นักลงทุนมักมองว่า 20 ปีก่อน คือ ช่วงที่บริษัทไทยเริ่มทะยาน มาถึงจุดเติบโต ... แต่ จากนี้ ไปอีก 20 ปีข้างหน้า บอกได้ไหม มันคืออะไร ?
บริษัทไทยกำลังขับเคลื่อนไปสู่บริษัทระดับ Global
เมื่อ 20 ปีก่อน เราอยู่ต่างประเทศ ขนาดอาจารย์ฝรั่ง ยังชี้ไม่ถูกเลยว่า ประเทศไทยอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก
แต่มาถึงยุคนี้ ชาวต่างชาติมากมาย เริ่มพูดถึงแบรนด์ไทย ลิซ่าโพสต์สถานที่ท่องเที่ยวในไทย
จริงอยู่ ประเทศไทย ในความรู้สึกของคนไทยเอง มองว่าด้อยพัฒนา
แต่เราก็มีบางอุตสาหกรรม ที่เราเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ และชาวต่างชาติก็ชอบความชิลที่เรามี
ที่แน่นทฤษฎีไปมากกว่านั้น คือ การพยายามเปรียบเทียบแรงงานแต่ละชาติด้วยวิธีเดียวกัน ด้วยวัยเท่านี้ ด้วยสคิลแบบนี้ ประเทศนั้นจึงจะโตได้ ประเทศนี้จะโตไม่ได้ โดยไม่เข้าใจจุดแข็งของแต่ละประเทศ ว่า จริตการทำงานของคนไทยเป็นแบบไหน
คนไทยไม่ชอบทำงานหนัก แบบคนจีน คนเวียตนาม เราเป็นประเทศที่ชอบเต้นรำ ชอบการดูแล ความสุนทรีย์ ชอบศิลปะความสวยงาม ชอบการพักผ่อน และความยั่งยืน แถมคนไทยยังมีทักษะการฑูตที่ดีโดยธรรมชาติ ค้าขาย-ร่วมงานได้กับทุกประเทศ ไม่มีศัตรูในระดับการเมืองโลก
ความแข็งแกร่งของคนไทย จะว่าไป ก็เหมือนเถาว์วัลที่อ่อนช้อย แต่ไม่ขาดง่าย
ด้วยภูมิอากาศที่ไม่หนาวจนเปลืองค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ อาชญากรรมมี แต่ไม่มากถ้าเทียบกับประเทศอื่น
ผู้คนเป็นมิตร "Thailand is paradise." แม้ประเทศไม่ได้หรูหรา แต่ความสุขแบบที่มีความปลอดภัย และมีความเป็นไท อิสระ สบายๆ
แน่นอนว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คือ ความเสี่ยง หลายธุรกิจอาจจะทำสำเร็จตามเป้าการเป็นระดับโลก และอีกหลายธุรกิจ ก็อาจคิดไปไกล แต่ทำไม่ได้ อาทิ ประหยัดเงินค่าจ้างหัวกะทิ ทั้งที่มันคือ ลักษณะสำคัญของบริษัทระดับโลก คือ การกล้าจ้างคนเก่งเข้ามาทำงาน
ยกตัวอย่าง เมื่อ 20 ปีก่อน ใครบ้างจะกล้าลงทุนกับโลตัส เราจินตนาการไม่ออก ว่าวันหนึ่งเราจะพบ แมคโคร-โลตัสทุกจังหวัด อนาคต ชาวต่างชาติดื่มชาไทย เขาก็อาจจะทราบว่า ที่ดื่มอยู่นี่คือ แบรนด์ไทย ด้วยคุณค่า คือ ใส่ใจและปราณีต ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ไม่เหมาะจะลงทุนระยะสั้น
ไม่ปฏิเสธว่า หุ้นตัวตึง ในต่างประเทศ เสน่ห์ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ประเทศไทยเอง อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งการขยายเป็นบริษัทระดับนานาชาติ และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง -- การต่อสู้ของ Gen XY ปัญหาจะยิ่งทำให้เด็กอ่อนหัดเป็นคนเข้มแข็ง
เริ่มมีเหลี่ยมคม จากการที่ต้องต่อกรกับการเมืองแบบยุค Baby Boomers และอย่างไรก็ดี การเมืองไม่ใช่ตัวแปรหลักของตลาดหุ้น แม้มีผลกระทบอยู่
หัวใจน่าจะเป็นศักยภาพของตัวธุรกิจเองโดยตรง
และระวังจุดอ่อนของนักลงทุนเอง ที่เอา findings ในอดีตมาสรุปปัจจุบัน
ดังนั้น หุ้นไทย เสน่ห์ยังไม่หมดไป อยู่ที่ท่านใด จะซื้อถูกตัว
เหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยยังมีอนาคต.. เสน่ห์ใหม่ที่ค้นเจอ
บริษัทไทยกำลังขับเคลื่อนไปสู่บริษัทระดับ Global
เมื่อ 20 ปีก่อน เราอยู่ต่างประเทศ ขนาดอาจารย์ฝรั่ง ยังชี้ไม่ถูกเลยว่า ประเทศไทยอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก
แต่มาถึงยุคนี้ ชาวต่างชาติมากมาย เริ่มพูดถึงแบรนด์ไทย ลิซ่าโพสต์สถานที่ท่องเที่ยวในไทย
จริงอยู่ ประเทศไทย ในความรู้สึกของคนไทยเอง มองว่าด้อยพัฒนา
แต่เราก็มีบางอุตสาหกรรม ที่เราเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ และชาวต่างชาติก็ชอบความชิลที่เรามี
ที่แน่นทฤษฎีไปมากกว่านั้น คือ การพยายามเปรียบเทียบแรงงานแต่ละชาติด้วยวิธีเดียวกัน ด้วยวัยเท่านี้ ด้วยสคิลแบบนี้ ประเทศนั้นจึงจะโตได้ ประเทศนี้จะโตไม่ได้ โดยไม่เข้าใจจุดแข็งของแต่ละประเทศ ว่า จริตการทำงานของคนไทยเป็นแบบไหน
คนไทยไม่ชอบทำงานหนัก แบบคนจีน คนเวียตนาม เราเป็นประเทศที่ชอบเต้นรำ ชอบการดูแล ความสุนทรีย์ ชอบศิลปะความสวยงาม ชอบการพักผ่อน และความยั่งยืน แถมคนไทยยังมีทักษะการฑูตที่ดีโดยธรรมชาติ ค้าขาย-ร่วมงานได้กับทุกประเทศ ไม่มีศัตรูในระดับการเมืองโลก
ความแข็งแกร่งของคนไทย จะว่าไป ก็เหมือนเถาว์วัลที่อ่อนช้อย แต่ไม่ขาดง่าย
ด้วยภูมิอากาศที่ไม่หนาวจนเปลืองค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ อาชญากรรมมี แต่ไม่มากถ้าเทียบกับประเทศอื่น
ผู้คนเป็นมิตร "Thailand is paradise." แม้ประเทศไม่ได้หรูหรา แต่ความสุขแบบที่มีความปลอดภัย และมีความเป็นไท อิสระ สบายๆ
แน่นอนว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คือ ความเสี่ยง หลายธุรกิจอาจจะทำสำเร็จตามเป้าการเป็นระดับโลก และอีกหลายธุรกิจ ก็อาจคิดไปไกล แต่ทำไม่ได้ อาทิ ประหยัดเงินค่าจ้างหัวกะทิ ทั้งที่มันคือ ลักษณะสำคัญของบริษัทระดับโลก คือ การกล้าจ้างคนเก่งเข้ามาทำงาน
ยกตัวอย่าง เมื่อ 20 ปีก่อน ใครบ้างจะกล้าลงทุนกับโลตัส เราจินตนาการไม่ออก ว่าวันหนึ่งเราจะพบ แมคโคร-โลตัสทุกจังหวัด อนาคต ชาวต่างชาติดื่มชาไทย เขาก็อาจจะทราบว่า ที่ดื่มอยู่นี่คือ แบรนด์ไทย ด้วยคุณค่า คือ ใส่ใจและปราณีต ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ไม่เหมาะจะลงทุนระยะสั้น
ไม่ปฏิเสธว่า หุ้นตัวตึง ในต่างประเทศ เสน่ห์ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ประเทศไทยเอง อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งการขยายเป็นบริษัทระดับนานาชาติ และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง -- การต่อสู้ของ Gen XY ปัญหาจะยิ่งทำให้เด็กอ่อนหัดเป็นคนเข้มแข็ง
เริ่มมีเหลี่ยมคม จากการที่ต้องต่อกรกับการเมืองแบบยุค Baby Boomers และอย่างไรก็ดี การเมืองไม่ใช่ตัวแปรหลักของตลาดหุ้น แม้มีผลกระทบอยู่
หัวใจน่าจะเป็นศักยภาพของตัวธุรกิจเองโดยตรง
และระวังจุดอ่อนของนักลงทุนเอง ที่เอา findings ในอดีตมาสรุปปัจจุบัน
ดังนั้น หุ้นไทย เสน่ห์ยังไม่หมดไป อยู่ที่ท่านใด จะซื้อถูกตัว