- ดูจบคือสนุก โหด มันส์ ฮา ตามท้องนา ตอบโจทย์ความบันเทิงสำหรับคนที่ชอบเสพเอามันส์หัวเราะคิกคักไม่ต้องคิดหาสาระอะไรเยอะแยะให้ปวดกบาลภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 55 นาทีที่ผ่านไปไวอยู่เหมือนกัน คงเพราะ Plot แนวล้างแค้นประเภทนี้เป็นอะไรที่ถูกผลิตซ้ำจนแผ่นเป็นรูแล้วแถม Step การเล่าไปทีละฉากก็เดาได้แต่แรกว่าจะไป way ไหนก่อนจะตรงไปสู่บทสรุปที่เรารอคอยด้วยการ Dual ว่าใครแพ้ใครชนะ ซึ่งก็เดาไม่ยากอีกเช่นกัน ขณะเดียวกันมันก็มีแวะข้างทางด้วยการใส่ภาพ Abstract ปรุงแต่งให้บรรยากาศบิดเบี้ยวเป็นระยะ มีการเกริ่นปมแต่แรกว่าใครเป็นใคร ? เกิดอะไรขึ้น ? ใครตุย ? แล้วลุกขึ้นมาแก้แค้น บลา ๆ ซึ่งก็ไปเหมือนกับ The Northman (2022) ที่ Alexander พี่ชายของเขาเล่นอีก ถึงตัวบทจำเจอยู่แก่ใจแต่ในแง่ของการ Set โลกอนาคตกึ่งสลัมที่ดูคล้ายกับเรื่อง The Hunger Games The Series (2012-2015) กับ Batman Begins (2005) หรือการ Create ศิลปะการต่อสู้ของตัวละคร แบบ Metarial Art ผสมโลกตะวันออกเหมือนกับ The Raid (2011) หรือ Kill Bill (2003-2004) จัดว่าออกแบบประยุกต์ได้เจ๋งดีแม้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากไปกว่านี้ ถึงสภาพแวดล้อมในเรื่องที่เห็นโดยรวมจะไม่ได้ปรากฎมาเยอะอาจเพราะงบที่มีจำกัดแต่ก็ถ่ายทอดสภาวะความเป็นจริงที่เป็นอยู่ขณะนี้โดยเฉพาะระบบโครงสร้างของอำนาจรัฐเผด็จการกดขี่เอาเปรียบประชาชนที่ยังคงฝังรากลึกในดินแดนคนดีย์มายาวนาน
- ระหว่างที่กำลังบันเทิงกับบรรดาฉาก Action ที่ประเคนอย่าง Non-Stop มีฉากสัญญะจากการโดนเป่าลมเข้าหน้าจากหมอผีไปเต็ม ๆ ที่สร้างบรรยากาศบิดเบี้ยวไปใน Theme สยองขวัญหน่อย ๆ แทรกเข้าไปเพื่อให้เราสำรวจห้วงความคิดและจิตใจของพระเอกโดยมีน้องสาวมโนเป็นตัวสร้างบรรยากาศให้เรื่องผ่อนคลายลงจากความแค้นของพระเอกและบรรดาลูกเบ๊ที่จ้องจะฉีกเนื้อเหยื่อ ซึ่งจุดนี้มีขัดใจบ้างเป็นระยะว่าจะมีแทรกหาพระแสงอะไรกำลังอินกับฉากต่อสู้อยู่เลย กระทั่งเดินมาถึงช่วงท้าย จู่ ๆ ดันหักมุมกลางฟ้าผ่าจนผมอึ้งในใจไปชั่วครู่ว่า เฮ้ย ! เล่นไม้นี้เลยเหรอ ? คือ ขณะดูก็มีสงสัยอยู่บางอย่างนิด ๆ แต่พอมีการเฉลยปมโน้นนี่เสร็จสรรพและคิดตามอีกทีก็พอจะเห็นภาพว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้แล้วมันไปคล้ายกับหนังที่เคยดูมาแต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ?
- นอกจากนั้นตัวหนังอัดแน่นไปด้วยมวลสารที่ส่งกลิ่นของความรุนแรงทั้งประเด็นการเมืองผ่านบทสนทนา , การกระทำ หรือ การแสดงสัญญะที่ตีได้เข้มข้นเอาเรื่องแต่ดันมีมุกตลกมาแทรกเป็นระยะ ๆ ที่ติดลมเล่นมากไปจนทำให้กราฟความเข้มข้นในสารที่ควรจะพุ่งไปสุดกว่านี้มีอันต้องถูกเบรกใน way ที่จำกัด แต่อย่างไรก็ตามความแพรวพราวของโทนที่มีความเคารพเชิดชูความเป็นยุค 90’s ก็สามารถทำให้คนที่โตมากับช่วงนั้นได้รำลึกถึงตามไปไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ Comics , Font ที่คุ้นตาจากเกมส์ Home Family หรือกระทั่ง Costume ของตัวพระเอกที่ Copy แล้ว Adapt อีกทีจาก Street Fighter หรือ สาวขวานซิ่งที่แต่งกายด้วยชุดหนังรัดรูปแต่โชว์สรีระที่ลีนได้ใจโดยใช้สีเหลืองแถบดำแบบเดียวกับ Bruce Lee
- ตัวพระเอกอย่าง Bill Skarsgard เล่นดี ฉีกลุคจากเรื่องอื่นที่เคยดูมาอย่างตัวตลกจาก IT 1-2 มาในผู้บ่าวมาดบู๊ได้ดุดันและคล่องแคล่วดีแต่ด้วยความที่เขาตัวสูงมากเวลาสู้กับตัวละครอื่นโดยเฉพาะอาจารย์ของเขาที่มีขนาดคนละไซส์ทำให้การเคลื่อนไหวท่าทางจึงทำได้ลำบากเอาเรื่องเหมือนกัน มุกจิกกัดเสียดสีปล่อยไม่หยุดแต่ก็ไม่เล่นเรี่ยราดจนไปทับ Line ของปมที่นำเสนอด้วยความจริงจัง แต่รู้สึกว่าเสียงพากษ์ไทยไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ดูมีอายุไปนิดนึงแต่ฟังได้ไม่แย่ เพราะอยากเสพ Details มากกว่าจะเป็นอย่างไรต่อ อีกคนที่ชอบคือสาวขวานซิ่งที่รับบทโดย Jessica Route โหด สวย ดุและเท่ห์ทุกครั้งปรากฎ อีกคนที่ขาดไม่ได้คือลุง Yayan Ruhian ภายนอกเหมือนหมอผีเมากัญชาแต่เป็น Main สำคัญที่เชื่อมโยงกับปมทั้งมวลไม่แพ้คุมแม่ Famke Janssen ผู้รับบท Boss ที่เราทราบจากอ่านเรื่องย่อหรือดู Trailer ระหว่างทางถึงจะมีจุดบกพร่องบางอย่าง เช่น ด้านเทคนิคที่ดูลอยไปบ้าง , การตัดไปอีกฉากที่ตัดเหมือนหนังเกรด B หรือ การกระทำของตัวละครบางคนอย่าง Andrew Koji และ Sharlto Copley ที่ออกลายเป็นการ์ตูนจ๋าจนเป็นตัวโจ๊กอย่างชัดเจนแต่สารที่แฝงมาทั้งมวลนอกจากจะพอเดาได้ว่าผู้กำกับ Moritz Mohr แกคงเป็นเนิร์ดตัวยงที่ชอบ Culture อะไรที่มีอยู่ในยุคนั้นก็เอามาใส่ในเรื่องเหมือนเป็นจดหมายรักแทนใจแล้วยังสามารถส่งตรงถึงใจให้ผมที่เกิดในยุคนั้นได้เสพสิ่งนั้นตามไปตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเพลิน ๆ โดยไม่ต้องหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูด้วยความน่าเบื่อว่าเมื่อไหร่หนังจะจบซะที
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.101 Boy Kills World : ผู้บ่าวเลือดนักบู๊ ขอเดือดท้าชน กองพลสภาโจร
- ดูจบคือสนุก โหด มันส์ ฮา ตามท้องนา ตอบโจทย์ความบันเทิงสำหรับคนที่ชอบเสพเอามันส์หัวเราะคิกคักไม่ต้องคิดหาสาระอะไรเยอะแยะให้ปวดกบาลภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 55 นาทีที่ผ่านไปไวอยู่เหมือนกัน คงเพราะ Plot แนวล้างแค้นประเภทนี้เป็นอะไรที่ถูกผลิตซ้ำจนแผ่นเป็นรูแล้วแถม Step การเล่าไปทีละฉากก็เดาได้แต่แรกว่าจะไป way ไหนก่อนจะตรงไปสู่บทสรุปที่เรารอคอยด้วยการ Dual ว่าใครแพ้ใครชนะ ซึ่งก็เดาไม่ยากอีกเช่นกัน ขณะเดียวกันมันก็มีแวะข้างทางด้วยการใส่ภาพ Abstract ปรุงแต่งให้บรรยากาศบิดเบี้ยวเป็นระยะ มีการเกริ่นปมแต่แรกว่าใครเป็นใคร ? เกิดอะไรขึ้น ? ใครตุย ? แล้วลุกขึ้นมาแก้แค้น บลา ๆ ซึ่งก็ไปเหมือนกับ The Northman (2022) ที่ Alexander พี่ชายของเขาเล่นอีก ถึงตัวบทจำเจอยู่แก่ใจแต่ในแง่ของการ Set โลกอนาคตกึ่งสลัมที่ดูคล้ายกับเรื่อง The Hunger Games The Series (2012-2015) กับ Batman Begins (2005) หรือการ Create ศิลปะการต่อสู้ของตัวละคร แบบ Metarial Art ผสมโลกตะวันออกเหมือนกับ The Raid (2011) หรือ Kill Bill (2003-2004) จัดว่าออกแบบประยุกต์ได้เจ๋งดีแม้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากไปกว่านี้ ถึงสภาพแวดล้อมในเรื่องที่เห็นโดยรวมจะไม่ได้ปรากฎมาเยอะอาจเพราะงบที่มีจำกัดแต่ก็ถ่ายทอดสภาวะความเป็นจริงที่เป็นอยู่ขณะนี้โดยเฉพาะระบบโครงสร้างของอำนาจรัฐเผด็จการกดขี่เอาเปรียบประชาชนที่ยังคงฝังรากลึกในดินแดนคนดีย์มายาวนาน
- ระหว่างที่กำลังบันเทิงกับบรรดาฉาก Action ที่ประเคนอย่าง Non-Stop มีฉากสัญญะจากการโดนเป่าลมเข้าหน้าจากหมอผีไปเต็ม ๆ ที่สร้างบรรยากาศบิดเบี้ยวไปใน Theme สยองขวัญหน่อย ๆ แทรกเข้าไปเพื่อให้เราสำรวจห้วงความคิดและจิตใจของพระเอกโดยมีน้องสาวมโนเป็นตัวสร้างบรรยากาศให้เรื่องผ่อนคลายลงจากความแค้นของพระเอกและบรรดาลูกเบ๊ที่จ้องจะฉีกเนื้อเหยื่อ ซึ่งจุดนี้มีขัดใจบ้างเป็นระยะว่าจะมีแทรกหาพระแสงอะไรกำลังอินกับฉากต่อสู้อยู่เลย กระทั่งเดินมาถึงช่วงท้าย จู่ ๆ ดันหักมุมกลางฟ้าผ่าจนผมอึ้งในใจไปชั่วครู่ว่า เฮ้ย ! เล่นไม้นี้เลยเหรอ ? คือ ขณะดูก็มีสงสัยอยู่บางอย่างนิด ๆ แต่พอมีการเฉลยปมโน้นนี่เสร็จสรรพและคิดตามอีกทีก็พอจะเห็นภาพว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้แล้วมันไปคล้ายกับหนังที่เคยดูมาแต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ?
- นอกจากนั้นตัวหนังอัดแน่นไปด้วยมวลสารที่ส่งกลิ่นของความรุนแรงทั้งประเด็นการเมืองผ่านบทสนทนา , การกระทำ หรือ การแสดงสัญญะที่ตีได้เข้มข้นเอาเรื่องแต่ดันมีมุกตลกมาแทรกเป็นระยะ ๆ ที่ติดลมเล่นมากไปจนทำให้กราฟความเข้มข้นในสารที่ควรจะพุ่งไปสุดกว่านี้มีอันต้องถูกเบรกใน way ที่จำกัด แต่อย่างไรก็ตามความแพรวพราวของโทนที่มีความเคารพเชิดชูความเป็นยุค 90’s ก็สามารถทำให้คนที่โตมากับช่วงนั้นได้รำลึกถึงตามไปไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ Comics , Font ที่คุ้นตาจากเกมส์ Home Family หรือกระทั่ง Costume ของตัวพระเอกที่ Copy แล้ว Adapt อีกทีจาก Street Fighter หรือ สาวขวานซิ่งที่แต่งกายด้วยชุดหนังรัดรูปแต่โชว์สรีระที่ลีนได้ใจโดยใช้สีเหลืองแถบดำแบบเดียวกับ Bruce Lee
- ตัวพระเอกอย่าง Bill Skarsgard เล่นดี ฉีกลุคจากเรื่องอื่นที่เคยดูมาอย่างตัวตลกจาก IT 1-2 มาในผู้บ่าวมาดบู๊ได้ดุดันและคล่องแคล่วดีแต่ด้วยความที่เขาตัวสูงมากเวลาสู้กับตัวละครอื่นโดยเฉพาะอาจารย์ของเขาที่มีขนาดคนละไซส์ทำให้การเคลื่อนไหวท่าทางจึงทำได้ลำบากเอาเรื่องเหมือนกัน มุกจิกกัดเสียดสีปล่อยไม่หยุดแต่ก็ไม่เล่นเรี่ยราดจนไปทับ Line ของปมที่นำเสนอด้วยความจริงจัง แต่รู้สึกว่าเสียงพากษ์ไทยไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ดูมีอายุไปนิดนึงแต่ฟังได้ไม่แย่ เพราะอยากเสพ Details มากกว่าจะเป็นอย่างไรต่อ อีกคนที่ชอบคือสาวขวานซิ่งที่รับบทโดย Jessica Route โหด สวย ดุและเท่ห์ทุกครั้งปรากฎ อีกคนที่ขาดไม่ได้คือลุง Yayan Ruhian ภายนอกเหมือนหมอผีเมากัญชาแต่เป็น Main สำคัญที่เชื่อมโยงกับปมทั้งมวลไม่แพ้คุมแม่ Famke Janssen ผู้รับบท Boss ที่เราทราบจากอ่านเรื่องย่อหรือดู Trailer ระหว่างทางถึงจะมีจุดบกพร่องบางอย่าง เช่น ด้านเทคนิคที่ดูลอยไปบ้าง , การตัดไปอีกฉากที่ตัดเหมือนหนังเกรด B หรือ การกระทำของตัวละครบางคนอย่าง Andrew Koji และ Sharlto Copley ที่ออกลายเป็นการ์ตูนจ๋าจนเป็นตัวโจ๊กอย่างชัดเจนแต่สารที่แฝงมาทั้งมวลนอกจากจะพอเดาได้ว่าผู้กำกับ Moritz Mohr แกคงเป็นเนิร์ดตัวยงที่ชอบ Culture อะไรที่มีอยู่ในยุคนั้นก็เอามาใส่ในเรื่องเหมือนเป็นจดหมายรักแทนใจแล้วยังสามารถส่งตรงถึงใจให้ผมที่เกิดในยุคนั้นได้เสพสิ่งนั้นตามไปตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเพลิน ๆ โดยไม่ต้องหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูด้วยความน่าเบื่อว่าเมื่อไหร่หนังจะจบซะที
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้