ขออนุญาตเล่าประสพการณ์ให้ฟัง
1. เรื่องแรก เพื่อนผมคนหนึ่ง จบวิศวะจุฬาเหรียญทอง ได้เป็นเป็นนักเรียนทุน ป.โท เอก แบงค์ชาติ ในมหาลัย Ivy League วันหนึ่งขณะไปปฏิบัติธรรมกับหลวงตามหาบัว ขณะที่กำลังเดินจงกรมและคิดว่าน่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ใช้เวลาน้อยกว่านี้ ดีกว่ามาเดินปฏิบัติธรรมสลับนั่งทั้งวัน
หลวงตาบัวเดินผ่านมาก็ทักว่า ไม่มีวิธีอื่นหรอกโยมเอ๋ย ต้องปฏิบัติไปเท่านั้น ไม่มีทางลัด ไม่ต้องคิดหาวิธีอื่น เพื่อนผมแปลกใจว่าหลวงตาบัวรู้ได้อย่างไรว่าคิดอะไรอยู่ ปัจจุบันเพื่อนคนนี้ยังเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง และปฏิบัติธรรมกันทั้งครอบครัว
2. เรื่องที่สอง คืนวันหนึ่งผมนอนอยู่ชั้นสองบนเตียง ได้ยินหมาหอนรับกันมาเป็นทอดๆในหมู่บ้าน แม้กระทั่งหมาในบ้านผมสองตัวก็หอนด้วยอย่างชัดเจน เพราะผมจำเสียงหมาผมได้ ผมเกิดเย็นวาบขนลุกซู่ขึ้นมากระทันหันทันทีทั่วตัวหัวจรดเท้า ขณะเดียวกันมองเห็นคนเดินผ่านมาทางหน้าบ้านชั้นล่าง(แต่เรานอนชั้นสองบนเตียงกับภรรยา เห็นด้วยจิตร) คนนั้นแต่งชุดแบบชาวนาชาวสวน เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ผมยาวปรกหน้าและไหล่ เขามาหยุดอยู่หน้าบ้านผม และเหมือนเขารู้ว่าผมเห็นเขา เขาค่อยเงยหน้ามาที่ห้องนอนผม จ้องมองผม ใบหน้านั้นไม่มีเนื้อ มีแต่กระโหลกศรีษะ
ผมกลัวและนึกอะไรไม่ออก นอกจากคิดในใจว่าจะทำบุญไปให้ เขาค่อยก้มหน้าและเดินต่อไป จนหายไปในทางโค้งถนน หมาที่เลยบ้านผมไปก็หอนส่งเขาต่อไปเป็นทอดๆตามระยะทาง ผมลุกตื่นขึ้นทันทีเหงื่อกาฬเต็มตัว วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจว่าวิณญานเร่ร่อนที่ยังไม่ไปเกิด หรือสัมภเวสี คืออะไร วันนั้นรุ่งขึ้นคือวันมาฆบูชา ผมตื่นเช้ามืดรีบไปตลาดหาของมาทำบุญใส่บาตรให้ตามสัญญา
ทั้งสองเรื่องแค่อยากจะบอกว่า บางทีเราต้องมีประสพการณ์ส่วนตัวที่จะบอกว่าเรื่องแบบนี้มีจริงหรือไม่จริง ไม่สามารถใช้เหตุผลธรรมดาวิเคราะ์ตามตรรกะที่เรียนมาเหมือนเรียนหนังสือ ไม่เจอก็ไม่เชื่อว่ามีจริง และเรื่องทั้งสองนี้อาจไม่เกี่ยวกับโหราศาตร์ คนที่สัมผัสจะรู้และเข้าใจเองว่าเพราะอะไรถึงเกิดฃึ้น มันแว่บขึ้นมาในใจแค่เสี้ยววินาทีว่าทำไม เพราะอะไร
ท่านที่ไม่เชื่อรบกวนข้ามไป ถือว่าอ่านเอาสนุก คนที่ผมขอไว้อย่ามาตอบให้ข้ามไป นะครับ...
บางเรื่องใช้เหตุผลหาคำตอบไม่ได้ ต้องพบเจอเองจึงเข้าใจ
1. เรื่องแรก เพื่อนผมคนหนึ่ง จบวิศวะจุฬาเหรียญทอง ได้เป็นเป็นนักเรียนทุน ป.โท เอก แบงค์ชาติ ในมหาลัย Ivy League วันหนึ่งขณะไปปฏิบัติธรรมกับหลวงตามหาบัว ขณะที่กำลังเดินจงกรมและคิดว่าน่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ใช้เวลาน้อยกว่านี้ ดีกว่ามาเดินปฏิบัติธรรมสลับนั่งทั้งวัน
หลวงตาบัวเดินผ่านมาก็ทักว่า ไม่มีวิธีอื่นหรอกโยมเอ๋ย ต้องปฏิบัติไปเท่านั้น ไม่มีทางลัด ไม่ต้องคิดหาวิธีอื่น เพื่อนผมแปลกใจว่าหลวงตาบัวรู้ได้อย่างไรว่าคิดอะไรอยู่ ปัจจุบันเพื่อนคนนี้ยังเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง และปฏิบัติธรรมกันทั้งครอบครัว
2. เรื่องที่สอง คืนวันหนึ่งผมนอนอยู่ชั้นสองบนเตียง ได้ยินหมาหอนรับกันมาเป็นทอดๆในหมู่บ้าน แม้กระทั่งหมาในบ้านผมสองตัวก็หอนด้วยอย่างชัดเจน เพราะผมจำเสียงหมาผมได้ ผมเกิดเย็นวาบขนลุกซู่ขึ้นมากระทันหันทันทีทั่วตัวหัวจรดเท้า ขณะเดียวกันมองเห็นคนเดินผ่านมาทางหน้าบ้านชั้นล่าง(แต่เรานอนชั้นสองบนเตียงกับภรรยา เห็นด้วยจิตร) คนนั้นแต่งชุดแบบชาวนาชาวสวน เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ผมยาวปรกหน้าและไหล่ เขามาหยุดอยู่หน้าบ้านผม และเหมือนเขารู้ว่าผมเห็นเขา เขาค่อยเงยหน้ามาที่ห้องนอนผม จ้องมองผม ใบหน้านั้นไม่มีเนื้อ มีแต่กระโหลกศรีษะ
ผมกลัวและนึกอะไรไม่ออก นอกจากคิดในใจว่าจะทำบุญไปให้ เขาค่อยก้มหน้าและเดินต่อไป จนหายไปในทางโค้งถนน หมาที่เลยบ้านผมไปก็หอนส่งเขาต่อไปเป็นทอดๆตามระยะทาง ผมลุกตื่นขึ้นทันทีเหงื่อกาฬเต็มตัว วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจว่าวิณญานเร่ร่อนที่ยังไม่ไปเกิด หรือสัมภเวสี คืออะไร วันนั้นรุ่งขึ้นคือวันมาฆบูชา ผมตื่นเช้ามืดรีบไปตลาดหาของมาทำบุญใส่บาตรให้ตามสัญญา
ทั้งสองเรื่องแค่อยากจะบอกว่า บางทีเราต้องมีประสพการณ์ส่วนตัวที่จะบอกว่าเรื่องแบบนี้มีจริงหรือไม่จริง ไม่สามารถใช้เหตุผลธรรมดาวิเคราะ์ตามตรรกะที่เรียนมาเหมือนเรียนหนังสือ ไม่เจอก็ไม่เชื่อว่ามีจริง และเรื่องทั้งสองนี้อาจไม่เกี่ยวกับโหราศาตร์ คนที่สัมผัสจะรู้และเข้าใจเองว่าเพราะอะไรถึงเกิดฃึ้น มันแว่บขึ้นมาในใจแค่เสี้ยววินาทีว่าทำไม เพราะอะไร
ท่านที่ไม่เชื่อรบกวนข้ามไป ถือว่าอ่านเอาสนุก คนที่ผมขอไว้อย่ามาตอบให้ข้ามไป นะครับ...