ชีวิตของผมที่ผ่านการเจ็บป่วย ทำให้เราเห็นคุณค่าในชีวิตมากขึ้น

สวัสดีครับนี้เป็นกระทู้แรกที่ผมได้ลองเขียน ใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนดีไหม เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของผมที่ผ่านสิ่งต่างๆมามากมาย โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของตัวผมเอง
 
......หลายๆคน มักจะพูดเสมอว่า ชีวิตของคนเรานั้นสั้นยิ่งนัก....แต่ชีวิตของผมอาจสั้นกว่าใครหลายๆคนก็เป็นได้
 
เริ่มต้นจาก เหตุการณ์สมัยเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมก็เป็นหนุ่มคนหนึ่งที่มุ่งเม้นอยากทำงาน มาเรียนจบ ผมเรียนจบด้าน Food Science นะครับ ตอนนั้นอายุผมก็ประมาณ 21 ปี เป็นช่วงที่ตระเวนหางานทำ แล้วผมก็ได้งานทำในอุตสากรรมอาหารแช่แข็งส่งออกแห่งหนึ่ง ณ จังหวัดนครปฐม โดยผมได้ทำงานเป็นแผนก Planning และดูแลเกี่ยวกับระบบ ERP ของโรงงาน ชีวิตช่วงนั้นผมต้องจากบ้านมาอาศัยอยู่หอพักไปทำงาน จันทร์ถึงเสาร์ทุกวัน แล้วเนื่องด้วยผมทำแผนก Planning ทำให้เวลาการทำงานของผมบางครั้งค่อนข้างหนัก ข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว เป็นยังงี้ไปๆมาๆ ซักประมาณ 4 ปี จนที่บ้านของผมเริ่มสงสารว่าทำไมตัวผมเองต้องมาทำงานลำบาก ไกลบ้านขนาดนี้ จนพอเข้าเริ่มช่วงอายุ 25 ปี ผมก็ทำงานตามปกติเป็นประจำทุกวัน จนอยู่มาวันหนึ่ง ช่วงพักกลางวัน ผมได้ไปนั่งทานข้าวกับพี่ๆที่ทำงาน หลังจากทานข้าวเสร็จ ช่วงบ่ายกลับขึ้นมาทำงานต่อ พอเวลาผ่านไปสักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวผมเริ่มอึดอัด กางเกงผมเริ่มแน่น แขนขาผมเริ่มบวมเปล่ง ลักาณะเหมือนเนื้อจะแตกออกมาเลยทีเดียว ตอนนั้นผมตกใจมาก พอเราลองอ้าปากดู ก็พบว่าลิ้นไก่เราโตมากกกกกกกกกก    ตอนนั้นตกใจแล้วทำอะไรไม่ถูกมากเลยครับ จึงได้รีบโทรหาแม่ที่กรุงเทพ แล้วเล่าอาการให้ฟังว่าเหมือนจะไม่ดีแล้ว และรีบไปโรงพยาบาลในกรุงเทพให้ไวที่สุด  หลังจากคุยกับคุณแม่เสร็จผมก็ขับรถจากนครปฐมเข้ากรุงเทพเลย ในสภาพที่ร่างกายเปล่งบวมมากๆ
 
หลังจากนั้นประมาณ 2 ชม. ผมก็มานัดเจอคุณแม่ที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ แล้วได้พบคุณหมอ ตอนนั้นคุณหมอก็ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นอะไร แต่สันนิฐานได้ว่า อาจเกี่ยวกับไต เพราะด้วยลักษณะอาการของผมคือตัวบวมทั้งตัว แขนขาเปล่งน้ำมากๆ แต่ถ้ารักษาที่นี้ คชจ. ก็จะแพงมากๆ คุณหมอจึงได้แนะนำให้ไปรักษาตามสิทธิประกันสังคมหรือ รพ.รัฐจะดีกว่า  หลังจากได้ยา และกลับมาบ้าน ตอนนั้นคุณแม่เครียดมาก กังวลว่าเราจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆนานา ว่าอาการที่ผมเป็นมันอันตรายแค่ไหน หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมได้เข้ารักษาใน รพ.รัฐ แห่งหนึ่งใน กทม. ซึ่งคุณหมอได้วินิจฉัยอาการของผม สรุปแล้ว ผมนั้น มีอาการคือ ไตอักเสบ  สาเหตุอาจเกิดจากเรากินของเค็มโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งมันอาจแฝงมาจากพวกซอสมะเขือเทศ ขนมคบเคี้ยว ต่างๆมากมาย หลังจากคุณแม่ได้ฟังคุณหมอพูดก็ตกใจ กลัวว่าอาการมันจะรุนแรงถึงขั้นฟอกไตไหม แต่คุณหมอก็ได้อธิบายว่า อาการไตอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเกิดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ โดยวิธีการคือ ต้องควบคุมการกินอาหาร  ทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และจะต้องทานยาตามหมอแนะนำ หลังจากพบคุณหมอเสร็จ ชีวิตของผมก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการกิน โชคดีที่พ่อผมเค้าเป็นคนชอบทานอาหาร ผมจำได้ดีเลย ทุกอาทิตย์พ่อกับแม่จะออกไปซื้อวัตถุดิบเพื่อมาเตรียมทำอาหารสุขภาพให้ผมทาน จำได้ว่าอาทิตย์หนึ่งหมดค่าอาหารไปหลายพันเลย และคุณพ่อยังตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวให้ผมไปทานที่ทำงานทุกวัน ตอนนั้นผมสงสารพ่อกับแม่มาก แต่ก็ทำให้รู้เลยว่า ท่านทั้งสองรักเรามากขนาดไหน แล้วในแต่ละมื้ออาหารที่ผมทาน ผมยังต้องทานยาครั้งละประมาณ 20 กว่าเม็ดต่อมื้อ จำได้เลยว่าหายใจเข้าออกกลิ่นเป็นยาเลย แต่คุณหมอก็ได้บอกถึงผลข้างเคียงขอยาว่า จะทำให้เราหน้ากลมเหมือนพระจันทร์ แล้วมันจะไปปรับฮอร์โมนในร่างกายเรา อาจทำให้สิวขึ้นไว หนวดขึ้นไว ผมใช้ระยะเวลารักษาเกือบปี และเฝ้าติดตามอาการมาตลอด จนเหมือนร่างกายเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ คุณหมอก็เริ่มให้หยุดยา และเฝ้าติดตามอาการปีละครั้ง  ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมตระหนักได้เลยว่า พ่อกับแม่รักผมมากขนาดไหน เรายังอยากใช้ชีวิตอยู่กับพวกท่านทั้งสองมากๆ  แล้วหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณแม่ผมอยากให้ผมกลับเข้ามาทำงานใน กทม. ไม่อยากให้ลูกต้องเหนื่อยทำงานในสายโรงงานอุตสาหกรรมอีกแล้ว
 
.......ผมลืมบอกไปตั้งแต่เรียนจบมา ผมก็ได้สอบภาค ก ป.ตรีไว้ เพราะคุณแม่อยากให้ผมรับราชการมากๆ ผมจึงได้สอบทิ้งไว้ จนผมได้ทำงานเอกชนเข้าสู่ปีที่ 5 กับเกิดเหตุการณ์ป่วยเป็นไตอักเสบนั้น ทำให้คุณแม่เริ่มบอกให้ผมหาสอบราชการเพื่อที่จะต้องไม่ทำงานสายโรงงานอุตสาหกรรมอีก แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ไปสอบนะ มีแอบดื้ออยู่ 555555 ก็เราคิดว่า เราอุส่าเรียน Foodscience มา เรียนก็ยาก ก็ยังอยากใช้ความรู้ที่เรียนอยู่ให้คุ้มนะครับ  แต่ถ้าถามผมถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หรือถ้ามีลูกนะ ผมก็คงไม่ให้ลูกเรียนด้านนี้ เพราะมองว่าวิชาชีพกับผลตอบแทนไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่เลย (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) หลังจากผ่านเหตุการณ์เจ็บป่วยในครั้งนั้น ผมก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกฝ่าย Planning และได้มอบหมายให้ไปวางระบบ ERP ให้กับโรงงานใหม่ที่กำลังสร้าง ซึ่งถือว่ามีความท้าทายมากครับ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่เราได้เรียนรู้ด้านระบบ ERP ตรงนี้ ทำให้ผมมีแต้มต่อเวลาไปสมัครงานที่อื่น มักจะได้เปรียบคนอื่นเสมอตรงเรามีพื้นฐานตรงนี้ค่อนข้างมากเลยครับ เพราะตอนนั้นผมทำทั้ง คนคิดสูตรการผลิต ผูกสูตรในกระบวนการผลิต BOM ทำ Stock กำหนดรหัสต่างๆมากมาย แทบจะบอกว่าเกือบ 70% ในระบบเป็นผมเกือบหมดเลย 555555 ไม่รู้ตอนนั้นรอดมาได้ไง ในช่วงที่ผมทำงานเอกชนผมก็คิดจะลาออกหลายรอบนะครับ เป็นธรรมดาครับในสังคมทำงานที่เราจะมีทั้งเพื่อนร่วมงานที่ดี และเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ซึ่งผมก็โดนมาหมดแล้ว มีครั้งหนึ่งจำได้ว่า มีพี่คนหนึ่งเมื่อก่อนจะสนิทกับผมมากๆ ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่อยู่มาวันหนึ่งแกก็เปลี่ยนไป จนผมก็งงว่าทำไมแกเปลี่ยนไป จนอยู่มาวันหนึ่งผมต้องประสานงานทำงานกับเค้าในระบบ ERP แต่เค้ากลับตอบกลับมากด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ แล้วเขียนข้อความลงในกระดาษแล้วมาแปะไว้ที่โต๊ะผม (ข้อความก็จะออกแนวประมาณว่า ต่อว่าผมว่าทำงานให้มันดีหน่อย เหมือนจะบอกว่าผมทำงานผิด เค้าต้องมาแก้ในระบบส่วนของเค้าตลอด) ประมาณนั้นนะครับเท่าที่ผมจำได้ หลังจากผมได้เห็นกระดาษใบนั้น ผมก็กะว่าจะเดินเข้าไปคุยกับเค้าว่าจะถามว่าผมทำอะไรผิด แต่ผมก็นึกได้ว่า ช่วงนี้เค้าก็ไม่ค่อยอยากคุยกับผม ผมเลยจะเขียนกระดาษตอบกลับไปว่า พี่จะให้ผมแก้อะไร ผมทำอะไรตรงไหนในระบบผิด หลังจากนั้นผมก็เดินเอากระดาษจะไปยื่นให้เค้าที่โต๊ะ  ทุกคนครับกระดาษของผมยังไม่ได้วางลงบนโต๊ะเค้าเลยครับ  พี่คนนั้นรีบหยิบกระดาษจากมือผมไปพร้อมทั้งขย้ำๆ แล้วปาใส่หน้าผมอ่ะ  ตอนนั้นผมแบบยืนนึง ตัวสั่นมาก แบบมือกำแล้วอ่ะ แบบข่มใจๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย แล้วผมก็สงบสติอารมณ์เดินออกมา จนพี่ๆในออฟฟิตทุกคนมองว่า 2 คนนี้มันเกิดอะไรขึ้น จนเรื่องไปถึงผู้จัดการโรงงาน จนผู้จัดการโรงงานเรียกให้ผมและพี่คนนั้น เข้าพบแล้วให้อธิบายว่าเรื่องมันเป็นมายังไง โดยมีพี่อีกคนที่เป็นคนกลางที่เราและพี่คนนั้นสนิทด้วยเค้ามาฟังด้วย ซึ่งเข้าไปตอนนั้น ผมก็อธิบายว่า ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะอยู่ดีๆ พี่คนนั้นก็เปลี่ยนไป มีท่าที่ที่เปลี่ยนไป โดยเราก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรผิดเมื่อไหร่ จนผู้จัดการโรงงานก็หันมาถามพี่คนนั้นว่าสรุปเธอเป็นอะไร ไปโกรธหรือไม่พอใจอะไรน้องเค้า ตอนแรกพี่คนนั้นก็ตอบแบบอ้อมไปอ้อมมา ว่าก็น้องทำงานไม่ดี ทำงานไม่รอบคอบ ค่อยต้องมาคอยตามเช็ดตามเก็บเรื่อยๆ จนผู้จัดการโรงงานถามจี้ว่า ที่ต้องคอยตามเช็ดตามเก็บเช่นเรื่องไรบ้าง และพี่เค้าก็ตอบไม่ได้ จนพี่คนนั้นเค้าก็หลุดขึ้นมา ซึ่งผมจะบอกให้ฟังนะครับว่าสาเหตุของเรื่องนี้นั้น คือ พี่คนนี้เค้าจะมีอีกหน้าที่หนึ่งคือทำหน้าที่ปริ้นสลิปเงินเดือนของแต่ละแผนกและจัดทำสรุปเงินเดือน ซึ่งพี่เค้าคงเห็นเงินเดือนของทุกคนและ แล้วเค้าก็ดันไปเห็นเงินเดือนของผม ซึ่งได้เงินเดือนสูงกว่าเค้า ซึ่งเค้ามองว่า เค้ามีประสบการณ์ทำงานมากกว่า ทำไมเราถึงได้เงินเดือนสูงกว่าเค้า  คือพี่คนนั้นเค้าจบวุฒิ ปวส นะครับ และเค้ามองว่าผมไม่ควรได้เงินเดือนที่สูงกว่าเค้า ซึ่งพอผมฟัง ผมก็แบบ What..... อะไรกันครับเนี่ย  นี้คือสาเหตุที่คุณเปลี่ยนไปคือ คุณแอบดูเงินเดือนคนอื่น แล้วก็มาตัดสินใจแทนว่าคนนั้นคนนี้ไม่ควรได้เงินเดือนเท่านี้อ่ะหรอ  ผมแบบหมดคำจะพูดเลยครับ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นนะครับ ผู้จัดการโรงงานก็ให้ต่างฝ่ายต่างขอโทษกัน แล้วให้มันจบๆไป เพื่อที่จำสามารถทำงานต่อไปได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะครับ แต่หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นผ่านไปสัก 1 เดือน  พี่คนนั้นเค้าก็ขอลาออกไปเองครับ...................   ซึ่งหลังจากที่พี่เค้าลาออก ทุกคนก็กลับมาทำงานปกตินะครับ 

>>>>>ต่อจากนี้จะเป็นการเจ็บป่วยอีกครั้งของผม และการย้ายไปที่ทำงานสถานที่ใหม่ครับ
 
..........วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้เดี่ยวจะมาเล่าต่อนะครับ ชีวิตของผมยังต้องเจออะไรอีกเยอะเลย...........   T^T ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ
อันนี้เป็นการเขียนกระทู้ครั้งแรก หากพบแท็กผิดกลุ่ม อ่านแล้วไม่ราบรื่น มีพิมพ์ผิด พิมพ์ถูก ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่