ชีวิตจริง เศร้ากว่านิยายกับปัญหาครอบครัวของLGBTQที่สุดท้าย…เหลือตัวคนเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมเอง ที่ตอนนี้เป็นปัญหาแต่คิดว่าคงหมดแล้วเพราะเค้าไม่ติดต่อมาหลายปีแล้ว ยาวหน่อยแต่อยากให้เพื่อนๆอ่านให้จบ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและคุยกับผมต่อหน่อยนะครับ
สวัสดีครับ ผมมีเรื่องปัญหาครอบครัวจะมาเล่าให้ฟัง สามารถแสดงความคิดเห็นในมุมมองของเพื่อนๆได้นะครับ
ครอบครัวเราเดิมทีมี 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว และเราที่เป็นน้องชาย โดยเรามีอายุห่างจากพี่สาวเราประมาณ 10 ปี ต้องบอกตามตรงว่าตอนเด็กๆช่วงเราเรียนอนุบาล เราและพี่สาวเราค่อนข้างรักกันแต่ก็มีผิดใจกันบ้างเล็กน้อยตามประสาพี่น้อง ปัจจุบันเราอายุ 24 ปี พี่สาวอายุ 34 ปี ตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่มีพี่สาว เรากลายเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ เพราะเรื่องมีอยู่ว่า..
ย้อนกลับไปสมัยช่วงที่ผมอายุ 11 ขวบ หรือประมาณ ป.5 พี่สาวผมได้เจอกันแฟนของเค้า และก็พาเข้าบ้าน ตกลงเรื่องแต่งงานนั่นนี่ ตอนนั้นเราก็เด็ก ไม่ได้รู้อะไรมาก เค้าจะรักใครชอบใครเรื่องของเค้า แต่สิ่งหนึ่งทำจำได้แม่นคือเสียงร้องไห้พี่สาวและเสียงต่อว่าจากแม่เราที่เราสัมผัสได้คือไม่โอเคกับแฟนพี่สาวคนนี้เลย เพราะต้องบอกตามตรงว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะเรื่องการเงินในระดับนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่รวยมาก แค่พอมี แต่ถือว่าดีกว่าฝั่งสามีเพราะฝั่งนู้นมาแต่ตัวจริงๆ และประเด็นคือพี่สาวเรามีคู่หมั้นที่แม่อยากให้แต่งงานด้วยมาก่อนนั้นอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เราว่าแม่เราก็ทำไม่ถูกต้องที่จะไปบังคับหรือฝืนใจใคร แต่สุดท้ายแม่ก็ต้านแรงรักของพี่สาวเราไม่ได้ก็เลยได้แต่งงานกัน และค่าสินสอดทั้งหมด แม่เราคืนให้พี่สาวและพี่เขยให้ไปตั้งตัว ต้องบอกอย่างนี้ว่า สามีและพี่สาวเราไม่มีวุฒิการศึกษา ม.6 จริงๆแม่ส่งเรียนนะครับแม่อยากให้เรียนอยู่แล้วแต่ก็มีเหตุให้พี่สาวไม่เรียนต่อเรื่องนี้ไม่ขอพูด มันก็เลยไม่สามารถที่จะไปทำงานอะไรได้ในยุคนั้น แต่ครอบครัวเราก็ยังพอมีหลากหลายสิ่งให้ทำทั้งงานเกษตร งานธุรกิจส่วนตัวอีกบางส่วน แม่เราก็เลยให้พี่สาวและพี่เขยไปดูแลงานเกษตร โดยรายได้จะแบ่งให้แม่เรา 60% และพี่สาวอีก 40% เพราะแม่เราดูแลเรื่องการใส่ปุ๋ยและอุปกรณ์ทุกๆอย่าง พี่สาวมีหน้าที่แค่เก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อไปขายแล้วเอาเงินมาแบ่งแม่เท่านั้น บอกเป็นตัวเลขจำนวนเงินคือผลผลิตได้อาทิตย์ละ 30,000 บาท พอแบ่งแล้วพี่สาวและพี่เขยจะได้ราวๆ 12,000 บาทต่ออาทิตย์ ซึ่งเดือนนึ่ง พี่สาวเราจะมีรายได้ราวๆ 5 หมื่นบาท อันนี้แค่ที่เดียวนะครับที่แม่ให้ทำเพราะพี่สาวจะทำเองทั้งหมด ส่วนเกษตรอีกบางส่วนแม่จ้างคนทำอยู่แล้วครับ
อ่ะๆต่อ แล้วเค้าก็เริ่มตั้งตัวได้ นำเงินค่าสินสอดไปดาวน์รถมา และใช้เงินที่ทำงานกับแม่เราในการผ่อนไปเรื่อยๆ จนหมดงวด หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป พี่สาวและพี่เขยว่าให้แม่เรา ว่าพ่อแม่ทำไมให้ลูกมาเป็นคนรับใช้ ใช้ลูกตัวเองทำเกษตรอะไรประมาณนั้น ทำให้พ่อแม่เสียใจมากที่ลูกมีความคิดแบบนั้น จนพี่เริ่มเปลี่ยนไป แม้แต่ผมที่อยู่ ป.5 วันนั้นผมจะไปเรียนพิเศษในเมือง พี่สาวและพี่เขยจะไปเที่ยวกันเค้าก็จะผ่านทางนั้นพอดีเค้าก็ไม่ชวนผมขึ้นรถทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ผมก็เลยต้องนั่งรอรถเมย์ไปเอง ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเค้าเปลี่ยนไป
ต่อเลยนะ หลังจากนั้นพี่สาวก็เริ่มอยากมาดูแลกิจการ แต่แม่ก็ลงทุนให้โดยเปิดเป็นเหมือนอีกส่วนให้พี่เค้าทำเองแบบ100%ไปเลย เพราะในส่วนกิจการครอบครัว ณ ตอนนั้นแม่และพ่อยังบริหารและดูแลต่ออยู่แล้ว เลยไม่ได้ให้ใครมามีสิทธิยุ่งใดๆในธุรกิจนั้น จากนั้นเค้าก็เริ่มทำและบ่นๆว่าทำไปก็ไม่ดี ยอดขายไม่มี และดูถูกสถานที่ ที่แม่ตัวเองสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ว่าห่วย ไม่มีลูกค้า ไม่มีคนซื้อ ทั้งๆที่ส่วนที่แม่ลงทุนให้ คือแม่จะลดผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ลูกสาวขายออกไป แต่แม่สังเกตเห็นว่าเค้าไม่เต็มที่กับการทำงาน คือการเปิดตามใจฉัน ประมาณนั้น แม่ก็เสียใจที่ไม่รู้จะทำยังไงให้ลูกเข้าใจ แต่พี่เราเป็นคนที่ชอบเอาชนะ และสอนด้วยการพูดดีๆจะไม่ฟัง เค้าจะต้องได้ทำเองเท่านั้น!! แม่ก็ปล่อยจนเลยเถิดมาเรื่อยๆ เค้ามองเห็นว่าลูกสาวเค้าเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่เคยรักน้อง ไม่เคยมีความคิดที่เห็นแก่ตัว แต่พอเวลาผ่านไปจนผมเริ่มโต 16 ปี พี่สาวก็ไปไม่รอดกับธุรกิจที่แม่ลงทุนให้ แม่ก็ต้องเซ้งต่อมาทำ เค้าเลยไปจับทางธุรกิจของเค้าเองและย้ายออกไปอยู่บ้านอีกหลังที่แม่ทำไว้ จนตอนนี้เค้าน่าจะรวยกว่าแม่แล้วด้วยซ้ำนะ555555
แต่แล้ว เมื่อผมอายุ 19 ปี ผมตัดสินใจพลาดคือไม่รู้ใจตัวเองว่าธุรกิจที่แม่ทำไม่ใช่ทางของผม แต่ผมก็ยังพยายามยื้อมันไว้ แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือสังคมมันเปลี่ยน และแม่เองก็เริ่มท้อถอยมาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลูกสาวย้ายออกจากบ้านไปแถมมารู้ว่าผมเป็นเกย์ตอนผมอยู่ ม.5 ยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมสั่นมากที่จะบอกแม่ เพราะแม่ค่อนข้างเป็นครอบครัวแบบคนจีน เรื่องไรแบบนี้เค้าจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายผมสามารถทำให้แม่เข้าใจได้ ณ ตอนที่ยอมรับเลย ผมพูดกับแม่ว่า”ผมไม่เอาเมียหรือมีลูกนะ ผมไม่ชอบผู้หญิง ตอนนี้ผมก็ไม่ได้มีใครเป็นแฟน ผมยังเรียนอยู่ แต่ถ้าแม่จะหวังให้ผมแต่งงานแล้วมาดูแลกิจการผมทำให้ไม่ได้!!“สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมรับแล้วว่าสิ่งที่แม่สร้างที่แม่หา สุดท้ายมันก็คงต้องสิ้นสุดลง พอผมขึ้นมหาลัย ปี1 ผมต้องยอมรับเลยว่ารายได้ธุรกิจครอบครัวผมมันลดลง จากเดือนละ2แสน3แสน เหลือเดือนละ 7-8 หมื่น จนกระทั่งผมต้องตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยมาเพื่อวางระบบใหม่ คิดทำปรับพื้นที่ใหม่ ลงทุนหมดไปราวๆ 5 ล้านบาท โดยแม่ใช้เงินสดที่แม่เก็บว่าจะส่งผมเรียน
“นี่คือจุดพลิกผันที่ผิดพลาดที่สุดของผม”
เพราะพี่สาวและพี่เขยกลับมาบ้าน พร้อมต่อว่าแม่สารพัด ว่าทำกิจการให้น้องยิ่งใหญ่อลังการ แต่ตอนตัวเองอยู่ให้หนูเป็นแค่คนงานในสวน ซึ่งผมเข้าใจทั้งแม่และพี่สาว เพราะแม่เองอยากจะวางธุรกิจตัวนั้นแล้วตั้งแต่รู้ว่าผมเป็นเกย์ ส่วนพี่สาวเองก็จับทางธุรกิจตัวเองได้จนรวยแล้ว แต่เค้าก็ยังคงเป็นทุกข์ในใจของเค้าอยู่ เค้าแยกบ้านออกไปอยู่ตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ที่เค้ามาว่าสถานที่ตรงนี้ที่แม่สร้างมา มันค้าไม่ขึ้นแล้ว ซึ่งเค้าพูดถูก!! เพราะรายได้มันแย่ลงมากๆ จนแม่ผมท้อกับคำๆนั้นที่พี่พูด และอยากเลิกทำในที่สุด
ต้องบอกอย่างนี้ว่า ความตั้งใจของแม่คืออยากให้พี่สาวมาคุมธุรกิจทั้งหมด และให้พี่สาวรับหน้าที่ในการส่งผมเรียน ดูแลผมให้ดี เพราะผมเป็นLGBTQซี่งแน่นอน ผมไม่มีใคร ไม่มีลูกไม่มีเมีย ผมอยู่ตัวคนเดียว
และสุดท้ายผมก็อยู่ตัวคนเดียวจริงๆ ทำให้ผมไม่อาจยื้อธุรกิจแม่ไว้ได้ ผมบริหารพังไปหมด เงินสดที่เอาออกมาที่คิดว่าจะปรับปรุงพัฒนาใหม่ มันกลับล่มจม จนตอนนี้ผมก็ออกมาจากตรงนั้นและปล่อยทิ้งร้างแค่สิ่งปลูกสร้างที่เมื่อก่อน แม่เราหาเลี้ยงเรามาจนมีเงินมีทองมากมาย
ท้ายที่สุด“ผมก็ทำมันพัง”
แต่แม่ผมไม่โกรธไม่ต่อว่าอะไรผมทั้งสิ้น กลับดีใจด้วยซ้ำที่ผมไม่ทำมันต่อแล้ว เพราะแม่ผมเคยพูดว่า“หาไปเยอะๆแล้วลูกจะให้ใคร” ซึ่งมันทำให้ผมคิดได้ ว่าผมเป็นlgbtqที่โสดและผมไม่แสวงหาความรักหรือคิดจะจริงจังกับใคร และช่วงนั้นที่ผมพยายามมาบริหารร้าน ผมก็ไม่มีใครมาช่วยผมในส่วนนี้เลย ผมทำคนเดียวจนมันพัง และแน่นอนว่าสถานการณ์การเงินผมและครอบครัวก็แย่ลง เพราะแม่ใช้เงินสดลงทุนไม่ได้กู้หนี้ใดๆ แต่มันคือความโชคดีที่แม่ไม่มีหนี้
แต่จากเดิมที่เคยมีเงินหลักสิบล้านขึ้นไป ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่ล้าน ผมต้องขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ผมทำมันพังนั้นให้ได้ให้เจ้าของใหม่เค้ามาดูแลต่อ ผมถึงจะพออู้ฟู่ขึ้นมาหน่อยนึ่ง
แต่แปลกที่ตอนนี้ผมกลับใช้ชีวิตอย่างแฮปปี้และมีความสุขกับการที่เงินมันเหลือน้อย เพราะสุดท้ายผมก็กินข้าวแค่ 3 มื้อ และเข้านอนแบบคนปกติทั่วไป ไม่สิ ผมเป็นคนนอนดึก5555 มัรทำให้ผมไม่แสวงหาในการอยากรวย อยากได้ อยากมี แต่ก็ยอมรับว่าตนเองค่อนข้างติดหรูเพราะความเคยชินตอนนี้พยายามปรับแก้การใช้เงินของตนเองลงอยู่
แต่…สิ่งที่พังกว่าเงิน “คือความสัมพันธ์ครอบครัว” ที่เมื่อก่อนผมเคยมีพี่สาวที่อบอุ่น มีพ่อแม่ลูก แต่พอพี่สาวมาเจอสามีคนนี้ตั้งแต่แต่งงานมา ความคิด ทัศนคติ และมุมมองของพี่สาวผมกลับเปลี่ยนไป หลังจากแต่งงานพี่ไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ผมสักอย่างถ้าผมไม่มีผลประโยชน์ จะชวนไปกินข้าวนอกบ้านทีก็ต้องแลกกับบางอย่างเสมอ เช่น ใช้ไปทำธุระให้ ไปนู้นนี่นั้นให้ไรงี้
จนปัญหาตอนนี้คือ“เรื่องมรดกที่เหลืออยู่” พี่สาวมาพยายามพูดให้แม่โอนทรัพย์สินในส่วนของตนให้เป็นชื่อสามี และอ้างว่า“สามีหนูเค้าแต่งงานเข้ามาเค้ายังไม่ได้อะไรเลย?”ถ้าเลิกกันไปเค้าจะได้อะไรบ้าง? คำถามนี้ทำแม่อึ้ง!! เพราะบ้านที่อยู่อาศัย แม่ก็อนุญาตให้เค้าต่อเติมหรือจะสร้างหรูๆแค่ไหนก็สร้างเอา แต่เค้าก็ไม่ทำ แม้แต่ตัดหญ้าดูแลบ้านที่แม่ให้ ก็ไม่ทำเพราะเค้าบอกว่า มันยังไม่ใช่ของหนู จะให้หนูลงทุนสร้างลงทุนต่อเติมได้ยังไง เค้ามาพูดแบบนี้กับแม่ ทำให้แม่ยิ่งรู้สึกเสียใจ แม่เลยตอบกลับไปว่า“ลูกจะรีบไปไหน แม่ยังไม่แก่ไม่ตายเลย แล้วสามีของลูกเค้าเข้ามาทำอะไรให้แม่บ้างล่ะ?ทำไมถึงต้องโอนให้เป็นชื่อเค้า” (แม่ผมพึ่งอายุ 55 ปี) แม่รู้สึกว่าทำไมลูกต้องรีบเรื่องมรดกขนาดนั้น แถมยังต้องให้โอนเป็นชื่อสามี ณ ตอนนี้ เค้าก็ยังคิดไม่ได้ว่าแม่เสียใจที่เค้ากลายเป็นแบบนั้นไป ทำให้ตอนนี้แม่คุยกับผมเรื่องจะขายที่ดินแล้วเอาเป็นเงินสดออกมาดีกว่า อย่างน้อยผมก็จะต้องได้บ้าง เพราะผมเป็นลูกคนเล็ก ถ้าแม่ไม่เปลี่ยนทรัพย์ให้เป็นเงินสด มันจะถกเถียงกันเรื่องมรดกไม่จบสิ้น เค้าจะได้แบบครึ่งๆและกลายเป็นสินสมรสให้กับผู้ชายที่แม้แต่ตัวเค้ายังพูดเองว่า“หากวันหนึ่งหย่ากันจะได้อะไร” แม่กลัวว่าสุดท้าย ถ้าเกิดเค้าหย่าร้างกัน ลูกสาวจะกลายเป็นว่าไม่เหลืออะไรเลย ทำให้แม่อยากเปลี่ยนทรัพย์เป็นเงินสด เผื่อวันนึ่งลูกสาวท่านคิดได้ อย่างน้อยก็พอมีเงินสดที่จะให้ได้ และผมเองก็คงต้องทำแบบนั้น เพราะผมมองหาใครไม่เห็นเลยว่าถ้าสุดท้ายทรัพย์สินมันเป็นของผม แล้วท้ายที่สุดมันก็จะเป็นของใครไปได้นอกจากหลานตัวเล็กของผม เพราะผมเป็นlgbtq แต่เขากลับไม่ดูแลผม ไม่รักผมเหมือนน้อง
ผมเลยคิดเรื่องจะจัดการทรัพย์สินว่า ถ้าเกิดเค้าไม่ยอมอ่อนต่อแม่ของตนเอง หรือ ”ไม่คิดจะกลับมารักผมแล้ว“
ถ้าผมตายไปหรือกำลังล้มป่วยอยู่ ผมก็คงอาจจะยกทรัพย์สินบางส่วนกับคนที่ดูแลผมตอนใกล้ตาย และที่เหลือผมก็คงจะบริจาคให้หน่วยงานการกุศลทั้งหมด มันจะดีไหมครับหรือมันควรเป็นไปในทิศทางไหนดีครับ
เม้นแสดงความคิดเห็นกันเข้ามาได้นะครับ
“พี่สาวที่ผมรัก“เปลี่ยนไปหลังจากแต่งงาน!!
สวัสดีครับ ผมมีเรื่องปัญหาครอบครัวจะมาเล่าให้ฟัง สามารถแสดงความคิดเห็นในมุมมองของเพื่อนๆได้นะครับ
ครอบครัวเราเดิมทีมี 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว และเราที่เป็นน้องชาย โดยเรามีอายุห่างจากพี่สาวเราประมาณ 10 ปี ต้องบอกตามตรงว่าตอนเด็กๆช่วงเราเรียนอนุบาล เราและพี่สาวเราค่อนข้างรักกันแต่ก็มีผิดใจกันบ้างเล็กน้อยตามประสาพี่น้อง ปัจจุบันเราอายุ 24 ปี พี่สาวอายุ 34 ปี ตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่มีพี่สาว เรากลายเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ เพราะเรื่องมีอยู่ว่า..
ย้อนกลับไปสมัยช่วงที่ผมอายุ 11 ขวบ หรือประมาณ ป.5 พี่สาวผมได้เจอกันแฟนของเค้า และก็พาเข้าบ้าน ตกลงเรื่องแต่งงานนั่นนี่ ตอนนั้นเราก็เด็ก ไม่ได้รู้อะไรมาก เค้าจะรักใครชอบใครเรื่องของเค้า แต่สิ่งหนึ่งทำจำได้แม่นคือเสียงร้องไห้พี่สาวและเสียงต่อว่าจากแม่เราที่เราสัมผัสได้คือไม่โอเคกับแฟนพี่สาวคนนี้เลย เพราะต้องบอกตามตรงว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะเรื่องการเงินในระดับนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่รวยมาก แค่พอมี แต่ถือว่าดีกว่าฝั่งสามีเพราะฝั่งนู้นมาแต่ตัวจริงๆ และประเด็นคือพี่สาวเรามีคู่หมั้นที่แม่อยากให้แต่งงานด้วยมาก่อนนั้นอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เราว่าแม่เราก็ทำไม่ถูกต้องที่จะไปบังคับหรือฝืนใจใคร แต่สุดท้ายแม่ก็ต้านแรงรักของพี่สาวเราไม่ได้ก็เลยได้แต่งงานกัน และค่าสินสอดทั้งหมด แม่เราคืนให้พี่สาวและพี่เขยให้ไปตั้งตัว ต้องบอกอย่างนี้ว่า สามีและพี่สาวเราไม่มีวุฒิการศึกษา ม.6 จริงๆแม่ส่งเรียนนะครับแม่อยากให้เรียนอยู่แล้วแต่ก็มีเหตุให้พี่สาวไม่เรียนต่อเรื่องนี้ไม่ขอพูด มันก็เลยไม่สามารถที่จะไปทำงานอะไรได้ในยุคนั้น แต่ครอบครัวเราก็ยังพอมีหลากหลายสิ่งให้ทำทั้งงานเกษตร งานธุรกิจส่วนตัวอีกบางส่วน แม่เราก็เลยให้พี่สาวและพี่เขยไปดูแลงานเกษตร โดยรายได้จะแบ่งให้แม่เรา 60% และพี่สาวอีก 40% เพราะแม่เราดูแลเรื่องการใส่ปุ๋ยและอุปกรณ์ทุกๆอย่าง พี่สาวมีหน้าที่แค่เก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อไปขายแล้วเอาเงินมาแบ่งแม่เท่านั้น บอกเป็นตัวเลขจำนวนเงินคือผลผลิตได้อาทิตย์ละ 30,000 บาท พอแบ่งแล้วพี่สาวและพี่เขยจะได้ราวๆ 12,000 บาทต่ออาทิตย์ ซึ่งเดือนนึ่ง พี่สาวเราจะมีรายได้ราวๆ 5 หมื่นบาท อันนี้แค่ที่เดียวนะครับที่แม่ให้ทำเพราะพี่สาวจะทำเองทั้งหมด ส่วนเกษตรอีกบางส่วนแม่จ้างคนทำอยู่แล้วครับ
อ่ะๆต่อ แล้วเค้าก็เริ่มตั้งตัวได้ นำเงินค่าสินสอดไปดาวน์รถมา และใช้เงินที่ทำงานกับแม่เราในการผ่อนไปเรื่อยๆ จนหมดงวด หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป พี่สาวและพี่เขยว่าให้แม่เรา ว่าพ่อแม่ทำไมให้ลูกมาเป็นคนรับใช้ ใช้ลูกตัวเองทำเกษตรอะไรประมาณนั้น ทำให้พ่อแม่เสียใจมากที่ลูกมีความคิดแบบนั้น จนพี่เริ่มเปลี่ยนไป แม้แต่ผมที่อยู่ ป.5 วันนั้นผมจะไปเรียนพิเศษในเมือง พี่สาวและพี่เขยจะไปเที่ยวกันเค้าก็จะผ่านทางนั้นพอดีเค้าก็ไม่ชวนผมขึ้นรถทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ผมก็เลยต้องนั่งรอรถเมย์ไปเอง ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเค้าเปลี่ยนไป
ต่อเลยนะ หลังจากนั้นพี่สาวก็เริ่มอยากมาดูแลกิจการ แต่แม่ก็ลงทุนให้โดยเปิดเป็นเหมือนอีกส่วนให้พี่เค้าทำเองแบบ100%ไปเลย เพราะในส่วนกิจการครอบครัว ณ ตอนนั้นแม่และพ่อยังบริหารและดูแลต่ออยู่แล้ว เลยไม่ได้ให้ใครมามีสิทธิยุ่งใดๆในธุรกิจนั้น จากนั้นเค้าก็เริ่มทำและบ่นๆว่าทำไปก็ไม่ดี ยอดขายไม่มี และดูถูกสถานที่ ที่แม่ตัวเองสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ว่าห่วย ไม่มีลูกค้า ไม่มีคนซื้อ ทั้งๆที่ส่วนที่แม่ลงทุนให้ คือแม่จะลดผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ลูกสาวขายออกไป แต่แม่สังเกตเห็นว่าเค้าไม่เต็มที่กับการทำงาน คือการเปิดตามใจฉัน ประมาณนั้น แม่ก็เสียใจที่ไม่รู้จะทำยังไงให้ลูกเข้าใจ แต่พี่เราเป็นคนที่ชอบเอาชนะ และสอนด้วยการพูดดีๆจะไม่ฟัง เค้าจะต้องได้ทำเองเท่านั้น!! แม่ก็ปล่อยจนเลยเถิดมาเรื่อยๆ เค้ามองเห็นว่าลูกสาวเค้าเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่เคยรักน้อง ไม่เคยมีความคิดที่เห็นแก่ตัว แต่พอเวลาผ่านไปจนผมเริ่มโต 16 ปี พี่สาวก็ไปไม่รอดกับธุรกิจที่แม่ลงทุนให้ แม่ก็ต้องเซ้งต่อมาทำ เค้าเลยไปจับทางธุรกิจของเค้าเองและย้ายออกไปอยู่บ้านอีกหลังที่แม่ทำไว้ จนตอนนี้เค้าน่าจะรวยกว่าแม่แล้วด้วยซ้ำนะ555555
แต่แล้ว เมื่อผมอายุ 19 ปี ผมตัดสินใจพลาดคือไม่รู้ใจตัวเองว่าธุรกิจที่แม่ทำไม่ใช่ทางของผม แต่ผมก็ยังพยายามยื้อมันไว้ แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือสังคมมันเปลี่ยน และแม่เองก็เริ่มท้อถอยมาตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลูกสาวย้ายออกจากบ้านไปแถมมารู้ว่าผมเป็นเกย์ตอนผมอยู่ ม.5 ยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมสั่นมากที่จะบอกแม่ เพราะแม่ค่อนข้างเป็นครอบครัวแบบคนจีน เรื่องไรแบบนี้เค้าจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายผมสามารถทำให้แม่เข้าใจได้ ณ ตอนที่ยอมรับเลย ผมพูดกับแม่ว่า”ผมไม่เอาเมียหรือมีลูกนะ ผมไม่ชอบผู้หญิง ตอนนี้ผมก็ไม่ได้มีใครเป็นแฟน ผมยังเรียนอยู่ แต่ถ้าแม่จะหวังให้ผมแต่งงานแล้วมาดูแลกิจการผมทำให้ไม่ได้!!“สุดท้ายแม่ก็ต้องยอมรับแล้วว่าสิ่งที่แม่สร้างที่แม่หา สุดท้ายมันก็คงต้องสิ้นสุดลง พอผมขึ้นมหาลัย ปี1 ผมต้องยอมรับเลยว่ารายได้ธุรกิจครอบครัวผมมันลดลง จากเดือนละ2แสน3แสน เหลือเดือนละ 7-8 หมื่น จนกระทั่งผมต้องตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยมาเพื่อวางระบบใหม่ คิดทำปรับพื้นที่ใหม่ ลงทุนหมดไปราวๆ 5 ล้านบาท โดยแม่ใช้เงินสดที่แม่เก็บว่าจะส่งผมเรียน
“นี่คือจุดพลิกผันที่ผิดพลาดที่สุดของผม”
เพราะพี่สาวและพี่เขยกลับมาบ้าน พร้อมต่อว่าแม่สารพัด ว่าทำกิจการให้น้องยิ่งใหญ่อลังการ แต่ตอนตัวเองอยู่ให้หนูเป็นแค่คนงานในสวน ซึ่งผมเข้าใจทั้งแม่และพี่สาว เพราะแม่เองอยากจะวางธุรกิจตัวนั้นแล้วตั้งแต่รู้ว่าผมเป็นเกย์ ส่วนพี่สาวเองก็จับทางธุรกิจตัวเองได้จนรวยแล้ว แต่เค้าก็ยังคงเป็นทุกข์ในใจของเค้าอยู่ เค้าแยกบ้านออกไปอยู่ตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ที่เค้ามาว่าสถานที่ตรงนี้ที่แม่สร้างมา มันค้าไม่ขึ้นแล้ว ซึ่งเค้าพูดถูก!! เพราะรายได้มันแย่ลงมากๆ จนแม่ผมท้อกับคำๆนั้นที่พี่พูด และอยากเลิกทำในที่สุด
ต้องบอกอย่างนี้ว่า ความตั้งใจของแม่คืออยากให้พี่สาวมาคุมธุรกิจทั้งหมด และให้พี่สาวรับหน้าที่ในการส่งผมเรียน ดูแลผมให้ดี เพราะผมเป็นLGBTQซี่งแน่นอน ผมไม่มีใคร ไม่มีลูกไม่มีเมีย ผมอยู่ตัวคนเดียว
และสุดท้ายผมก็อยู่ตัวคนเดียวจริงๆ ทำให้ผมไม่อาจยื้อธุรกิจแม่ไว้ได้ ผมบริหารพังไปหมด เงินสดที่เอาออกมาที่คิดว่าจะปรับปรุงพัฒนาใหม่ มันกลับล่มจม จนตอนนี้ผมก็ออกมาจากตรงนั้นและปล่อยทิ้งร้างแค่สิ่งปลูกสร้างที่เมื่อก่อน แม่เราหาเลี้ยงเรามาจนมีเงินมีทองมากมาย
ท้ายที่สุด“ผมก็ทำมันพัง”
แต่แม่ผมไม่โกรธไม่ต่อว่าอะไรผมทั้งสิ้น กลับดีใจด้วยซ้ำที่ผมไม่ทำมันต่อแล้ว เพราะแม่ผมเคยพูดว่า“หาไปเยอะๆแล้วลูกจะให้ใคร” ซึ่งมันทำให้ผมคิดได้ ว่าผมเป็นlgbtqที่โสดและผมไม่แสวงหาความรักหรือคิดจะจริงจังกับใคร และช่วงนั้นที่ผมพยายามมาบริหารร้าน ผมก็ไม่มีใครมาช่วยผมในส่วนนี้เลย ผมทำคนเดียวจนมันพัง และแน่นอนว่าสถานการณ์การเงินผมและครอบครัวก็แย่ลง เพราะแม่ใช้เงินสดลงทุนไม่ได้กู้หนี้ใดๆ แต่มันคือความโชคดีที่แม่ไม่มีหนี้
แต่จากเดิมที่เคยมีเงินหลักสิบล้านขึ้นไป ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่ล้าน ผมต้องขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ผมทำมันพังนั้นให้ได้ให้เจ้าของใหม่เค้ามาดูแลต่อ ผมถึงจะพออู้ฟู่ขึ้นมาหน่อยนึ่ง
แต่แปลกที่ตอนนี้ผมกลับใช้ชีวิตอย่างแฮปปี้และมีความสุขกับการที่เงินมันเหลือน้อย เพราะสุดท้ายผมก็กินข้าวแค่ 3 มื้อ และเข้านอนแบบคนปกติทั่วไป ไม่สิ ผมเป็นคนนอนดึก5555 มัรทำให้ผมไม่แสวงหาในการอยากรวย อยากได้ อยากมี แต่ก็ยอมรับว่าตนเองค่อนข้างติดหรูเพราะความเคยชินตอนนี้พยายามปรับแก้การใช้เงินของตนเองลงอยู่
แต่…สิ่งที่พังกว่าเงิน “คือความสัมพันธ์ครอบครัว” ที่เมื่อก่อนผมเคยมีพี่สาวที่อบอุ่น มีพ่อแม่ลูก แต่พอพี่สาวมาเจอสามีคนนี้ตั้งแต่แต่งงานมา ความคิด ทัศนคติ และมุมมองของพี่สาวผมกลับเปลี่ยนไป หลังจากแต่งงานพี่ไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ผมสักอย่างถ้าผมไม่มีผลประโยชน์ จะชวนไปกินข้าวนอกบ้านทีก็ต้องแลกกับบางอย่างเสมอ เช่น ใช้ไปทำธุระให้ ไปนู้นนี่นั้นให้ไรงี้
จนปัญหาตอนนี้คือ“เรื่องมรดกที่เหลืออยู่” พี่สาวมาพยายามพูดให้แม่โอนทรัพย์สินในส่วนของตนให้เป็นชื่อสามี และอ้างว่า“สามีหนูเค้าแต่งงานเข้ามาเค้ายังไม่ได้อะไรเลย?”ถ้าเลิกกันไปเค้าจะได้อะไรบ้าง? คำถามนี้ทำแม่อึ้ง!! เพราะบ้านที่อยู่อาศัย แม่ก็อนุญาตให้เค้าต่อเติมหรือจะสร้างหรูๆแค่ไหนก็สร้างเอา แต่เค้าก็ไม่ทำ แม้แต่ตัดหญ้าดูแลบ้านที่แม่ให้ ก็ไม่ทำเพราะเค้าบอกว่า มันยังไม่ใช่ของหนู จะให้หนูลงทุนสร้างลงทุนต่อเติมได้ยังไง เค้ามาพูดแบบนี้กับแม่ ทำให้แม่ยิ่งรู้สึกเสียใจ แม่เลยตอบกลับไปว่า“ลูกจะรีบไปไหน แม่ยังไม่แก่ไม่ตายเลย แล้วสามีของลูกเค้าเข้ามาทำอะไรให้แม่บ้างล่ะ?ทำไมถึงต้องโอนให้เป็นชื่อเค้า” (แม่ผมพึ่งอายุ 55 ปี) แม่รู้สึกว่าทำไมลูกต้องรีบเรื่องมรดกขนาดนั้น แถมยังต้องให้โอนเป็นชื่อสามี ณ ตอนนี้ เค้าก็ยังคิดไม่ได้ว่าแม่เสียใจที่เค้ากลายเป็นแบบนั้นไป ทำให้ตอนนี้แม่คุยกับผมเรื่องจะขายที่ดินแล้วเอาเป็นเงินสดออกมาดีกว่า อย่างน้อยผมก็จะต้องได้บ้าง เพราะผมเป็นลูกคนเล็ก ถ้าแม่ไม่เปลี่ยนทรัพย์ให้เป็นเงินสด มันจะถกเถียงกันเรื่องมรดกไม่จบสิ้น เค้าจะได้แบบครึ่งๆและกลายเป็นสินสมรสให้กับผู้ชายที่แม้แต่ตัวเค้ายังพูดเองว่า“หากวันหนึ่งหย่ากันจะได้อะไร” แม่กลัวว่าสุดท้าย ถ้าเกิดเค้าหย่าร้างกัน ลูกสาวจะกลายเป็นว่าไม่เหลืออะไรเลย ทำให้แม่อยากเปลี่ยนทรัพย์เป็นเงินสด เผื่อวันนึ่งลูกสาวท่านคิดได้ อย่างน้อยก็พอมีเงินสดที่จะให้ได้ และผมเองก็คงต้องทำแบบนั้น เพราะผมมองหาใครไม่เห็นเลยว่าถ้าสุดท้ายทรัพย์สินมันเป็นของผม แล้วท้ายที่สุดมันก็จะเป็นของใครไปได้นอกจากหลานตัวเล็กของผม เพราะผมเป็นlgbtq แต่เขากลับไม่ดูแลผม ไม่รักผมเหมือนน้อง
ผมเลยคิดเรื่องจะจัดการทรัพย์สินว่า ถ้าเกิดเค้าไม่ยอมอ่อนต่อแม่ของตนเอง หรือ ”ไม่คิดจะกลับมารักผมแล้ว“
ถ้าผมตายไปหรือกำลังล้มป่วยอยู่ ผมก็คงอาจจะยกทรัพย์สินบางส่วนกับคนที่ดูแลผมตอนใกล้ตาย และที่เหลือผมก็คงจะบริจาคให้หน่วยงานการกุศลทั้งหมด มันจะดีไหมครับหรือมันควรเป็นไปในทิศทางไหนดีครับ
เม้นแสดงความคิดเห็นกันเข้ามาได้นะครับ