วันนี้ผมอยากจะพูดเรื่องความตาย บุญและบาป
สังคมเราตอนนี้อันตรายมาก อาชญากรรมเกิดขึ้นทุกที่ ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัย
ความดี ทำให้พ้นภัย ผมอยากจะพูดยังงี้ แต่ ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม บางทีกฎของกรรม มันก็กำหนด ให้คนพาลฆ่าคนดี
สังคมเรา มีคนหนึ่งพูดว่า โลกนี้คนดีมันอยู่ยาก
คนดีและใจดี จะถูกเขารังแกและเอาเปรียบ
สมัยนี้อยู่ได้เราต้องเป็นแบบเขา
ผมย้อนความไปตอนเป็นเด็ก ผมเหมือนถูกคนทั้งโรงเรียนรังแก (ไม่ทั้งโรงเรียน แต่ก็ทั้งชั้นเรียน)
ผมเคยร้องไห้ และเสียน้ำตา อยู่ในห้องน้ำ
ผมถามตนเองว่า ครูบาอาจารย์ ทำไมถึงไม่ห้าม ไม่ให้คนมันรังแก
ผมโดนรังแกมาตลอดสามปี ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ไม่มีเพื่อน มิตรเก่าก็หาย มิตรใหม่ก็ไม่มี
ผมถูกรังแกเสียจน หวาดกลัวคนแปลกหน้า ผมไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาผู้อื่น แม้สบตาก็รู้สึกไม่จริงใจ
แม้จะจบจากโรงเรียนนั้นไม่ถูกรังแกอีกต่อไป นิสัยผมก็เหมือนเดิม
สิ่งนี้ลากยาว จนผมอายุ ยี่สิบกว่าปี
ตอนนั้น ผมถามตัวเองว่า ทำไมไม่ลาออกจากโรงเรียน ทำไมต้องให้คน เขารังแก ต่อว่า ดูถูกเหยียดหยาม จนเป็นปมในใจ สิบกว่าปี
ตอนนั้นเป็นเด็ก ผมแค่อยากให้สังคมยอมรับ อยากให้เพื่อนคบ อยากอาศัยเพื่อนฉลาดลอกการบ้าน
แต่ผมไม่มีเพื่อนเลย (บางทีก็เหมือนมี เหมือนไม่มี) ไม่ว่าจะจบมัธยมสาม จนถึง มัธยมหก จนถึงมหาลัย
มันมีคนในชั้นเรียน ล้อผมว่า หมาป่าโดดเดี่ยว
ผมเองก็อยากมีเพื่อน แต่ผมหวาดกลัว ใครจะใช้ให้ผมทำอะไร จะไถหัวตบหัว แล้วตบหลัง ได้ทั้งสิ้น
จะไถเงิน ก็เอาสิ
เพื่อนไม่อยากคบคนเช่นนี้ ผู้ชายไม่ชอบคนอ่อนแอ ผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ นางจะไม่เหลียวแลเรา
แม้แต่คนที่เราแค่พูดว่าชอบ นางจะพะอึดพะอม ขยะแขยง อับอายขายหน้า
ยิ่งคิดผมยิ่งสมเพช ผมก็ย้อนความไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครถูกรังแก ถ้าไม่มีสาเหตุ ?
ผมถูกรังแกเพราะอะไร เหตุใด ถึงต้อง เอาเราเป็นศัตรู
ผมย้อนความ จนนึกขึ้นได้ ผมแค่ไม่ยอมรับผิด เรื่อง ไรซักอย่าง ซึ่งก็นานมากแล้ว น่าจะสมัย ป.5 ไม่ก็ป.6
เมื่อครูบาอาจารย์ถาม ว่าใครทำผิด เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ก็ต้องลงโทษ ร่วมกัน
จนทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องเดือดร้อน
มันอาจถามผมว่า ทำไมไม่ยอมรับผิด
ถ้าผมตอบว่า แค่เด็กคนหนึ่ง ยังตีความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนผิดอะไร มันจะโกรธผมรึไม่?
คนที่รังแกผม ชกต่อยจนผมเป็นคนขี้ขลาด ก็คือคนนั้นแหละ คนที่ครูบาอาจารย์ ลงโทษ พ่วงร่วมกัน
มันโกรธแค้นมาก จนฝังใจ
และกรรมก็น่าตลก ก็ยังชักนำให้ผมไปเจอมัน
นั้นแหละ เจอมัน ซะเละตุ้มเป้ะ
แม้เรื่องราวผ่านไปนาน สิบปีล้างแค้นก็ไม่สาย ละมั้ง ?
มันก็รอล้างแค้นผม และก็โชคดี ที่มันก็ช่วยผมงานกลุ่มด้วย (แน่นอนผมจำได้ แม้ผ่านมาเกือบสิบกว่าปี)
ถามว่า ผมโกรธแค้นมั้ย ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่เท่ากับ คนอื่น ที่ ร่วมด้วย ทั้งๆที่ พวกเองไม่มีสิทธิ์อะไรมารังแกคนอื่น
ทำไมตอนนั้น ผมไม่กราบตีนขอโทษ
ศักดิ์ศรีปัญญาอ่อน พวกเราก็เด็กทั้งคู่ นั้นแหละ
ผมเองก็อยากขอโทษ แต่มันก็จุกปาก พูดไม่ได้
เคยมีคนตั้งฉายาว่า กระสอบทรายเดินได้
มันอัปยศจริงๆชีวิตตอนนั้น
คุณรู้รึไม่ คนที่ถูกรังแกบ่อยๆ จะไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนชั่ว ผมเสพความรุนแรงมากจนเกินไป จนผมลงกับคนอื่น
นั้นคือแม่ และพ่อ ยันสัตว์เลี้ยง ผมฆ่าและทรมานสัตว์
บางที เพื่อไม่ให้ใครรังแก ผมเองก็ยอมเล่น เป็นกระเทย จนท้ายที่สุด ผมก็ต้องเลิก เพราะมีคนว่า ผม โกหก
จะอะไรนักหนา เนอะ
ความจริงผมก็เถียงพ่อเถียงแม่ ด่าพ่อด่าแม่ และเคยตีแม่ในวัด (เรื่องตีแม่ก็น่าจะเป็นประเด็นเพราะเพื่อนร่วมชั้นจำได้เพราะมันเห็นผมตีแม่ ดังนั้น กรรมตรงส่วนนี้น่าจะทำให้ผมถูกทุบตีบ่อยๆ ทั้งที่คนอื่นก็ไม่ได้เป็นศัตรู แต่ก็ยังหาเรื่องรังแก)
นี้คือ ปัญหาเด็กๆ ม1-ม3
วันนี้หรือก่อนหน้านี้ การรังแก การทำร้ายมีอยู่ทุกที่
เด็ก คนโต คนชรา ผู้เยาว์ ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้หญิง ผู้ชาย
ศักดิ์ศรีตัวเดียวนี้แหละ ที่เป็นต้นเหตุของการรังแก การดูถูกเหยียดหยาม และการฆ่ากัน แน่นอนรวมถึง ทิฐิ และผลประโยชน์
ตอนนี้ ผมอายุมากขึ้น ศัตรูอะไรนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว
ศัตรูคนนั้น เราอาจเรียกว่าเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มปาก
ไอ้นั้นยังพูดเลย ผมยังเป็นเด็ก บอกแม่ผมอย่างนั้น
ไอ้นั้นตอนนี้เติบโตขึ้นเยอะมีชีวิตที่ดี มันละแล้วความอาฆาตพยาบาท ซึ่งผมเองก็พยายามเดินไปข้างหน้าเช่นกัน (โรคกลัวสังคม)
ส่วนผมนั้นนอกจากเงินพ่อเงินแม่ ที่มี นอกนั้นก็ไม่มีอะไร
ผมน่ะชอบธรรมะ ผมเบื่อชีวิตที่จองเวร บ้านผมน่ะมีปืน เพราะพ่อเป็นทหาร
กระสุนบางทีก็เก็บไว้ในบ้าน ปืนก็มี ผมยังไม่ใช้ปืนนั้น ไปฆ่าหรือทำร้ายใครเลย
แม้แต่คนที่เกลียดผม ก็แค่ต่อยให้ผมช้ำ ถ้าผมเลือดออก มันจะหยุด และจะกลัว (ผมก็เหมือนกัน แต่ภายหลังผมยอมรับชะตากรรม ผมหน่ายกับการสู้ ผมเบื่อ นั้นแหละผมจึงโดนอยู่ฝ่ายเดียว บางทีผมก็หนีเหมือนกัน)
บางทีคนอื่นสั่งให้ผมซื้อของผมก็ไป ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือเสียว่า ช่วยเหลือเพื่อน เพราะทรัพย์เราน้อย แต่เรามีกำลัง
ภายหลังถึงรู้ว่า มันไม่ได้มองเราเป็นเพื่อน แต่อาจมองเราเป็นคนใช้ ถึงอย่างนั้น ศักดิ์ศรีผมไม่ได้จางหาย ความดีผมก็ไม่ได้จางหาย
ผมก็ทำแบบนี้ จนจบมัธยมศึกษา
ผมจึงไม่เข้าใจพวกท่าน ที่โตเป็นผู้ใหญ่ พวกท่านยังถือศักดิ์ศรี หน้าตากันอยู่อีกหรือ
เอะอะไม่พอใจ ท่านก็ฆ่ากัน เอาปืนยิงใส่ ทะเลาะชกต่อย ให้อับอายขายหน้าปวงประชา
แม้แต่เพื่อน พ่อ แม่ พี่น้อง ท่านก็ทำให้คนที่ใกล้ชิดที่สุดถึงตาย
ท่านดื่มเหล้ากอดคอกัน ท่านหงุดหงิด เดือดร้อนใจ ท่านฆ่ากันเอง แล้วติดคุก สุดท้ายพอออกมา ท่านไม่เหลือใคร
เหตุใด ท่านไม่ทิ้งศักดิ์ศรี อะไรนั้น ยอมเป็นคนอดทน
ไม่ก็วิ่งหนี การหนี ผมว่า เป็นหนทางที่ฉลาดที่สุด (ผมก็หนี บางทีก็หนีไม่ได้ แต่การที่เราคิดว่าตนเองเก่งนั้นแหละผิด)
เพราะเมื่อท่านฆ่าเขาเสร็จ และรู้ว่าตนทำเกินไป จากนั้นจะเกิดอะไรแก่ท่าน ?
ความกลัว ความระแวง ชีวิตที่กังวลว่าตนจะโดนตำรวจจับ
ท่านอาจจะใส่บาตร ถวายซองผ้าป่า บริจาคเลือด
ผมขอบอกเลยว่า ไม่มีความดีใด ล้างบาปได้
เมื่อท่านต้องการแก้แค้น ท่านสำเร็จไม่ใช่เพราะท่านเก่ง แต่เพราะกรรมของเขา แต่ บาปมันก็สนองท่าน(เพราะท่านเป็นคนทำ) จะช้าหรือเร็ว ก็รอดูกัน
ไอ้บุญล้างบาปไม่มี แต่หนีบาปน่ะมี แต่ชาติหน้า ท่านเกิดใหม่ ท่านจำบาปในชาติก่อนได้หรือ?
เหมือนในชาตินี้แหละ ชาติก่อนผมเกิดเป็นอะไร ยังไม่รู้เลย ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นสิ่งที่หวัง ก็ไม่รู้ว่าสมปรารถนาหรือไม่
และนั้นมันช่างชวนประมาท เราอาจจะตายด้วยความคับข้อง และจิตเศร้าหมอง เพราะ สงสัยว่า ทำไมชาตินี้ ถึงเจอเรื่องบ้าๆอะไรแบบนี้?
ผมถึงอยากบอกว่าท่านน่ะโง่เขลา ถ้าท่านหนีซะ เรื่องก็จบ
ท่านจะเอาแต่หนีตำรวจอย่างเดียวเลยหรือไง?
และตำรวจมันไม่ให้ท่านหนีหลอก มันจับท่านจนได้แหละ
แต่บางครั้ง โจรอาจคิดว่าตนแน่ หนีได้แน่
ผมคิดว่า (เพราะกรรมมันตัดทอนสติปัญญาตำรวจ)
แต่ท่านจะหนีความตายได้หรือ ท่านคิดว่าตายแล้วสูญ ? ถามตัวเองเถอะ ไอ้ที่คิดว่าสูญ มันปลอบใจตัวเองหรือยังไง
หลายคนทำบุญเข้าวัดวาบ่อย แต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กร่างใส่เขาไปทั่ว พกปืน พกพวกบ้าง รุมกระทืบเขา ขี่รถไล่ยิงเขา
ถ้าไอ้คนที่โดนกระทืบ เป็นอริยะเจ้าขึ้นมา หรือ ท่านยิงเขา เป็นพระอริยะเจ้าขึ้นมา
ท่านนี้โครตซวยเลยนะ
แทนที่ท่านจะเสียเงินทำบุญ จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าท่าน เลือกจะไม่ทำบาปใดๆเลย
ท่านทำบาป แล้วหนีบาป ด้วยบุญของท่าน
แต่ท่านไม่รู้ไง ว่า บุญ กับ บาป สิ่งไหนละจะให้ผลก่อนกัน
เวลาบาปเข้าถึง ความสุขไม่มี เวลาบุญเข้าถึง ผลแห่งบาปยังมาไม่ถึง
พอมีความสุขนิดหน่อย ก็นำพาชีวิตให้ประมาท(เฉพาะคนเขลา)
นั้นหมายถึงว่า ต่อให้ท่านทำบุญ (ทาน)
แต่จิตท่านยังเลว ท่านไม่มีทางคืบหน้า ในพระนิพพาน
เอะอะท่านฆ่าคน ทำร้ายคน หรือโกงทรัพย์สินเขา ท่านอาจบวชแก้เคล็ด
อะพิโธ่ถัง ที่ท่านบวชเพราะกลัวคนในสังคมด่า หรือ คิดว่า บุญการบวชจะทำให้หนีนรกสำเร็จจริงๆ ท่านคิดว่าตนเป็น องคุลิมาลสองหรือไง
ท่านก็ไม่ได้บวชตลอดชีวิตนินา ครูบาอาจารย์ของท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์
ท่านดูข่าว ถึงความวงการสงฆ์มั้ยละ
พระสงฆ์บวชก็เอาเด็กชาย ท่านไม่ละอายใจมั้งหรือ ท่านมาบวชเพื่อเจอพวกนี้
พระสงฆ์บวช สึกเสร็จ เอาทรัพย์เข้ากระเป๋า ท่านไม่คิดว่า ไม่ถูกต้องมั้งหรือ
แล้วท่านทำบุญกับคนประเภทนี้ จะเอาหลักประกันอะไรว่า จะหนีบาปสำเร็จ หนีนรกสำเร็จ
ไม่มีใครสามารถหนี กรรมชั่วที่ตนทำ นอกเสียจากผู้ที่เข้าสู่ พระนิพพาน
ยกตัวอย่างเช่น พวกคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกเอาเงินเขา บางทีพวกคุณอาจคิด ไอ้นี้เลว
ผมได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่รู้จักตั้งแต่ อดีตนักค้ายารายใหญ่ พวกเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้ ตำรวจ ทหาร ท่านกล่าวอย่างงี้
พวกแก็งคอลเซ็นเตอร์ ถ้าทำเป้าไม่ถึงจะถูกเร่ขาย
คำว่าเร่ขายคือ ค้าอวัยวะ หมายความว่าไง ?
ครั้งแรกเขาอาจเอาไต ครั้งที่สองอาจจะเล่นถึงตาย เขาจะควักอวัยวะทั้งหมด ที่ขายได้
ผมสงสัยว่า มันจริงป่าว
เขาไม่กลัวเหรอว่า จะไม่มีใครสมัครงาน
แต่ผมก็คิดได้ ว่าเงิน สามารถสร้างลิ่วล้อได้เรื่อยๆ
เงินสามารถทำให้คนฆ่ากัน พ่อฆ่าแม่ เมียฆ่าผัว พี่น้องฆ่ากันเอง เพื่อนทรยศหักหลัง
วงจรความชั่วไม่จบสิ้น เพราะความโลภ นี้จึงเป็นเหตุที่ผมคิดว่า ทาน จะทำให้เราลดความตะหนี่
ผู้ที่โกงเขาก็ดี ไม่ว่าจะใช้สิ่งใดก็ตาม ร่างกายหรือฐานะ ความเขลาของฝ่ายตรงข้าม ความโลภขอ
งฝ่ายตรงข้าม เมื่อโกงเขาได้แล้ว ความชั่วจะเกิดขึ้น ความวิบัติจะรอเขา แต่เขาจะไม่รู้ และผลจะให้ช้า เมื่อตราบใดที่เขาเผลอระลึกถึง เผลอประมาท เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจะมาหาเขาเป็นระลอก กว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ ปัญหาที่ชวนปวดหัวรุมเร้าเขา มันจึงยากที่เขาจะทำความดี
ประสบการณ์ธรรมล้วนๆ
สังคมเราตอนนี้อันตรายมาก อาชญากรรมเกิดขึ้นทุกที่ ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัย
ความดี ทำให้พ้นภัย ผมอยากจะพูดยังงี้ แต่ ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม บางทีกฎของกรรม มันก็กำหนด ให้คนพาลฆ่าคนดี
สังคมเรา มีคนหนึ่งพูดว่า โลกนี้คนดีมันอยู่ยาก
คนดีและใจดี จะถูกเขารังแกและเอาเปรียบ
สมัยนี้อยู่ได้เราต้องเป็นแบบเขา
ผมย้อนความไปตอนเป็นเด็ก ผมเหมือนถูกคนทั้งโรงเรียนรังแก (ไม่ทั้งโรงเรียน แต่ก็ทั้งชั้นเรียน)
ผมเคยร้องไห้ และเสียน้ำตา อยู่ในห้องน้ำ
ผมถามตนเองว่า ครูบาอาจารย์ ทำไมถึงไม่ห้าม ไม่ให้คนมันรังแก
ผมโดนรังแกมาตลอดสามปี ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ไม่มีเพื่อน มิตรเก่าก็หาย มิตรใหม่ก็ไม่มี
ผมถูกรังแกเสียจน หวาดกลัวคนแปลกหน้า ผมไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาผู้อื่น แม้สบตาก็รู้สึกไม่จริงใจ
แม้จะจบจากโรงเรียนนั้นไม่ถูกรังแกอีกต่อไป นิสัยผมก็เหมือนเดิม
สิ่งนี้ลากยาว จนผมอายุ ยี่สิบกว่าปี
ตอนนั้น ผมถามตัวเองว่า ทำไมไม่ลาออกจากโรงเรียน ทำไมต้องให้คน เขารังแก ต่อว่า ดูถูกเหยียดหยาม จนเป็นปมในใจ สิบกว่าปี
ตอนนั้นเป็นเด็ก ผมแค่อยากให้สังคมยอมรับ อยากให้เพื่อนคบ อยากอาศัยเพื่อนฉลาดลอกการบ้าน
แต่ผมไม่มีเพื่อนเลย (บางทีก็เหมือนมี เหมือนไม่มี) ไม่ว่าจะจบมัธยมสาม จนถึง มัธยมหก จนถึงมหาลัย
มันมีคนในชั้นเรียน ล้อผมว่า หมาป่าโดดเดี่ยว
ผมเองก็อยากมีเพื่อน แต่ผมหวาดกลัว ใครจะใช้ให้ผมทำอะไร จะไถหัวตบหัว แล้วตบหลัง ได้ทั้งสิ้น
จะไถเงิน ก็เอาสิ
เพื่อนไม่อยากคบคนเช่นนี้ ผู้ชายไม่ชอบคนอ่อนแอ ผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ นางจะไม่เหลียวแลเรา
แม้แต่คนที่เราแค่พูดว่าชอบ นางจะพะอึดพะอม ขยะแขยง อับอายขายหน้า
ยิ่งคิดผมยิ่งสมเพช ผมก็ย้อนความไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครถูกรังแก ถ้าไม่มีสาเหตุ ?
ผมถูกรังแกเพราะอะไร เหตุใด ถึงต้อง เอาเราเป็นศัตรู
ผมย้อนความ จนนึกขึ้นได้ ผมแค่ไม่ยอมรับผิด เรื่อง ไรซักอย่าง ซึ่งก็นานมากแล้ว น่าจะสมัย ป.5 ไม่ก็ป.6
เมื่อครูบาอาจารย์ถาม ว่าใครทำผิด เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ก็ต้องลงโทษ ร่วมกัน
จนทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องเดือดร้อน
มันอาจถามผมว่า ทำไมไม่ยอมรับผิด
ถ้าผมตอบว่า แค่เด็กคนหนึ่ง ยังตีความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนผิดอะไร มันจะโกรธผมรึไม่?
คนที่รังแกผม ชกต่อยจนผมเป็นคนขี้ขลาด ก็คือคนนั้นแหละ คนที่ครูบาอาจารย์ ลงโทษ พ่วงร่วมกัน
มันโกรธแค้นมาก จนฝังใจ
และกรรมก็น่าตลก ก็ยังชักนำให้ผมไปเจอมัน
นั้นแหละ เจอมัน ซะเละตุ้มเป้ะ
แม้เรื่องราวผ่านไปนาน สิบปีล้างแค้นก็ไม่สาย ละมั้ง ?
มันก็รอล้างแค้นผม และก็โชคดี ที่มันก็ช่วยผมงานกลุ่มด้วย (แน่นอนผมจำได้ แม้ผ่านมาเกือบสิบกว่าปี)
ถามว่า ผมโกรธแค้นมั้ย ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่เท่ากับ คนอื่น ที่ ร่วมด้วย ทั้งๆที่ พวกเองไม่มีสิทธิ์อะไรมารังแกคนอื่น
ทำไมตอนนั้น ผมไม่กราบตีนขอโทษ
ศักดิ์ศรีปัญญาอ่อน พวกเราก็เด็กทั้งคู่ นั้นแหละ
ผมเองก็อยากขอโทษ แต่มันก็จุกปาก พูดไม่ได้
เคยมีคนตั้งฉายาว่า กระสอบทรายเดินได้
มันอัปยศจริงๆชีวิตตอนนั้น
คุณรู้รึไม่ คนที่ถูกรังแกบ่อยๆ จะไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนชั่ว ผมเสพความรุนแรงมากจนเกินไป จนผมลงกับคนอื่น
นั้นคือแม่ และพ่อ ยันสัตว์เลี้ยง ผมฆ่าและทรมานสัตว์
บางที เพื่อไม่ให้ใครรังแก ผมเองก็ยอมเล่น เป็นกระเทย จนท้ายที่สุด ผมก็ต้องเลิก เพราะมีคนว่า ผม โกหก
จะอะไรนักหนา เนอะ
ความจริงผมก็เถียงพ่อเถียงแม่ ด่าพ่อด่าแม่ และเคยตีแม่ในวัด (เรื่องตีแม่ก็น่าจะเป็นประเด็นเพราะเพื่อนร่วมชั้นจำได้เพราะมันเห็นผมตีแม่ ดังนั้น กรรมตรงส่วนนี้น่าจะทำให้ผมถูกทุบตีบ่อยๆ ทั้งที่คนอื่นก็ไม่ได้เป็นศัตรู แต่ก็ยังหาเรื่องรังแก)
นี้คือ ปัญหาเด็กๆ ม1-ม3
วันนี้หรือก่อนหน้านี้ การรังแก การทำร้ายมีอยู่ทุกที่
เด็ก คนโต คนชรา ผู้เยาว์ ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้หญิง ผู้ชาย
ศักดิ์ศรีตัวเดียวนี้แหละ ที่เป็นต้นเหตุของการรังแก การดูถูกเหยียดหยาม และการฆ่ากัน แน่นอนรวมถึง ทิฐิ และผลประโยชน์
ตอนนี้ ผมอายุมากขึ้น ศัตรูอะไรนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว
ศัตรูคนนั้น เราอาจเรียกว่าเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มปาก
ไอ้นั้นยังพูดเลย ผมยังเป็นเด็ก บอกแม่ผมอย่างนั้น
ไอ้นั้นตอนนี้เติบโตขึ้นเยอะมีชีวิตที่ดี มันละแล้วความอาฆาตพยาบาท ซึ่งผมเองก็พยายามเดินไปข้างหน้าเช่นกัน (โรคกลัวสังคม)
ส่วนผมนั้นนอกจากเงินพ่อเงินแม่ ที่มี นอกนั้นก็ไม่มีอะไร
ผมน่ะชอบธรรมะ ผมเบื่อชีวิตที่จองเวร บ้านผมน่ะมีปืน เพราะพ่อเป็นทหาร
กระสุนบางทีก็เก็บไว้ในบ้าน ปืนก็มี ผมยังไม่ใช้ปืนนั้น ไปฆ่าหรือทำร้ายใครเลย
แม้แต่คนที่เกลียดผม ก็แค่ต่อยให้ผมช้ำ ถ้าผมเลือดออก มันจะหยุด และจะกลัว (ผมก็เหมือนกัน แต่ภายหลังผมยอมรับชะตากรรม ผมหน่ายกับการสู้ ผมเบื่อ นั้นแหละผมจึงโดนอยู่ฝ่ายเดียว บางทีผมก็หนีเหมือนกัน)
บางทีคนอื่นสั่งให้ผมซื้อของผมก็ไป ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือเสียว่า ช่วยเหลือเพื่อน เพราะทรัพย์เราน้อย แต่เรามีกำลัง
ภายหลังถึงรู้ว่า มันไม่ได้มองเราเป็นเพื่อน แต่อาจมองเราเป็นคนใช้ ถึงอย่างนั้น ศักดิ์ศรีผมไม่ได้จางหาย ความดีผมก็ไม่ได้จางหาย
ผมก็ทำแบบนี้ จนจบมัธยมศึกษา
ผมจึงไม่เข้าใจพวกท่าน ที่โตเป็นผู้ใหญ่ พวกท่านยังถือศักดิ์ศรี หน้าตากันอยู่อีกหรือ
เอะอะไม่พอใจ ท่านก็ฆ่ากัน เอาปืนยิงใส่ ทะเลาะชกต่อย ให้อับอายขายหน้าปวงประชา
แม้แต่เพื่อน พ่อ แม่ พี่น้อง ท่านก็ทำให้คนที่ใกล้ชิดที่สุดถึงตาย
ท่านดื่มเหล้ากอดคอกัน ท่านหงุดหงิด เดือดร้อนใจ ท่านฆ่ากันเอง แล้วติดคุก สุดท้ายพอออกมา ท่านไม่เหลือใคร
เหตุใด ท่านไม่ทิ้งศักดิ์ศรี อะไรนั้น ยอมเป็นคนอดทน
ไม่ก็วิ่งหนี การหนี ผมว่า เป็นหนทางที่ฉลาดที่สุด (ผมก็หนี บางทีก็หนีไม่ได้ แต่การที่เราคิดว่าตนเองเก่งนั้นแหละผิด)
เพราะเมื่อท่านฆ่าเขาเสร็จ และรู้ว่าตนทำเกินไป จากนั้นจะเกิดอะไรแก่ท่าน ?
ความกลัว ความระแวง ชีวิตที่กังวลว่าตนจะโดนตำรวจจับ
ท่านอาจจะใส่บาตร ถวายซองผ้าป่า บริจาคเลือด
ผมขอบอกเลยว่า ไม่มีความดีใด ล้างบาปได้
เมื่อท่านต้องการแก้แค้น ท่านสำเร็จไม่ใช่เพราะท่านเก่ง แต่เพราะกรรมของเขา แต่ บาปมันก็สนองท่าน(เพราะท่านเป็นคนทำ) จะช้าหรือเร็ว ก็รอดูกัน
ไอ้บุญล้างบาปไม่มี แต่หนีบาปน่ะมี แต่ชาติหน้า ท่านเกิดใหม่ ท่านจำบาปในชาติก่อนได้หรือ?
เหมือนในชาตินี้แหละ ชาติก่อนผมเกิดเป็นอะไร ยังไม่รู้เลย ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นสิ่งที่หวัง ก็ไม่รู้ว่าสมปรารถนาหรือไม่
และนั้นมันช่างชวนประมาท เราอาจจะตายด้วยความคับข้อง และจิตเศร้าหมอง เพราะ สงสัยว่า ทำไมชาตินี้ ถึงเจอเรื่องบ้าๆอะไรแบบนี้?
ผมถึงอยากบอกว่าท่านน่ะโง่เขลา ถ้าท่านหนีซะ เรื่องก็จบ
ท่านจะเอาแต่หนีตำรวจอย่างเดียวเลยหรือไง?
และตำรวจมันไม่ให้ท่านหนีหลอก มันจับท่านจนได้แหละ
แต่บางครั้ง โจรอาจคิดว่าตนแน่ หนีได้แน่
ผมคิดว่า (เพราะกรรมมันตัดทอนสติปัญญาตำรวจ)
แต่ท่านจะหนีความตายได้หรือ ท่านคิดว่าตายแล้วสูญ ? ถามตัวเองเถอะ ไอ้ที่คิดว่าสูญ มันปลอบใจตัวเองหรือยังไง
หลายคนทำบุญเข้าวัดวาบ่อย แต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กร่างใส่เขาไปทั่ว พกปืน พกพวกบ้าง รุมกระทืบเขา ขี่รถไล่ยิงเขา
ถ้าไอ้คนที่โดนกระทืบ เป็นอริยะเจ้าขึ้นมา หรือ ท่านยิงเขา เป็นพระอริยะเจ้าขึ้นมา
ท่านนี้โครตซวยเลยนะ
แทนที่ท่านจะเสียเงินทำบุญ จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าท่าน เลือกจะไม่ทำบาปใดๆเลย
ท่านทำบาป แล้วหนีบาป ด้วยบุญของท่าน
แต่ท่านไม่รู้ไง ว่า บุญ กับ บาป สิ่งไหนละจะให้ผลก่อนกัน
เวลาบาปเข้าถึง ความสุขไม่มี เวลาบุญเข้าถึง ผลแห่งบาปยังมาไม่ถึง
พอมีความสุขนิดหน่อย ก็นำพาชีวิตให้ประมาท(เฉพาะคนเขลา)
นั้นหมายถึงว่า ต่อให้ท่านทำบุญ (ทาน)
แต่จิตท่านยังเลว ท่านไม่มีทางคืบหน้า ในพระนิพพาน
เอะอะท่านฆ่าคน ทำร้ายคน หรือโกงทรัพย์สินเขา ท่านอาจบวชแก้เคล็ด
อะพิโธ่ถัง ที่ท่านบวชเพราะกลัวคนในสังคมด่า หรือ คิดว่า บุญการบวชจะทำให้หนีนรกสำเร็จจริงๆ ท่านคิดว่าตนเป็น องคุลิมาลสองหรือไง
ท่านก็ไม่ได้บวชตลอดชีวิตนินา ครูบาอาจารย์ของท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์
ท่านดูข่าว ถึงความวงการสงฆ์มั้ยละ
พระสงฆ์บวชก็เอาเด็กชาย ท่านไม่ละอายใจมั้งหรือ ท่านมาบวชเพื่อเจอพวกนี้
พระสงฆ์บวช สึกเสร็จ เอาทรัพย์เข้ากระเป๋า ท่านไม่คิดว่า ไม่ถูกต้องมั้งหรือ
แล้วท่านทำบุญกับคนประเภทนี้ จะเอาหลักประกันอะไรว่า จะหนีบาปสำเร็จ หนีนรกสำเร็จ
ไม่มีใครสามารถหนี กรรมชั่วที่ตนทำ นอกเสียจากผู้ที่เข้าสู่ พระนิพพาน
ยกตัวอย่างเช่น พวกคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกเอาเงินเขา บางทีพวกคุณอาจคิด ไอ้นี้เลว
ผมได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่รู้จักตั้งแต่ อดีตนักค้ายารายใหญ่ พวกเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้ ตำรวจ ทหาร ท่านกล่าวอย่างงี้
พวกแก็งคอลเซ็นเตอร์ ถ้าทำเป้าไม่ถึงจะถูกเร่ขาย
คำว่าเร่ขายคือ ค้าอวัยวะ หมายความว่าไง ?
ครั้งแรกเขาอาจเอาไต ครั้งที่สองอาจจะเล่นถึงตาย เขาจะควักอวัยวะทั้งหมด ที่ขายได้
ผมสงสัยว่า มันจริงป่าว
เขาไม่กลัวเหรอว่า จะไม่มีใครสมัครงาน
แต่ผมก็คิดได้ ว่าเงิน สามารถสร้างลิ่วล้อได้เรื่อยๆ
เงินสามารถทำให้คนฆ่ากัน พ่อฆ่าแม่ เมียฆ่าผัว พี่น้องฆ่ากันเอง เพื่อนทรยศหักหลัง
วงจรความชั่วไม่จบสิ้น เพราะความโลภ นี้จึงเป็นเหตุที่ผมคิดว่า ทาน จะทำให้เราลดความตะหนี่
ผู้ที่โกงเขาก็ดี ไม่ว่าจะใช้สิ่งใดก็ตาม ร่างกายหรือฐานะ ความเขลาของฝ่ายตรงข้าม ความโลภขอ
งฝ่ายตรงข้าม เมื่อโกงเขาได้แล้ว ความชั่วจะเกิดขึ้น ความวิบัติจะรอเขา แต่เขาจะไม่รู้ และผลจะให้ช้า เมื่อตราบใดที่เขาเผลอระลึกถึง เผลอประมาท เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจะมาหาเขาเป็นระลอก กว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ ปัญหาที่ชวนปวดหัวรุมเร้าเขา มันจึงยากที่เขาจะทำความดี