นมัสเต เนปาลไปคนเดียว เดือนมิถุนายน 2567
ย้อนไปเมื่อ 6 เดือนก่อนฝันว่าไปเที่ยวที่ไหนซักที่คล้ายๆอินเดีย แต่ไม่ใช่ ในฝันจำได้ว่าชาวบ้านหน้าแขกๆ บ้านเรือนก่อด้วยอิฐสีส้ม ถนนหนทางแคบๆ และหกเดือนต่อมา ถึงได้มีอาการเดจาวู วูปๆว่าทำไมคุ้นๆสถานที่แห่งนี้ จะเป็นที่ไหน ตามมาเลยค่ะ (ภาพเยอะหน่อยนะคะ)
ขอเกริ่นก่อนว่าจริงๆแล้วเนปาลไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่จะไป พอดีว่าเพื่อนที่เป็นชาวฝรั่งเศสเค้าโพสต์รูป เลยตั้งใจวางแผนอยากไปเที่ยว ดูวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่เนปาล
เริ่มจากการดูตั๋วก่อนเพราะต้องบินจากเชียงใหม่ไป ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องเสียเวลาไปต่อเครื่องที่ กรุงเทพ การเดินทางครั้งนี้ไปคนเดียวเพราะ ไม่อยากพาคนอื่นไปลำบาก อีกอย่างเราชินกับการไปเที่ยวคนเดียวมากกว่า ไม่ต้องรอใคร อยากทำอะไรก็ทำ
ข้อมูลต่างๆก็ได้ มาจากกระทู้ในพันทิป ทั้งเรื่องการทำวีซ่า และการวางแผนเที่ยว รวมถึงคนขับรถตลอดทริป
ออกเดินทาง 27 มิถุนายน - 02 กรกฎาคม 2567 เดิมทีจองทั้งหมดผ่านสายการบินสิงโต แต่ทางสายการบินส่งมายกเลิกเที่ยวบินที่ออกจากเชียงใหม่โดยเลื่อนเป็นไฟล์ที่ไปถึงดอนเมือง ตอน 14:50 น. ซึ่งไฟล์ที่จะบินต่อไปเนปาลออก 15:00 น. แจ้งเรื่องนี้ไปที่เจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่ให้ตัวเลือกมา เราเลือกที่จะขอเปลี่ยนไปบินกับสายการบินอื่นแทน โดยที่พนักงานจะเป็นคนจัดการให้หมด แต่เราจะเสียสิทธิ์ในการโหลดกระเป๋า คือจะต้องไปจ่ายเพิ่มกับสายการบินใหม่เอง ในใจก็กลัวตอนขากลับเพราะจะต้องกลับมาทำงานบ่ายของวันที่เดินทางมาถึง แต่ก็ปกติทุกอย่าง
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงมรสุม ฟ้าปิด มีเมฆมาก ตอนแรกเข้าใจว่าจะเหมือนที่เชียงใหม่ คือฟ้าหลังฝน แล้วสดใสเห็นภูเขาชัดๆ แต่ที่นู้นไม่ใช่ ยังดีที่ยังเห็นภูเขาบ้าง
นี้คือตารางวางแผนการเที่ยวที่ได้มีการปรับเปลี่ยน ที่คิดว่าเหมาะสมกับเราแล้ว
เมื่อถึงสนามบิน ถึงก่อนกำหนด 1 ชั่วโมง ตอนแรกก็กลัวว่าคนขับจะรู้ไหมว่าเรามาถึงก่อน แต่พอมาถึงต้องผ่านกระบวนการต่างๆ กว่าจะออกมารับกระเป๋าก็นานเหมือนกัน
มาถึงแล้วก็ไปจ่ายเงินค่าวีซ่าก่อน 30 USD เคาน์เตอร์อยู่ด้านซ้ายมือสุด ของอาคารไปเข้าแถวจ่ายเงิน แล้วถือใบเสร็จพร้อมเอกสารที่เรากรอกล่วงหน้าเพื่อมาขอวีซ่า on arrival ไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ต.ม หลังจากออกมาแล้วก็รับกระเป๋าแล้วถึงเวลา ไปท่องโลกใหม่สถานที่ใหม่กันแล้ว
จุดรอรับนักท่องเที่ยวตอนแรกนึกว่าอยู่ในอาคาร
ที่พักเราเลือกตามที่อ่านๆมาคือ พักที่ทาเมล Thamel จะเป็นแหล่งรวมทุกๆอย่างสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งมันจริง
คนขับ ขับฝ่ารถติดเข้าไปในเขตทาเมล โชคดีที่เรามีภูมิคุ้มกันจากอินเดียมาแล้ว 2 ครั้ง เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรกับการจราจรที่นี่ เสียงแตรดังตลอดเวลาคือดังจนงง ว่าบีบแตรให้ใคร รถมอเตอร์ไซค์กินเลนทุกตรงที่สามารถทำได้ มอเตอร์ไซค์มุดทุกตรงที่สามารถมุดได้ วุ่นวายมาก บางแยกก็จะเป็นแยกแบบตามใจฉัน ตามจังหวะการมาถึงก่อนเลี้ยวก่อน นั่งอยู่ในรถถ้าไม่ติดไฟแดงไม่กล้าถามอะไรคนขับทั้งนั้น เพราะคนขับต้องใช้สมาธิในการมองรถรอบๆตัวตลอดเวลา
คืนแรกผ่านพ้นไปแบบ งงๆ เพราะยังหลงทางว่าจะต้องไปที่ที่เราปักหมุดไว้ Google map ยังไง ตอนมาถึงคนที่เราติดต่อจองรถ เค้าเอาซิมการ์ด มาให้เราเค้ารวมมาในยอดที่เราตกลงไว้ก่อนหน้านี้เลย มันก็สะดวกดีถ้าอ่านตามที่แนะนำถ้าเราไปซื้อซิมจะต้องพกรูปถ่ายมาด้วยซึ่งตัดปัญหานี้ไป เดินหลงเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาดูร้านข้างทางไปเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวน้อยมาก ขากลับต้องเปิด GPS กลับโรงแรมเพราะจำไม่ได้ว่ามาจากทางไหน ลืมบอกที่นี่ไฟดับเป็นเรื่องปกติ ดับบ่อยจนงงว่านี่โรงแรมตัดไฟเฉพาะห้องเราหรือเปล่านะ ลงไปถามดีไหม ยังไงดี แต่พก Power Bank ไปก็จะดีหน่อย ไฟดับแต่ Wifi ที่โรงแรมยังทำงานอยู่ ในห้องพักก็จะมีไฟสำรองที่ประมาณว่าถึงจะดับนานแต่เรามี 1 หลอดที่เปิดได้ตลอดเวลานะ หลับยาวไม่รู้เรื่องอะไรเลยอาจจะมีฝันนิดหน่อยแต่จำฝันไม่ได้
ที่พักที่เราจองรวมอาหารเช้าเริ่ม 07:30-10:00 น. เวลาที่เนปาลช้ากว่าเรา 1 ชั่วโมง 15 นาที ไม่หิวก็ต้องทานเพราะเดี๋ยวออกไปเที่ยวแล้วจะไม่มีแรง
เริ่มเที่ยวตามรอยมรดกโลกกันเลย
🇳🇵SwayambhuNath Temple or monkey temple.
วัดลิง ลิงเยอะมาก ในวัดนี้จะมีแอ่งน้ำเล็กๆมาจุดต่าง ถ้าเราเหยียบขี้นก ขี้ลิงก็สามารถเอารองเท้าไปแตะๆเหยียบๆให้มันหลุดออกมาได้นะคะ แต่ลืมถ่ายรูปไว้
🇳🇵Patan/Lalitpur "City of art"
คือสวยมากกกกก ถ้านกพิราบไม่เยอะก็คงดี คือเดินไประแวงไป เอาฮูดคลุมหัวตลอดคือกลัวโชคดีนกขรี้ใส่หัว ที่นี่ถ้าเราจ่ายค่าตั๋วแล้วสามารถขอไกด์บุ๊คได้ แล้วเราจะเลือกเดินเองหรือเลือกให้ไกด์ท้องถิ่นนำเราไปก็ได้ ที่นี่ตอนแรกเราโดน 22 USD ต่อการพาเดินชมสถานที่ บอกเราว่าแค่ประมาณ 1,000 บาท ไทยเองสำหรับ 1 ชั่วโมงพาเดินให้ทุกจุด อยากจะบอกว่าที่ไทย ไกด์ 1,000 บาทนี่สำหรับ 1 วันจ๊ะ แต่เราปฏิเสธเค้าบอกว่าจะเดินเอง แต่ด้วยที่เค้าให้เราต่อรองเราเลยขอเลือกไม่ต่อรองแล้วยืนยันจะเดินเอง เค้าจะโน้มนาวเราทุกทาง อ้างไม่มีรายได้บ้าง ให้ช่วยเค้าหน่อยบ้านจนบ้าง พอเราหลุดได้ ช่วงที่เดินไปเรื่อยๆก็ยังมีไกด์ท้องถิ่นมาตามจีบเราอีกเห็นเราเดิน งง เป็นไม่ได้เข้าประกบเราทันที ถ้าคนที่ไม่อยากมีปัญหาพวกนี้ ต่อรองราคาได้แล้วให้เค้าแนะนำเราก่อนแล้วค่อยมาเดินเองทีหลังก็ได้
🇳🇵Golden Temple อยู่ด้านหลัง Patan Dubar Square
🇳🇵Boudhanath stupa
คือใหญ่ อาคารรอบๆเจดีย์คือน่ารัก คล้ายๆยุโรป ที่นี่เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล เราสามารถขึ้นไปเดินวนรอบเจดีย์ได้ แต่ต้องถอดรองเท้านะคะ ข้างๆก็จะมีวัดเล็กๆสามารถเข้าไปดูได้ ตอนแรกจะไม่เดินเข้าไปแล้ว แต่พอเข้าไป ไปเจอ กงล้ออธิษฐาน (The prayer wheel) ใหญ่มากๆ น่าจะสูง 2 เมตรกว่าๆ เราสามารถเข้าไปหมุนได้
ผื้นผิวรอบทรงกระบอกจารึกมนต์แห่งกรุณา ที่ว่า โอม มณิปทฺเม หูม (สันสกฤต: ओं मणिपद्मे हूं) ซึ่งตามประเพณีของชาวพุทธทิเบตแล้ว การหมุนกงล้อดังกล่าวมีผลเท่ากับการสวดมนต์ด้วยปากเปล่า
ชาวทิเบตเชื่อว่าทุกครั้งที่กงล้อนี้หมุนหนึ่งรอบ เท่ากับเป็นการสวดมนต์ได้หนึ่งจบ
🇳🇵पशुपतिनाथ मन्दिर Pashupatinath Temple
UNSECO World Heritage Site NEPAL
วัดนี้เป็นวัดของชาวฮินดู ส่วนชาวพุทธอย่างเราเข้าไม่ได้ ด้านข้างของวัดจะมีแม่น้ำ Bagmati River วัดนี้ด้านข้างแม่น้ำจะมีการทำพิธี+เผาศพ แม่น้ำ Bagmati มีความสำคัญสำหรับชาวเนปาล ถ้าเปรียบก็พอๆกับชาวอินเดียกับแม่น้ำคงคา วัดนี้ถ้าใครจมูกไวต่อกลิ่นให้งดไปพื้นที่ใกล้ๆแม่น้ำนะคะ หรือจะพกผ้าปิดจมูกไปด้วยเลยก็ได้ แต่เรารอดค่ะ พยายามไมคิด รับรู้แค่ว่าไม่ชอบกลิ่นนี้ ตั๋วเข้าของวัดนี้เป็นแบบแข็งๆ เราสามารถเก็บเป็นที่ระลึกได้ ชดเชยการที่ไม่ได้เข้าไปข้างใน
กระทู้นี้ขอจบที่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวจะแยกเป็นอีกกระทู้นะคะ จะไม่รีวิวแทรกลงในคอมเมนต์ หากท่านใดมีคำถามหรือมีข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมสามารถ บอกได้เลยนะคะ
เที่ยวเนปาล เยือนแหล่งมรดกโลก ไม่ Trekking Part 1/2