เรามาทำงานไกลบ้าน ไม่ค่อยได้กลับบ้าน 1 ปีกลับครั้งนึง เพราะการกลับแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก และเราก็มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ เลยต้องประหยัดเงินไว้เสมอ
ตั้งแต่เรามาทำงานไกลบ้าน เราได้เปิดโลก เปิดความคิด ทัศนคติต่อหลายอย่างเปลี่ยนไป
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วเราทะเลาะกับที่บ้านหนักมากเพราะเราชอบแชร์คอนเทนต์ของพรรคการเมืองที่เราชอบที่ทางบ้านไม่ชอบ โดยเฉพาะพ่อ โทรมาด่าเราจนเราไม่อยากรับสาย
ซึ่งปกติเราก็กลับบ้านปีละครั้ง ปีที่แล้วเราก็กลับ แต่เป็นปีแรกที่เราแทบจะอยากจะกลับไปทำงานเร็ว ๆ คือ เราเป็น LGBTQ ด้วย แล้วพ่อเราไม่ยอมรับ และรับไม่ได้ในจุดนี้มาตลอดตั้งแต่เราเด็ก ๆ
ก่อนกลับด้วยความที่เรารู้ว่าพ่อไม่โอเคในจุดนี้ แต่แม่เราไม่มีปัญหา เราก็บอกแม่ว่า ลูกจะพาแฟนไปด้วยนะ ฝากคุย ๆ กับพ่อเผื่อไว้ด้วย คือเราก็อายุเกิน 25 แล้ว ทำงานตั้งแต่อายุ 21 ไม่เคยขอตังค์พ่อแม่สักบาทหลังจากเรียนจบ ดูแลตัวเอง ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือนไม่เคยขาด สำเร็จในการงาน เราก็คิดว่าพ่อน่าจะเห็นว่าเราการที่เราเป็นอะไร ก็ไม่ได้สำคัญหรือเป็นปัญหาสำหรับเค้า แต่ผิดคาดมาก
วันที่เรากลับไปพ่อโทรมาสั่งว่า ห้ามให้แฟนเราเข้าบ้าน ให้เรามาได้คนเดียว ในตอนนั้นเราเสียใจ แต่ก็เลือดขึ้นหน้า เรากลับบ้าน แต่ไม่ก็ได้เข้าบ้านที่เราส่งเงินมาช่วยผ่อนให้ทุกเดือน เราไปอาศัยบ้านญาติ ใกล้ ๆ เราไม่เจอพ่อในการกลับบ้านในครั้งนี้ แต่เราแอบนัดเจอแม่ตอนที่พ่อไม่รู้ เพราะตอนแรกพ่อสั่งห้ามแม่เรามาพบเรากับแฟนด้วย
พอมาปีนี้ ตอนแรกเราแพลนว่าจะกลับสิ้นปี แต่พ่อที่อายุเกือบ 60 ก็ดันมาป่วยหนัก(มะเร็งไขกระดูก) เราเลยต้องจองเครื่องกลับไปดูอาการเค้าแบบฉุกละหุก (ที่บ้านมีแม่และพี่ชายดูแลพ่ออยู่) แต่ยังไม่ทันกลับ พ่อเค้าโทรมาให้เราเลื่อนเที่ยวบินให้เร็วขึ้นจากตอนเย็นเป็นรุ่งเช้าของวันเดียวกัน เพราะเค้าบอกว่าเค้านัดญาติคนสำคัญทานข้าวเที่ยงไว้แล้ว เราบอกให้เลื่อนญาติได้มั้ย เราเลื่อนเที่ยวบินมันต้องเสียตังค์ แถมค่าเลื่อนแพงกว่าซื้อตั๋วใหม่ซะอีก เค้าก็ยืนยันให้เราเลื่อน ด้วยความที่เค้าป่วย เราก็ไม่อยากขัดใจเค้ามาก เราเลยยอมเสียตังค์ซื้อตั๋วใหม่ แถมแพลนอะไรเราต้องเปลี่ยนใหม่หมด เราต้องออกจากงานมา 00:30 ไม่ได้นอน ต้องขับรถไปสนามบินตั้งแต่ตี 02:00 เพื่อไปขึ้นเครื่องตอนเช้า 06:00 ให้ทัน ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้
แถมล่าสุดแม่โทรมาบอกว่า ตอนกลับไปก็อย่าขัดใจพ่อเค้ามาก อะไรที่เป็นตัวเราก็ให้ฝืนหน่อย ให้เค้าสบายใจ เค้าบอกหรือด่าว่าอะไรเกี่ยวกับพรรคการเมืองที่เราชอบ ให้เออ ๆ ออ ๆ ไปก่อนในช่วงที่เรากลับไปไม่กี่วัน
พอแม่พูดแบบนี้ เราคิดว่าพ่อคงพูดกดดันให้แม่ต้องมาบอกกับเราแบบนี้ด้วย ปกติเราเป็นคนที่ไม่ยอมอะไรที่ต้องฝืนธรรมชาติของเรา เรายังคิดเลยว่าถ้าเราต้องทำแบบนั้นจริง ๆ เราคงอึดอัดตาย ต่อให้เห็นว่าเค้าจะอาการแย่มากแล้วก็เถอะ คือพ่ออาการทรุดเร็วมาก น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ลุกขึ้นเองแทบไม่ได้ แต่ยังเดินได้ แต่ก็ด่าทุกคนที่ขัดใจได้ไม่ขาด แม่บอกว่าตอนไปแอดมิดที่ รพ. เค้าด่าหมอ ด่าพยาบาลด้วย เราไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ ผ่านไปปีกว่าพ่อยังไม่ยอมรับในความเป็นตัวเราแม้แต่นิดเดียว ตอนกลับไปเราไม่รู้เลยว่าเราจะทนได้มากแค่ไหน ยังคิดอยู่เลยว่าบางทีถ้าทำเป็นไม่รับรู้ไม่สนใจไปเลย ไม่กลับไป ไม่อะไรทั้งนั้น เราก็คงไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดมากขนาดนี้
แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกคนหนึ่ง ก็คงต้องทำหน้าที่ลูกที่ดีสักครั้ง เพราะวันนึงวันที่ไม่มีเสียงด่าเค้า เราก็คงคิดถึงเหมือนกัน
จริง ๆ มีรายละเอียดเล็กน้อยอีกเยอะมากแต่เราไม่สามารถเล่าได้หมด ไม่รู้ว่าใครเคยเจอประสบการณ์คล้าย ๆ เราบ้าง ตอนนี้เราเครียดมาก หรือเราต้องทำใจเผชิญหน้าและปล่อยวางยังไง ใครมีคำแนะนำดี ๆ ช่วยมาแชร์กันหน่อยว่าต้องรับมือยังไง ให้มันผ่านพ้นไปด้วยดีครับ
ต้องรับมือกับพ่อยังไงที่ไม่ยอมรับในตัวเราครับ
ตั้งแต่เรามาทำงานไกลบ้าน เราได้เปิดโลก เปิดความคิด ทัศนคติต่อหลายอย่างเปลี่ยนไป
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วเราทะเลาะกับที่บ้านหนักมากเพราะเราชอบแชร์คอนเทนต์ของพรรคการเมืองที่เราชอบที่ทางบ้านไม่ชอบ โดยเฉพาะพ่อ โทรมาด่าเราจนเราไม่อยากรับสาย
ซึ่งปกติเราก็กลับบ้านปีละครั้ง ปีที่แล้วเราก็กลับ แต่เป็นปีแรกที่เราแทบจะอยากจะกลับไปทำงานเร็ว ๆ คือ เราเป็น LGBTQ ด้วย แล้วพ่อเราไม่ยอมรับ และรับไม่ได้ในจุดนี้มาตลอดตั้งแต่เราเด็ก ๆ
ก่อนกลับด้วยความที่เรารู้ว่าพ่อไม่โอเคในจุดนี้ แต่แม่เราไม่มีปัญหา เราก็บอกแม่ว่า ลูกจะพาแฟนไปด้วยนะ ฝากคุย ๆ กับพ่อเผื่อไว้ด้วย คือเราก็อายุเกิน 25 แล้ว ทำงานตั้งแต่อายุ 21 ไม่เคยขอตังค์พ่อแม่สักบาทหลังจากเรียนจบ ดูแลตัวเอง ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือนไม่เคยขาด สำเร็จในการงาน เราก็คิดว่าพ่อน่าจะเห็นว่าเราการที่เราเป็นอะไร ก็ไม่ได้สำคัญหรือเป็นปัญหาสำหรับเค้า แต่ผิดคาดมาก
วันที่เรากลับไปพ่อโทรมาสั่งว่า ห้ามให้แฟนเราเข้าบ้าน ให้เรามาได้คนเดียว ในตอนนั้นเราเสียใจ แต่ก็เลือดขึ้นหน้า เรากลับบ้าน แต่ไม่ก็ได้เข้าบ้านที่เราส่งเงินมาช่วยผ่อนให้ทุกเดือน เราไปอาศัยบ้านญาติ ใกล้ ๆ เราไม่เจอพ่อในการกลับบ้านในครั้งนี้ แต่เราแอบนัดเจอแม่ตอนที่พ่อไม่รู้ เพราะตอนแรกพ่อสั่งห้ามแม่เรามาพบเรากับแฟนด้วย
พอมาปีนี้ ตอนแรกเราแพลนว่าจะกลับสิ้นปี แต่พ่อที่อายุเกือบ 60 ก็ดันมาป่วยหนัก(มะเร็งไขกระดูก) เราเลยต้องจองเครื่องกลับไปดูอาการเค้าแบบฉุกละหุก (ที่บ้านมีแม่และพี่ชายดูแลพ่ออยู่) แต่ยังไม่ทันกลับ พ่อเค้าโทรมาให้เราเลื่อนเที่ยวบินให้เร็วขึ้นจากตอนเย็นเป็นรุ่งเช้าของวันเดียวกัน เพราะเค้าบอกว่าเค้านัดญาติคนสำคัญทานข้าวเที่ยงไว้แล้ว เราบอกให้เลื่อนญาติได้มั้ย เราเลื่อนเที่ยวบินมันต้องเสียตังค์ แถมค่าเลื่อนแพงกว่าซื้อตั๋วใหม่ซะอีก เค้าก็ยืนยันให้เราเลื่อน ด้วยความที่เค้าป่วย เราก็ไม่อยากขัดใจเค้ามาก เราเลยยอมเสียตังค์ซื้อตั๋วใหม่ แถมแพลนอะไรเราต้องเปลี่ยนใหม่หมด เราต้องออกจากงานมา 00:30 ไม่ได้นอน ต้องขับรถไปสนามบินตั้งแต่ตี 02:00 เพื่อไปขึ้นเครื่องตอนเช้า 06:00 ให้ทัน ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้
แถมล่าสุดแม่โทรมาบอกว่า ตอนกลับไปก็อย่าขัดใจพ่อเค้ามาก อะไรที่เป็นตัวเราก็ให้ฝืนหน่อย ให้เค้าสบายใจ เค้าบอกหรือด่าว่าอะไรเกี่ยวกับพรรคการเมืองที่เราชอบ ให้เออ ๆ ออ ๆ ไปก่อนในช่วงที่เรากลับไปไม่กี่วัน
พอแม่พูดแบบนี้ เราคิดว่าพ่อคงพูดกดดันให้แม่ต้องมาบอกกับเราแบบนี้ด้วย ปกติเราเป็นคนที่ไม่ยอมอะไรที่ต้องฝืนธรรมชาติของเรา เรายังคิดเลยว่าถ้าเราต้องทำแบบนั้นจริง ๆ เราคงอึดอัดตาย ต่อให้เห็นว่าเค้าจะอาการแย่มากแล้วก็เถอะ คือพ่ออาการทรุดเร็วมาก น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ลุกขึ้นเองแทบไม่ได้ แต่ยังเดินได้ แต่ก็ด่าทุกคนที่ขัดใจได้ไม่ขาด แม่บอกว่าตอนไปแอดมิดที่ รพ. เค้าด่าหมอ ด่าพยาบาลด้วย เราไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ ผ่านไปปีกว่าพ่อยังไม่ยอมรับในความเป็นตัวเราแม้แต่นิดเดียว ตอนกลับไปเราไม่รู้เลยว่าเราจะทนได้มากแค่ไหน ยังคิดอยู่เลยว่าบางทีถ้าทำเป็นไม่รับรู้ไม่สนใจไปเลย ไม่กลับไป ไม่อะไรทั้งนั้น เราก็คงไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดมากขนาดนี้
แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกคนหนึ่ง ก็คงต้องทำหน้าที่ลูกที่ดีสักครั้ง เพราะวันนึงวันที่ไม่มีเสียงด่าเค้า เราก็คงคิดถึงเหมือนกัน
จริง ๆ มีรายละเอียดเล็กน้อยอีกเยอะมากแต่เราไม่สามารถเล่าได้หมด ไม่รู้ว่าใครเคยเจอประสบการณ์คล้าย ๆ เราบ้าง ตอนนี้เราเครียดมาก หรือเราต้องทำใจเผชิญหน้าและปล่อยวางยังไง ใครมีคำแนะนำดี ๆ ช่วยมาแชร์กันหน่อยว่าต้องรับมือยังไง ให้มันผ่านพ้นไปด้วยดีครับ