วงที่รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นสูง ไม่ใช่ในช่วง Q1 แต่อย่างใด มันก็เป็นไปตามกลไกของการออกอัลบั้มนะแหละ
.
YG : ส่วน YG นั้น หลังจากที่ต่อสัญญากับ Blackpink ไม่ได้ และมีศิลปินทยอยออกค่ายไปเรื่อยๆ ก็แน่นอนว่าผลประกอบการก็ลดลง สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ร่วงตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ถามว่าวงใหม่อย่าง Babymonsters ไม่ช่วยอะไรบริษัทเลยเหรอ ก็ต้องตอบว่ารายรับจาก babymonsters จะเข้ามาช่วงไตรมาศ 2/24 เพราะออกอัลบั้มในวันที่ 1 เมษายน และเริ่มทัวร์ fan meet หลังจากนั้น ดังนั้นผลประกอบการรายได้จาก Babymonsters จะรายงานผลในไตรมาศที่ 2
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรายได้ของ YG ในไตรมาศ 1/24 ถึงได้ลดลงมาเยอะมากถึง 98.58% นั่นก็เพราะในไตรมาศแรกไม่มีรายได้เข้ามาสักเท่าไหร่นั่นเอง รายได้ที่เคยได้จาก Blackpink ไม่มีแล้ว เทียบจาก Q1 2 3 4 / 2023 ดูได้ครับว่ารายได้ Total Revenue ลดลงมาแค่ไหน
โดยเฉพาะส่วนแบ่งรายได้จากงานเดี่ยว ถ่ายโฆษณาต่างๆ ของ Blackpink หายไปหมด มีแต่รายจ่าย เช่นการจ้างทีมโปรดิวเซอร์เพิ่มขึ้น เตรียมงานสำหรับ babymonster ที่จะเดบิ้วช่วงต้นเดือนเมษา ซึ่งรายจ่ายพวกนี้ก็มาลงที่ไตรมาศ 1/24 นี่แหละ
ผลที่ตามมาก็คือ Net Incom ของ Q1/24 เหลือแค่ 351.10M เมื่อเทียบกับ Q1/23 ที่อยู่ที่ 24.77B ก็เลยทำให้กำไรลดลงมากถึง 98.58% แต่สรุปแล้วก็ยังมีกำไร ไม่ได้ขาดทุนยับอย่างที่ว่ามา และถ้าย้อนดูจาก Net Income ก็มีกำไรทุกไตรมาศครับ ไม่ได้มีไตรมาศไหนเลยที่ขาดทุน เพียงแค่ว่ารายได้ลดลงเรื่อยๆ อย่างมีนัยยะสำคัญนับตั้งแต่ไม่สามารถต่อสัญญากับ Blackpink ได้นั่นแหละ
จากภาพจะเห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองบริษัทก็กำไรกันหมดแหละ แค่ขาดทุนกำไรเมื่อเทียบจาก Q1/23 ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ขาดทุนอย่างที่เจ้าของโพสนั้นเข้าใจผิด แต่ใครกำไรมากน้อย ก็อยู่ที่ผลงานในการผลักดันศิลปินออกมานะแหละ ออกมาเยอะ ก็กำไรมาก ออกมาน้อยก็กำไรน้อย
ผลจากกำไรที่ลดลงเยอะมากนั้น ทำให้ YG ก็เริ่มตัดกิจการที่ไม่ทำกำไร เพื่อลดความเสียหายลงให้น้อยที่สุด และหวังว่าหลังจาก Babymonsters เริ่มมีเพลงมากพอ แล้วเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตได้ ถึงตอนนั้นน่าจะพอทำให้ YG มีรายได้เติมเข้ามาได้มากขึ้น ดังนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไม YG ถึงพยายามดัน และออกเพลงใหม่ให้ Babymonsters เร็ว และถี่ขนาดนี้ และเพื่อให้ผลประกอบการดูดีขึ้นมา น่าจะต้องมีการเข็นอัลบั้มเต็มออกมาก่อนไตรมาศ 4 ของปีนี้แน่ๆ ดองไม่ได้อีกแล้ว
ก็ต้องรอดูว่าหลังจากหยางกลับมาคุมบริษัทอีกครั้ง สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเปล่า หลังจากยุคป้าโบทำเอาค่ายตกต่ำลงมามากพอสมควร และกลุ่ม Producer ที่จ้างมาใหม่หลายสิบคน จะทดแทนการจากลาของเท็ดดี้ ที่หอบเอา Blacklabel ไปเช่าตึกใหม่แล้วได้หรือไม่ ตรงนี้ก็ต้องตามดูกันต่อไป
In-Depth Review : วิเคราะห์หุ้น YG และ Hybe เพราะมีบางคนบอกว่าสองบริษัทนี้เป็นขาลง เช่นเดียวกันกับอนาคตของ KPOP
กรรมตามสนอง YG Entertainment ที่ไม่ยุติธรรมกับน้องลิซ่า แค่6เดือน ขาดทุน187ล้านบาท หุ้นตก50%ขาดทุน 24,187ล้านบาท
https://ppantip.com/topic/42838836
ผมเข้าไปอ่านแล้วรู้สึกตลกดี ที่มีคนแยกไม่ออกระหว่าง Market Cap ของบริษัทในตลาดหุ้น กับผลประกอบการ ที่ทางบริษัทต้องชี้แจงในทุกไตรมาศให้กับตลาดหุ้น เพื่อแสดงความโปร่งใสของบริษัทนั้นๆ แถมยังอ่านงบการเงินไม่เป็นอีก ถึงได้บอกว่า YG ขาดทุน ก็เลยกลัวว่าคนที่อ่านกระทู้นั้นแล้วไม่เข้าใจ จะได้รับสารที่ผิดพลาดอย่างมากไป ก็เลยขอมาอธิบายเป็นประเด็นๆ ดังนี้ครับ
.
ประเด็นที่ 1 : YG และ HYPE ขาดทุนยับจริงมั้ย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Market Cap กับ งบการเงินให้ได้ก่อน ว่ามันต่างกันอย่างไร แล้วถ้าเราจะดูว่าบริษัทไหนกำไร หรือขาดทุน เราต้องดูจากตรงไหน
Market Cap = จำนวนหุ้นของบริษัทนั้นที่มีอยู่ในตลาด x ราคาหุ้นตัวนั้น ณ ราคาปิดแต่ละวัน
ตรงนี้แค่เป็นการอ้างอิงว่ามูลค่าตลาดคร่าวๆ เมื่อคำนวนจากราคาหุ้นว่าจะเป็นเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ที่เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นเช่นกัน ซึ่งจะแปรผันตรงกับราคาหุ้น ราคาหุ้นขึ้นหรือลง Martket Cap ก็แตกต่างกันไป และแน่นอนว่าถ้า Market Cap ใหญ่ก็ส่งผลดีกับภาพลักษณ์ของบริษัท เช่นก็จะเป็นที่สนใจของกองทุนต่างชาติ หรือคนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ใหญ่ๆ มั่นคงๆ นั่นเอง
.
ยกตัวอย่างหุ้น EA เมื่อก่อนราคา 100 บาท วันนี้เหลือราคา 13 บาท สมมติว่าหุ้นมีในตลาด 1000 ล้านหุ้น Market Cap ของหุ้น EA ณ วันนั้นจะอยู่ที่ หนึ่งแสนล้านบาท
แต่ถ้าเอาราคาหุ้นวันนี้ที่ 13 บาทมาคำนวน นั่นหมายความว่า Market Cap ของหุ้น EA จะลดลงเหลือแค่ หนึ่งหมื่นสามพันล้านบาท
.
ถามว่าเราสามารถสรุปได้เหรอว่า EA ขาดทุนไป แปดหมื่นเจ็ดพันล้านบาท จาก Market Cap ที่ลดลงเนื่องจากราคาหุ้นลดลง ??
คำตอบคือไม่ได้ครับ Market Cap ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับผลประกอบการของบริษัทเลย แม้ว่าในเชิง Fair Market ราคาหุ้นควรจะขึ้นลงตามผลประกอบการก็จริง แต่ใครอยู่ในตลาดหุ้น ลงทุนในหุ้น จะรู้ว่ามันไม่จริง มันมีปัจจัยแวดล้อมมากกว่านั้นเยอะ ที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้น หรือลง
.
ดังนั้นถ้าเราจะต้องการทราบว่าบริษัท EA ขาดทุนหรือกำไร เราต้องดูจากผลประกอบการรายไตรมาศของเขา อาจจะมีการเทียบกับไตรมาศเดียวกันของปีที่แล้ว ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไรอีกที นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ
.
งบการเงิน : รายงานความเคลื่อนไหวด้านรายรับรายจ่ายของบริษัท ที่ต้องส่งให้ตลาดหุ้นตรวจสอบ ในกรณีที่บริษัทของคุณเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น ตรงนี้จะรายงานทุกอย่าง รายได้รวมเป็นเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ หักลบต่างๆ นานาแล้ว Net Income เหลือเท่าไหร่ ตรงนี้แหละที่จะใช้ดูว่าบริษัทกำไร หรือขาดทุนเท่าไหร่ในไตรมาศนั้นๆ
ดังนั้นถ้าอยากรู้ว่าบริษัทกำไรหรือขาดทุน ต้องดูที่งบการเงิน ไม่ใช่ไปดู Market Cap ที่ลดลง
.
สรุปประเด็นแรก : หากจะบอกว่า YG หรือ Hybe ขาดทุน เราต้องดูที่ผลประกอบการของเขา ไม่ใช่ดูจาก Market Cap ที่ลดลงจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถ้าไปดูผลประกอบการของบริษัทว่าจะกำไรสุทธิเท่าไหร่ ก็ต้องไปดูตรง Net Income
HYBE : สำหรับผลประกอบการก็ชัดเจนว่า Hybe ไตรมาศ 1/24 ก็มีกำไร่สุทธิ 17.23B ซึ่งอาจจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาศ 1/23 ที่กำไรอยู่ที่ 24.29B แต่ภาพรวมก็คือกำไรไม่ได้ขาดทุนยับอย่างที่เจ้าของกระทู้นั้นบอกมา
และในไตรมาศสองที่จะมีรายรับจากวงใหม่อย่าง ILLIT และศิลปินอื่นๆ ที่ทยอยออกอัลบั้มตามมาเรื่อยๆ ก็คงทำให้รายได้กลับขึ้นไปสูงได้ตามปกติ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใดๆ เลย เพราะถ้าดูจากตารางด้านล่างจะเห็นว่าปกติแล้วใน Q2 3 นี่แหละ ที่จะเป็นช่วงที่รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นสูง ไม่ใช่ในช่วง Q1 แต่อย่างใด มันก็เป็นไปตามกลไกของการออกอัลบั้มนะแหละ
.
YG : ส่วน YG นั้น หลังจากที่ต่อสัญญากับ Blackpink ไม่ได้ และมีศิลปินทยอยออกค่ายไปเรื่อยๆ ก็แน่นอนว่าผลประกอบการก็ลดลง สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ร่วงตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ถามว่าวงใหม่อย่าง Babymonsters ไม่ช่วยอะไรบริษัทเลยเหรอ ก็ต้องตอบว่ารายรับจาก babymonsters จะเข้ามาช่วงไตรมาศ 2/24 เพราะออกอัลบั้มในวันที่ 1 เมษายน และเริ่มทัวร์ fan meet หลังจากนั้น ดังนั้นผลประกอบการรายได้จาก Babymonsters จะรายงานผลในไตรมาศที่ 2
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรายได้ของ YG ในไตรมาศ 1/24 ถึงได้ลดลงมาเยอะมากถึง 98.58% นั่นก็เพราะในไตรมาศแรกไม่มีรายได้เข้ามาสักเท่าไหร่นั่นเอง รายได้ที่เคยได้จาก Blackpink ไม่มีแล้ว เทียบจาก Q1 2 3 4 / 2023 ดูได้ครับว่ารายได้ Total Revenue ลดลงมาแค่ไหน
โดยเฉพาะส่วนแบ่งรายได้จากงานเดี่ยว ถ่ายโฆษณาต่างๆ ของ Blackpink หายไปหมด มีแต่รายจ่าย เช่นการจ้างทีมโปรดิวเซอร์เพิ่มขึ้น เตรียมงานสำหรับ babymonster ที่จะเดบิ้วช่วงต้นเดือนเมษา ซึ่งรายจ่ายพวกนี้ก็มาลงที่ไตรมาศ 1/24 นี่แหละ
ผลที่ตามมาก็คือ Net Incom ของ Q1/24 เหลือแค่ 351.10M เมื่อเทียบกับ Q1/23 ที่อยู่ที่ 24.77B ก็เลยทำให้กำไรลดลงมากถึง 98.58% แต่สรุปแล้วก็ยังมีกำไร ไม่ได้ขาดทุนยับอย่างที่ว่ามา และถ้าย้อนดูจาก Net Income ก็มีกำไรทุกไตรมาศครับ ไม่ได้มีไตรมาศไหนเลยที่ขาดทุน เพียงแค่ว่ารายได้ลดลงเรื่อยๆ อย่างมีนัยยะสำคัญนับตั้งแต่ไม่สามารถต่อสัญญากับ Blackpink ได้นั่นแหละ
จากภาพจะเห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองบริษัทก็กำไรกันหมดแหละ แค่ขาดทุนกำไรเมื่อเทียบจาก Q1/23 ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ขาดทุนอย่างที่เจ้าของโพสนั้นเข้าใจผิด แต่ใครกำไรมากน้อย ก็อยู่ที่ผลงานในการผลักดันศิลปินออกมานะแหละ ออกมาเยอะ ก็กำไรมาก ออกมาน้อยก็กำไรน้อย
ผลจากกำไรที่ลดลงเยอะมากนั้น ทำให้ YG ก็เริ่มตัดกิจการที่ไม่ทำกำไร เพื่อลดความเสียหายลงให้น้อยที่สุด และหวังว่าหลังจาก Babymonsters เริ่มมีเพลงมากพอ แล้วเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตได้ ถึงตอนนั้นน่าจะพอทำให้ YG มีรายได้เติมเข้ามาได้มากขึ้น ดังนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไม YG ถึงพยายามดัน และออกเพลงใหม่ให้ Babymonsters เร็ว และถี่ขนาดนี้ และเพื่อให้ผลประกอบการดูดีขึ้นมา น่าจะต้องมีการเข็นอัลบั้มเต็มออกมาก่อนไตรมาศ 4 ของปีนี้แน่ๆ ดองไม่ได้อีกแล้ว
ก็ต้องรอดูว่าหลังจากหยางกลับมาคุมบริษัทอีกครั้ง สิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเปล่า หลังจากยุคป้าโบทำเอาค่ายตกต่ำลงมามากพอสมควร และกลุ่ม Producer ที่จ้างมาใหม่หลายสิบคน จะทดแทนการจากลาของเท็ดดี้ ที่หอบเอา Blacklabel ไปเช่าตึกใหม่แล้วได้หรือไม่ ตรงนี้ก็ต้องตามดูกันต่อไป