กายกับจิตคือสิ่งเดียวกัน2

สมมุติคืนนึง สองแก้วตาของท่านเพ่งพิศไปที่จันทร์อันโอภาศประภัสรกระจ่างจ้าอยู่
แล้วรำพึงว่าจันทร์ในรัตติกาลนี้งาม
พลันเมื่อสองแก้วตาของท่านเพิกจากดวงจันทร์นั้นเสีย
แล้วหันไปชมดอกสายหยุดที่กำลังฟุ้งสะพรั่งในสวน

ปุจฉา ขณะที่ท่านหลงลืมดวงจันทร์นั้นไปชมดอกสายหยุด
ดวงจันทร์นั้นมีอยู่จริงหรือไม่

ถ้าเกิดว่ามีบุรุษผู้นึงหูของเขาหนวกสนิททั้งสองข้างและตาของเขาก็บอดทั้งสองข้างต้องแต่เกิด
ดวงจันทร์สำหรับเขาจะมีจริงหรือไม่  หรือ ถ้ามีมันจะเป็นดวงเดียวแบบเดียวกับที่ท่านเข้าใจหรือไม่
เพราะเขาไม่เคยเห็นมันสักครั้ง

ถ้าท่านสามารถที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เเละไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งหลาย
ท่านจะเห็นว่าอายตนะของคนเเละสิ่งมีชีวิตอื่นแต่ละชนิดต่างกัน
เมื่อายตนะต่างกัน คำถามคือ โลกทั้งใบสำหรับท่านและสิ่งมีชีวิตอื่น ต่างกันหรือป่าว

ถ้าปลาตัวนึงเกิดและตายในตู้ปลา มันไม่มีทางจะรู้ว่าออกจากตู้มันไป200เมตรโลกจะเป็นแบบไหน
เพราะตลอดชีวิตมันอยู่แต่ในตู้  โลกมันจึงมีอยู่เพียงแค่นั้น ดังนั้นแล้วโลกสำหรับคนและปลาย่อมต่างกัน
ที่ต่างกันไม่ใช่เพราะตัวโลกเป็นตัวแปร แต่เพราะจิตท่านเองเป็นตัวแปรว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มี แท้จริงไม่ใช่เพราะมันมีอยู่จริง
เเต่จิตท่านยึดว่ามีอยู่จริง

กายและโลกทั้งใบที่ท่านเห็นว่ามีอยู่แท้จริงมันไม่ได้มีอยู่จริง
มีเเต่จิตดวงเดียวเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมา และทุกๆอย่างคือจิต
ตรงจุดนี้คือ แก่น เเละหลักสำคัญ หากการที่ท่านเห็นว่ากายกับจิตคนละส่วน
เมื่อกายตายจิตก็ไปจุติความคิดเช่นนี้ เขาถึงเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะมันคือความเข้าใจ ว่า จิตเที่ยงงงงงงงง
มันจึงสามารถตอบได้ตลอดว่าตายไปจิตจะไปจุตินั่นนี่ แต่ถ้าไปเจอะคนที่เข้าถึงธรรมจริงๆ และไปถามว่าตายแล้ว
จะไปไหน เขาจะไม่สามารถตอบท่านได้เลย เพราะมันไม่ต้องไปไหนล้าววว
ทีนี้พอจะอ๋อกันรึยัง ว่าไอ้การแยกจิตกับกายออกจากกันเนี่ย มันคือ ตัว สร้าง ภพ พบ ภพ พพ เลย

และก็จะมีคำถามว่า อ้าวเฮ้ย แล้วธรรมไม พระพุทธเจ้าถึงสอนว่า นั่นกาย นั่น จิต นั่นเวทนา ล่ะ
ก็ลองไปสอนเรื่องจิตที่เป็นสัจจญาณอย่างเดียวสิ
มันก็จะเป็นอย่างที่พวกเถรใบลานทั้งหลายเป็นตอนนี้
คือมันไม่เข้าใจ มันยาก เลยต้องมีการแยกชำแหละจิตออกมาเป็นนั่นนี่ตามเหตุปัจจัยที่จะพึงเเสดงธรรมโปรดตามอุปนิสัยของผู้รับธรรมนั้น
แต่ทั้งหมดจะวนกลับมาที่จิตอยู่ดี
อย่างอานาปานสตินี่ จุดประสงค์ของการดูลมจริง เขาก็ไม่ได้ต้องการให้เห็นลม เเต่ต้องการให้เห็นจิตที่ไปจับลมนั้น
โดยลมหายใจเหมือนเรือ จิตเหมือนฝั่ง เพื่อจะแจ้งว่าลมนั้นมีอยู่เพราะจิตมีอยู่ และเข้าสู่กระบวนของการทิ้งจิตต่อ
แต่ไอ้การที่จะไปบอกว่าจิตกะกาย มันคนละอย่าง
ก็เกิดจากสองปัจจัย หนึ่งคือไม่เข้าใจแก่น สองคือ มีความคลุมเครือในสติปัฏฐาน

คำถามต่อมา ท่านก็จะเห็นว่าสิ่งที่ผมกล่าวไปมันก็เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิหรือป่าว
พวกสักแต่ว่าง หรือป่าว พวกจิตเที่ยงรึป่าว
มิจฉาทิฏฐินั้นคือพวกที่เห็นผลเเละยึดผลอย่างเดียวแต่ไม่รู้แจ้งในเหตุ
ถ้ารู้แจ้งในเหตุแล้วมันไม่มีมิจฉาทิฏฐิ


สมมุติมีคนมาด่าท่านโดยไร้เหตุผล
แท้จริงบุคคลนั้นก็ไม่ใช่คนจริงแต่เป็นจิต โทสะ อุปาทาน และทอกุศลกรรมในจิตเท่านั้น
ที่ทำให้มีคนนั้นปรากฏขึ้นมา หากท่านสามารถวาง การยึดมั่น ว่า นั่นคนสัตว์สิ่งของไปได้
ก็จะเห็นความจริงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมันไม่ได้มีอยู่จริงเป็นแต่จิตของท่านเท่านั้น



แท้จริงเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมทั้งหลายนั้นมีอยู่ แต่ ก็ไม่มีอยู่
เพราะสิ่งที่พระองค์เห็น คือ จิต   จิตดวงเดียวเท่านั้น
แต่ครั้นจะบอกให้ท่านเข้าใจ ซึ่งท่านก็จะไม่สามารถเข้าใจเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้
มันก็ชัดเเล้วว่าไม่สามารถเข้าใจ เพราะไม้ทั้งขอนมันบังตาท่านอยู่
จึงต้องมีการแยกนั่นนี่ออกมาสอนตามแต่ระดับของคน
แต่ท่านก็พากันไปล่อเปลือกออกมาลำพองกันเสียทั้งก๊ก

เดียวมาต่อ หมอเรียกกินยา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่