มาต่อกันที่ ep.2 นะคะ หลังคุยกับที่ปรึกษา(contact person) ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าต้องย้ายบ้าน คิดว่ายังปรับกันได้คุยกันได้ เค้าก็บอกว่าดูจากสถานการณ์ย้ายดีกว่า เราก็เลยย้ายออกมา
โฮสบ้านที่ 2 เป็นคุณตาคุณยาย (opa oma) เป็นบ้านห้องเเถวหลังเล็กๆ บ้านน่ารักมาก มาวันแรกกก็เปิดประเดิมด้วยการไปตั้งแคมป์กับเค้าเลยค่า เป็นครั้งแรกที่นอนเต้นท์คนเดียว กลางป่า กลางฝน อากาศหนาวแบบ 4 องศาตอนกลางคืน กลัวมาก นอนไม่หลับเลย แต่ถือเป็นประสบการณ์
ตากับยายตอนแรกๆๆก็น่ารัก แต่อย่างที่เค้าบอกค่ะ อยู่ด้วยกันนานๆเราจะรู้นิสัยที่เเท้ทรู คุณตาเป็นคนยิ้มเยอะและใจดี เป็นคนแข็งแรงมาก อายุ 67 แต่ปั่นจักรยานวันละร้อยกว่ากิโล เป็นคุณครูสอนไอซ์สเกต และเคยเป็นนักดับเพลิง คุณตาฟังยายเกือบจะทุกๆเรื่อง ยายพูดอะไรตาเชื่อหมด
ส่วนคุณยายเป็นคนที่ทำกับข้าวเก่ง เย็บปักถักร้อยเก่ง เป็นคนที่เค้าเรียกว่าหวังดี แต่ต้องใช้คำว่าปากแซ่บ ไม่ยอมคน และเอาแต่ใจสุดๆค่ะ อยู่กับยายมา 9เดือน ต้องเรียกว่าความสัมพันธ์ของเรากับยายเป็นความสัมพันธ์แบบ toxic relationship คือรักมาก เจ็บมาก บางทีก็เกลียดมาก โกรธมาก แต่เดินออกมาไม่ได้สักที🥹
ตอนที่เรามาถึงแรกๆ ยายเค้ามีภาพในหัวของคำว่า “ประเทศไทย” คือ ดินแดนแห่งโสเภณี ยายบอกว่า เนี่ยคนดัชหลายคนเลยนะ โดนสาวไทยมาหลอกเอาตังค์ไปหมดเลย หรือไม่ก็ คนไทยจนมากๆ เป็นประเทศที่สกปรก เราก็พยายามอธิบายว่า ส่วนนึงมันก็ถูกแต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นแบบนั้น เค้าก็ยังดูไม่ค่อยเชื่อ
นอกจากนี้เรื่องที่เรามองว่าเป็นความไม่เข้าใจกันจริงๆคือ เค้าถามว่าที่บ้านแม่ทำกับข้าวมั้ย เราก็บอกไปตามตรง ว่าที่บ้านมีคนทำกับข้าวให้นะ เพราะอยู่กันหลายคน เรียบร้อยเลยค่ะ ตั้งแต่วันนั้น ยายมองเราเป็นลูกคนรวยทำอะไรไม่เป็นไปเลย(คนดัชส่วนมากไม่ชอบคนรวย และเราไม่ได้รวยค่ะ😭) เราเสียใจกับเรื่องนี้มาก เพราะมันส่งผลต่อภาพตัดสินที่เค้ามีต่อเรา เค้าถามเราว่าเช็ดหน้าต่างล้างห้องน้ำเป็นมั้ย เราก็พยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่นานว่าเราทำทุกอย่างได้ เราพยายามช่วยงานบ้านเค้าให้มากที่สุด ทำอาหารไทยให้เค้ากินบ้าง เค้าชอบแต่กินได้ไม่เยอะเพราะเผ็ดค่ะ😂 วัฒนธรรมไทยคือ อยู่บ้านเขาก็ไม่ใช่นอนเฉยๆ ช่วยเค้าให้ได้มากที่สุด แต่มันก็ดันย้อนแย้งอีก เหมือนขึ้นกับอารมณ์เค้า บางวันเค้าก็แฮปปี้ที่เราช่วย แต่บางวันเค้าก็ไม่แฮปปี้ที่เราช่วย เราตามอารมณ์เค้าไม่ค่อยทัน เหนื่อยม้ากก
บ้านตายายเป็นบ้านที่ค่อนข้างประหยัด เค้าเลยมีกฏหลายๆอย่าง เช่น เค้าไม่อยากให้เราใช้ไดร์เป่าผมเพราะเปลืองไฟ หรืออาบน้ำสองครั้งต่อวันแบบคนไทย ถือว่าเยอะไป เราก็โอเคทำตามกฏ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอาหาร ฟังเราบ่นหน่อยนะ อาหารเช้าของคนดัชเนี่ยมักจะเป็นขนมปัง กับ ชีสหรือ แฮม แล้วก็มีพวกแยมหรือนูเทลล่า เราที่ไม่เคยรู้มารยาทของบ้านนี้มาก่อน เราก็เลยหยิบขนมปัง ชีสแฮมกินด้วยกัน แต่ มันม่ายด้ายยย ยายพอเห็นปุ๊บ พูดทันที “วันนี้วันเกิดเธอเหรอ” ตอนนั้นเราแบบบช้อคมาก รีบขอโทษทันที ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไม จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นทุกๆบ้าน แต่ว่าหลายๆบ้านอาจจะมีวัฒนธรรมนี้ เพราะคนดัช ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เหนียว การกินขนมปังพร้อมแฮมชีสถือว่ากินหรู ตามมารยาทเราควรเลือกแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเว้นจะเป็นวันสำคัญเช่น วันเกิด หรือ วันคริสต์มาส นอกจากนี้เราจะกินไข่ได้แค่ช่วงเสาร์อาทิตย์(เค้าถือว่าเสาร์อาทิตย์ เป็น ช่วงสังสรรค์) และขนมปังปิ้งกินได้แค่อาทิตย์ละครั้ง sufferมากในฐานะคนไทย เพราะประเทศไทยอาหารอร่อย มีให้เลือกเยอะ จริงๆแค่ข้าวเหนียวไก่ทอด หรือ หมูปิ้งหน้าปากซอยก็แฮปปี้แล้ว แต่ที่นี่ไม่มี😭
คนเนเธอร์เเลนด์ จะกินอาหารมื้ออุ่นแค่มื้อเดียว คือมื้อค่ำ แปลว่า มื้ออื่นๆส่วนมากกินขนมปังค่ะ นอกจากนี้บ้านตายายไม่ค่อยกินเนื้อค่ะ ส่วนมากจะเป็นผัก กินเนื้อประมาณอาทิตย์ละสองครั้ง และรสชาติอาหารของที่นี่บอกเลยว่าคนไทยมา50%อาจจะไม่สามารถกินได้ อาหารก็จะเป็นมันฝรั่งกับแครอทต้ม หรือ มันฝรั่งบด กินแบบบนี้วนไปค่าาา รสชาติจะจืดๆค่ะ เค้าไม่ค่อยใส่เกลือ ไม่มีราเมง ไม่มีปิ้งย่าง ไม่มีอาหารเผ็ด ไม่มีแกง ไม่มีค่ะ ถ้ามีก็จะเป็นร้านอาหารในเมืองหรือ city center แต่ถ้าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มักจะไม่ค่อยมี (เราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ)
ถึงจะบ่นเยอะแต่เราก็อยู่มา 9 เดือนแล้ววนะคะ กินมันฝรั่งกับแครอทต้มวนไป ถึงจะไม่อร่อยแต่ก็กินได้🥹 ทำตัวให้อยู่ง่ายเข้าไว้ คือสิ่งที่เราบอกตัวเองทุกวัน😂😭 วัฒนธรรมของที่นี่คือ ไม่ค่อยมีการเติมอาหาร หมายความว่า ถ้าจะมีคนมาบ้านเค้าจะคิดไว้เลยว่า ต้องซื้อของกี่อย่างๆ ส่วนมากการเติมอาหารคือเสียมารยาท วัฒนธรรมไทยคือ กินเยอะเจ้าบ้านดีใจ เพราะแปลว่าอร่อย แล้วก็ครัวไทยก็มักจะยังมีแกงเหลือในหม้อให้เราไปตักเติมได้ แต่ที่นี่ไม่จ้า หมดคือหมด จานเดียวจบค่าา
ทุกคน กินไม่ดีไม่เป็นไร ถ้าเราแฮปปี้ก็โอเค เเต่ว่าเรื่องมันมีอีก ต้องขอเม้ายาย เพราะอัดอั้นตันใจมานานมาก ที่บอกว่ายายปากแซ่บคือ เรื่องของเรายายบอกทุกคนหมดเลย เราทำอะไรผิด หรือเราไปไหนมาไหน รู้ทั้งครอบครัว ลุงป้าน้าอา ข้างบ้านรู้หมด รู้ยันคนที่เพิ่งเจอยายก็ชวนคุยเรื่องเราได้ คือทุกคน มันไม่แย่ เเต่80%ที่ยายบอกคนอื่น ยายไม่บอกเราเลย เราทำอะไรผิด คือ เราไม่รู้ แต่คนอื่นรู้หมด เป็นงี้ แล้ววเราจะทำถูกได้ไงละเนี่ย เราเลยบอกยายว่า ถ้าหนูทำอะไรผิด หรือยายสงสัย หรืออะไร ให้บอกเลยนะ ถามได้เลย เค้าก็ตอบรับ แต่สุดท้ายก็วนลูปเดิม คือไม่บอกเราละเอาไปบอกคนอื่น เรื่องนี้ suffer มาก นอนร้องไห้เกือบทุกคืน อยู่ 4 เดือน ตอนนั้นเรายังแบบอาจจะเป็นความต่างทางวัฒนธรรมหรือเราคิดมากไปเอง เสียใจไปเอง รึเปล่า จน เพื่อนดัชด้วยกัน มาเยี่ยมที่บ้านละมาเจอยาย ทุกคนพูดเหมือนกันหมดเลยว่า ’ชั้นไม่ชอบเค้า‘ จบ ep. 2
ปล. สัญญากับตัวเองไว้ว่าหลังจบสิบเดือนนี้ จะหยุดกินขนมปังเบเกอรี่ใดๆสัก 2 ปี เพราะเบื่อมากกกก
ประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนที่เนเธอร์แลนด์ที่ทุลักทุเลสุดๆ ep.2
ตอนที่เรามาถึงแรกๆ ยายเค้ามีภาพในหัวของคำว่า “ประเทศไทย” คือ ดินแดนแห่งโสเภณี ยายบอกว่า เนี่ยคนดัชหลายคนเลยนะ โดนสาวไทยมาหลอกเอาตังค์ไปหมดเลย หรือไม่ก็ คนไทยจนมากๆ เป็นประเทศที่สกปรก เราก็พยายามอธิบายว่า ส่วนนึงมันก็ถูกแต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นแบบนั้น เค้าก็ยังดูไม่ค่อยเชื่อ
นอกจากนี้เรื่องที่เรามองว่าเป็นความไม่เข้าใจกันจริงๆคือ เค้าถามว่าที่บ้านแม่ทำกับข้าวมั้ย เราก็บอกไปตามตรง ว่าที่บ้านมีคนทำกับข้าวให้นะ เพราะอยู่กันหลายคน เรียบร้อยเลยค่ะ ตั้งแต่วันนั้น ยายมองเราเป็นลูกคนรวยทำอะไรไม่เป็นไปเลย(คนดัชส่วนมากไม่ชอบคนรวย และเราไม่ได้รวยค่ะ😭) เราเสียใจกับเรื่องนี้มาก เพราะมันส่งผลต่อภาพตัดสินที่เค้ามีต่อเรา เค้าถามเราว่าเช็ดหน้าต่างล้างห้องน้ำเป็นมั้ย เราก็พยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่นานว่าเราทำทุกอย่างได้ เราพยายามช่วยงานบ้านเค้าให้มากที่สุด ทำอาหารไทยให้เค้ากินบ้าง เค้าชอบแต่กินได้ไม่เยอะเพราะเผ็ดค่ะ😂 วัฒนธรรมไทยคือ อยู่บ้านเขาก็ไม่ใช่นอนเฉยๆ ช่วยเค้าให้ได้มากที่สุด แต่มันก็ดันย้อนแย้งอีก เหมือนขึ้นกับอารมณ์เค้า บางวันเค้าก็แฮปปี้ที่เราช่วย แต่บางวันเค้าก็ไม่แฮปปี้ที่เราช่วย เราตามอารมณ์เค้าไม่ค่อยทัน เหนื่อยม้ากก
คนเนเธอร์เเลนด์ จะกินอาหารมื้ออุ่นแค่มื้อเดียว คือมื้อค่ำ แปลว่า มื้ออื่นๆส่วนมากกินขนมปังค่ะ นอกจากนี้บ้านตายายไม่ค่อยกินเนื้อค่ะ ส่วนมากจะเป็นผัก กินเนื้อประมาณอาทิตย์ละสองครั้ง และรสชาติอาหารของที่นี่บอกเลยว่าคนไทยมา50%อาจจะไม่สามารถกินได้ อาหารก็จะเป็นมันฝรั่งกับแครอทต้ม หรือ มันฝรั่งบด กินแบบบนี้วนไปค่าาา รสชาติจะจืดๆค่ะ เค้าไม่ค่อยใส่เกลือ ไม่มีราเมง ไม่มีปิ้งย่าง ไม่มีอาหารเผ็ด ไม่มีแกง ไม่มีค่ะ ถ้ามีก็จะเป็นร้านอาหารในเมืองหรือ city center แต่ถ้าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มักจะไม่ค่อยมี (เราอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ)
ถึงจะบ่นเยอะแต่เราก็อยู่มา 9 เดือนแล้ววนะคะ กินมันฝรั่งกับแครอทต้มวนไป ถึงจะไม่อร่อยแต่ก็กินได้🥹 ทำตัวให้อยู่ง่ายเข้าไว้ คือสิ่งที่เราบอกตัวเองทุกวัน😂😭 วัฒนธรรมของที่นี่คือ ไม่ค่อยมีการเติมอาหาร หมายความว่า ถ้าจะมีคนมาบ้านเค้าจะคิดไว้เลยว่า ต้องซื้อของกี่อย่างๆ ส่วนมากการเติมอาหารคือเสียมารยาท วัฒนธรรมไทยคือ กินเยอะเจ้าบ้านดีใจ เพราะแปลว่าอร่อย แล้วก็ครัวไทยก็มักจะยังมีแกงเหลือในหม้อให้เราไปตักเติมได้ แต่ที่นี่ไม่จ้า หมดคือหมด จานเดียวจบค่าา
ทุกคน กินไม่ดีไม่เป็นไร ถ้าเราแฮปปี้ก็โอเค เเต่ว่าเรื่องมันมีอีก ต้องขอเม้ายาย เพราะอัดอั้นตันใจมานานมาก ที่บอกว่ายายปากแซ่บคือ เรื่องของเรายายบอกทุกคนหมดเลย เราทำอะไรผิด หรือเราไปไหนมาไหน รู้ทั้งครอบครัว ลุงป้าน้าอา ข้างบ้านรู้หมด รู้ยันคนที่เพิ่งเจอยายก็ชวนคุยเรื่องเราได้ คือทุกคน มันไม่แย่ เเต่80%ที่ยายบอกคนอื่น ยายไม่บอกเราเลย เราทำอะไรผิด คือ เราไม่รู้ แต่คนอื่นรู้หมด เป็นงี้ แล้ววเราจะทำถูกได้ไงละเนี่ย เราเลยบอกยายว่า ถ้าหนูทำอะไรผิด หรือยายสงสัย หรืออะไร ให้บอกเลยนะ ถามได้เลย เค้าก็ตอบรับ แต่สุดท้ายก็วนลูปเดิม คือไม่บอกเราละเอาไปบอกคนอื่น เรื่องนี้ suffer มาก นอนร้องไห้เกือบทุกคืน อยู่ 4 เดือน ตอนนั้นเรายังแบบอาจจะเป็นความต่างทางวัฒนธรรมหรือเราคิดมากไปเอง เสียใจไปเอง รึเปล่า จน เพื่อนดัชด้วยกัน มาเยี่ยมที่บ้านละมาเจอยาย ทุกคนพูดเหมือนกันหมดเลยว่า ’ชั้นไม่ชอบเค้า‘ จบ ep. 2
ปล. สัญญากับตัวเองไว้ว่าหลังจบสิบเดือนนี้ จะหยุดกินขนมปังเบเกอรี่ใดๆสัก 2 ปี เพราะเบื่อมากกกก