หลังจากสำรอกไอ้ตัวเที่ยงข้างหลังอยู่เป็น10ปี
หลังจากถูกสะกิดแผลตอนอายุ12 โดย อาจารยฺนิรนามท่านนึง แล้วถูกสมานแผลโดนท่านอาจารย์ V II
ว่าเป็นเรื่องของ บารมีที่พร่อง ธรรมจักรก็หมุนเป็นรอบโดยไม่มีอะไรติดขัด แล้ว
จนเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้กระทบคารมณ์ กับ อาจารย์ นิรนาม ผู้สะกิดแผลของกระผม กระทบ นะครับ ไม่ใช่ ปะทะ
ว่า ตัวป๋มนี้ ไม่จำเป็นต้อง ก้มหัวกับเทวะทั้งหลาย
ซึ่งเป็นจิ๊กซอวของบารมีที่ขาด อันถูกสร้างโดยจิต
หาได้มีไผเป็นไผไม่ ก็โดนกระแทกกับมาว่า
ป๋มเป็นลูกแหง่ ยังปฏิบัติแบบเด็กไม่หย่านมแม่
ยังไม่เคยเข้าป่า เข้าถ้ำเสี่ยงตาย ไม่เคยโดนของ
ไม่เคยล้มละลาย ไม่เคยสูญเสียคนที่รัก ป๋มจึงมีแต่ ทฤษฏี
ป๋มก็เลยฮุกหมัดกลับไปว่า ป๋มไม่จามเป็น
ต้องรอหรือต้องพิสูจน์เพื่อรับการรับรองจากไผทั้งสิ้น
ผู้ที่ไม่รู้จักอาจหาญในธรรมด้วยตัวเอง
ต้องรอ ใครมาชี้มาบอก มาตัดสิน มารับรอง
มาป้อนข้าวหม่ำๆนั่นแหละลูกแหง่ที่แท้ทรู
ป๋มก็โดนหมัดสวนกับมาว่า ป๋มยังปฏิบัติแบบมีตัวตน
ซึ่งก็ถูกของแกรฮับ เพราะเมื่อตรึกว่าจะไม่ศิโรราบ ก็มีอัตตาจริงแหละ แต่การบูชาเทวะธรรม ของ อ นิรนาม
มันก็มีตัวมีตนเหมือนกันที่ต้องซูฮกนั่นนี่
แต่ว่า การถ่อมตัวซูฮกเลียเกือกเทวะ ก็คือการสละตัวตนได้เช่นกัน
ต่างคนต่างมีในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี
พอเรียนคนละบท มันเลย สดกันคนละแบบ
นี่แหละครับพอแล่นไปในวิสัยของ แรด ก็จะเกิดการวิ่งเเล่นไปหาeat บารมีที่หิวทันที ก็จะโดนจี้กลับมา
ซึ่งมันไม่ได้มีเกี่ยวอะไรกัน ทุกอย่างเป็นเอกเทศ
เป็นหนึ่ง ไม่ได้เป็นคู่ สามพันอะไรกัน
ดังนั้น บารมีอะไรมันขาด ใครจะตรัสรู้ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับใคร
พอป๋มกับ อ นิรนาม กระทบคารมณ์กัน
ก็จะเป็นในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างเติมน้ำใส่ขันของกันละกันทั้งที่ขันของทั้งสอง ต่างก็รั่ว
ถ้าขันไม่รั่ว เป็นขันเต็มใบ ก็คงถูกชาวบ้านหยิบไปสรงน้ำพระวันสงกรานต์แล้วจริงมั้ยครับ
ตรงงี้เวลาแลกหมัดกับ อ นิรนาม ก็จะเกิดภาวะหยินหยางทันที คือขาวก็มีในดำ ดำก็มีในขาวทันที
ป ส จ ด ตาย
ก็ทำให้ผมตระหนักรู้ขึ้นมา ถึงตอน พระเวสสันดร
ยอมเสียลูกเมียให้ ชูวิท
มันไม่ใช่การสละเพื่อรวมบารมี แต่คือการสละเพื่อบรรลุสู่
พอระลึกได้เช่นนี้ป๋มก็รู้ว่า ไอ้การไล่บารมี
บำเพ็ญเป็นขั้นๆนั้น ต้องแต่การเป็น พาหนะ เป็น บริวาร มาเป็น สาวก พอเป็นสาวก ก็จะเป็นเรื่องของการภักดีต่อ นั่นเอง ทีนี้ไอ้ป๋ม มันไล่บี้มาหมดแล้ว
ต่อให้พยายามให้ตาย จะเจาะเอา มาให้ได้ด้วยการประจบสอพลอ เทวะภาคต่างๆญาณของเทวะต่างๆ
ก็ไม่สามารถจะเข้าได้ กินยังไงก็ไม่อิ่ม
ขึ้นบรรไดมาจนสุด ยอดเขาแม่มไม่มีใครอยู่บนยอดเหมือนที่หวังมาเป็น อสงไขยเลย มองขึ้นไปก็มีแต่ฟ้าว่างๆ จะหาบรรไดขึ้นต่อ ก็ไม่มีแล้ว เพราะถ้าเเล่นไปหาบรรไดอีก ก็จะมีแต่บรรไดที่ขึ้นมานั่นแหละ
แต่ก็จะกลับเป็นขาลง ไม่ใช่การขึ้นต่อล้าว
ทีนี้ พอก้าวข้ามตรงนี้มาได้
ดอกบัวก็เเย้มบานขึ้นที่ฝั่งนู้น
ผมก็รู้ได้ทัณฑ์ทีว่า ผมไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว
ไม่มีกิจอื่นแล้ว การกำหนดรู้นั่นนี่ ขันธ์กะลังมัง
ที่จะนำออกจากภพ ก็กลายเป็น ดาบสองคมให้กำเริบได้เช่นกัน แต่จริงๆมันก็กำหนดรู้แหละครับ แค่ไม่ได้ไปยึดว่ากำหนด ทีนี้ป๋มก็กลายเป็นสายยน้ำไหลไปไหลไป โดยย ไม่อาจหวนกลับมาอีก
แม้น้ำจะขุ่น แต่ธรรมชาติของน้ำก็คือการไหลโดยที่ไม่หวนคืนกลับมาอีก
ทำไมป๋มถึงเห็นนิพพานได้ ทั้งที่กิเลสยังไม่หมดฮับ🤔🤔
หลังจากถูกสะกิดแผลตอนอายุ12 โดย อาจารยฺนิรนามท่านนึง แล้วถูกสมานแผลโดนท่านอาจารย์ V II
ว่าเป็นเรื่องของ บารมีที่พร่อง ธรรมจักรก็หมุนเป็นรอบโดยไม่มีอะไรติดขัด แล้ว
จนเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้กระทบคารมณ์ กับ อาจารย์ นิรนาม ผู้สะกิดแผลของกระผม กระทบ นะครับ ไม่ใช่ ปะทะ
ว่า ตัวป๋มนี้ ไม่จำเป็นต้อง ก้มหัวกับเทวะทั้งหลาย
ซึ่งเป็นจิ๊กซอวของบารมีที่ขาด อันถูกสร้างโดยจิต
หาได้มีไผเป็นไผไม่ ก็โดนกระแทกกับมาว่า
ป๋มเป็นลูกแหง่ ยังปฏิบัติแบบเด็กไม่หย่านมแม่
ยังไม่เคยเข้าป่า เข้าถ้ำเสี่ยงตาย ไม่เคยโดนของ
ไม่เคยล้มละลาย ไม่เคยสูญเสียคนที่รัก ป๋มจึงมีแต่ ทฤษฏี
ป๋มก็เลยฮุกหมัดกลับไปว่า ป๋มไม่จามเป็น
ต้องรอหรือต้องพิสูจน์เพื่อรับการรับรองจากไผทั้งสิ้น
ผู้ที่ไม่รู้จักอาจหาญในธรรมด้วยตัวเอง
ต้องรอ ใครมาชี้มาบอก มาตัดสิน มารับรอง
มาป้อนข้าวหม่ำๆนั่นแหละลูกแหง่ที่แท้ทรู
ป๋มก็โดนหมัดสวนกับมาว่า ป๋มยังปฏิบัติแบบมีตัวตน
ซึ่งก็ถูกของแกรฮับ เพราะเมื่อตรึกว่าจะไม่ศิโรราบ ก็มีอัตตาจริงแหละ แต่การบูชาเทวะธรรม ของ อ นิรนาม
มันก็มีตัวมีตนเหมือนกันที่ต้องซูฮกนั่นนี่
แต่ว่า การถ่อมตัวซูฮกเลียเกือกเทวะ ก็คือการสละตัวตนได้เช่นกัน
ต่างคนต่างมีในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี
พอเรียนคนละบท มันเลย สดกันคนละแบบ
นี่แหละครับพอแล่นไปในวิสัยของ แรด ก็จะเกิดการวิ่งเเล่นไปหาeat บารมีที่หิวทันที ก็จะโดนจี้กลับมา
ซึ่งมันไม่ได้มีเกี่ยวอะไรกัน ทุกอย่างเป็นเอกเทศ
เป็นหนึ่ง ไม่ได้เป็นคู่ สามพันอะไรกัน
ดังนั้น บารมีอะไรมันขาด ใครจะตรัสรู้ ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับใคร
พอป๋มกับ อ นิรนาม กระทบคารมณ์กัน
ก็จะเป็นในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างเติมน้ำใส่ขันของกันละกันทั้งที่ขันของทั้งสอง ต่างก็รั่ว
ถ้าขันไม่รั่ว เป็นขันเต็มใบ ก็คงถูกชาวบ้านหยิบไปสรงน้ำพระวันสงกรานต์แล้วจริงมั้ยครับ
ตรงงี้เวลาแลกหมัดกับ อ นิรนาม ก็จะเกิดภาวะหยินหยางทันที คือขาวก็มีในดำ ดำก็มีในขาวทันที
ป ส จ ด ตาย
ก็ทำให้ผมตระหนักรู้ขึ้นมา ถึงตอน พระเวสสันดร
ยอมเสียลูกเมียให้ ชูวิท
มันไม่ใช่การสละเพื่อรวมบารมี แต่คือการสละเพื่อบรรลุสู่
พอระลึกได้เช่นนี้ป๋มก็รู้ว่า ไอ้การไล่บารมี
บำเพ็ญเป็นขั้นๆนั้น ต้องแต่การเป็น พาหนะ เป็น บริวาร มาเป็น สาวก พอเป็นสาวก ก็จะเป็นเรื่องของการภักดีต่อ นั่นเอง ทีนี้ไอ้ป๋ม มันไล่บี้มาหมดแล้ว
ต่อให้พยายามให้ตาย จะเจาะเอา มาให้ได้ด้วยการประจบสอพลอ เทวะภาคต่างๆญาณของเทวะต่างๆ
ก็ไม่สามารถจะเข้าได้ กินยังไงก็ไม่อิ่ม
ขึ้นบรรไดมาจนสุด ยอดเขาแม่มไม่มีใครอยู่บนยอดเหมือนที่หวังมาเป็น อสงไขยเลย มองขึ้นไปก็มีแต่ฟ้าว่างๆ จะหาบรรไดขึ้นต่อ ก็ไม่มีแล้ว เพราะถ้าเเล่นไปหาบรรไดอีก ก็จะมีแต่บรรไดที่ขึ้นมานั่นแหละ
แต่ก็จะกลับเป็นขาลง ไม่ใช่การขึ้นต่อล้าว
ทีนี้ พอก้าวข้ามตรงนี้มาได้
ดอกบัวก็เเย้มบานขึ้นที่ฝั่งนู้น
ผมก็รู้ได้ทัณฑ์ทีว่า ผมไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว
ไม่มีกิจอื่นแล้ว การกำหนดรู้นั่นนี่ ขันธ์กะลังมัง
ที่จะนำออกจากภพ ก็กลายเป็น ดาบสองคมให้กำเริบได้เช่นกัน แต่จริงๆมันก็กำหนดรู้แหละครับ แค่ไม่ได้ไปยึดว่ากำหนด ทีนี้ป๋มก็กลายเป็นสายยน้ำไหลไปไหลไป โดยย ไม่อาจหวนกลับมาอีก
แม้น้ำจะขุ่น แต่ธรรมชาติของน้ำก็คือการไหลโดยที่ไม่หวนคืนกลับมาอีก