JJNY : 5in1 ชัยธวัชนำเปิดเวที│'ก้าวไกล'วอนหยุดขยายสัมปทาน│จุลพงษ์ชมเวทีมติชน│ฝนตก น้ำท่วมในอัฟกานิสถาน│ไต้หวันจวกจีน

ชัยธวัช นำเปิดเวทีฝ่ายค้านพบปชช. สงขลา ชี้ 3 ล็อก ทำศก.ใต้ โตต่ำกว่าภาคอื่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4594452
 
 
ชัยธวัช นำเปิดเวทีฝ่ายค้านพบปชช. สงขลา ชี้ 3 ล็อก ทำศก.ใต้ โตต่ำกว่าภาคอื่น-ชะงักงันข้ามทศวรรษ ชงรื้อโครงสร้างแก้ทั้งระบบ
 
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่โรงแรมคริสตัล หาดใหญ่ จ.สงขลา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ร่วมเปิดเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน ของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีทั้งตัวแทนจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานราชการ ร่วมเวทีในวันนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เวทีช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยการกล่าวปาฐกถาของนายชัยธวัช ในหัวข้อ “3 ล็อกเศรษฐกิจภาคใต้” จากนั้นนายชัยธวัช และคณะร่วมกันลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนรอบบริเวณทะเลสาบสงขลาในช่วงเย็น
 
โดยนายชัยธวัชกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “3 ล็อกเศรษฐกิจภาคใต้” ว่า ล็อกที่หนึ่ง เมื่อดูข้อมูลภาพรวมรายได้ของภาคใต้ จะเห็นว่ามีอัตราเติบโตน้อยและถดถอยลงตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นช้ากว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ ค่าเฉลี่ยรายได้จากที่เคยสูงก็ต่ำลงอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว การเติบโตของรายได้ในภาคใต้กระจุกตัวอยู่แค่ไม่กี่จังหวัด บางจังหวัดก็จนลงด้วย ศักยภาพในการสร้างมูลค่าและรายได้ต่อหัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งประเทศในปี 2554 ภาคใต้เคยคิดเป็น 77% แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2565 เหลือแค่ 57% และหากดูรายจังหวัดก็จะเห็นได้ว่าจีดีพีต่อหัวไม่เพิ่มขึ้นเลย และมีเพียงสามจังหวัดเท่านั้นที่โตเกิน 2% คือภูเก็ต ชุมพร และพังงา
 
ล็อกที่สองคือด้านอาชีพ ภาคใต้ในช่วงหลังพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนเครื่องยนต์อื่นๆ แทบไม่โตเลยในภาพรวม ภาคใต้ไม่มีอย่างอื่นโตเลยนอกจากการท่องเที่ยวซึ่งมีความผันผวนง่าย เศรษฐกิจหลังโควิดภาคใต้ก็ยังโตช้าเมื่อเทียบกับภาคอื่น ส่วนล็อกที่สามคือคุณภาพชีวิต จะเห็นว่าสัดส่วนครัวเรือนยากจนยังสูง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะความเหลื่อมล้ำในระยะยาวได้ ไม่มีงานให้ทำมากพอ อัตราอาชญากรรมก็สูงกว่าค่าเฉลี่ย สัดส่วนประชากรยากจนก็สูง ครัวเรือนในภาคใต้ที่มีความเสี่ยงกับภัยพิบัติก็สูงกว่าภาพรวมของทั้งประเทศ
 
นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นในภาคเกษตร การท่องเที่ยวอุตสาหกรรม อยู่ในสภาวะที่ควรตั้งคำถามว่าจะไปอย่างไรต่อ ในภาคเกษตรแม้จะมีการเปลี่ยนสัดส่วนผลผลิต แต่มูลค่าผลผลิตโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง การท่องเที่ยวก็ยังฟื้นตัวช้า ที่ฟื้นตัวเร็วได้แค่ไม่กี่จังหวัดเท่านั้น นักท่องเที่ยวกลับมาปริมาณมากขึ้นแต่การจับจ่ายใช้สอยไม่ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทย ทำให้ต้องพึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นอีก ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศตอนนี้ก็กลับมาแค่ประมาณ 71% ของช่วงก่อนโควิดเท่านั้น โจทย์ใหญ่ของการท่องเที่ยวภาคใต้ตอนนี้อยู่ที่จะกระจายสัดส่วนการกระจุกตัวของการท่องเที่ยวที่อยู่แค่ประมาณ 5 จังหวัด กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา พังงา ได้อย่างไร
 
ขณะเดียวกัน ในภาคอุตสาหกรรมก็มีปัญหาเรื่องการกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมขั้นต้นเท่านั้น คือการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาคือ อุตสาหกรรมเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนในราคาภาคเกษตรของโลกตามไปด้วยโดยตรง อย่างที่เคยเกิดขึ้นและยังคงเกิดอยู่กับราคายางพาราในปัจจุบัน
 
นายชัยธวัชยังกล่าวว่า สิ่งที่ต้องคิดวันนี้ ไม่ใช่การแก้ปัญหาเป็นรายมาตรการหรือรายธุรกิจ แต่เป็นการแก้ปัญหาในเชิงระบบ วันนี้พี่น้องประชาชนหลายคนสะท้อนเรื่องการจัดการปัญหาที่ดิน หลายคนพูดเรื่องการกระจายอำนาจ เราให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เพราะเราเชื่อว่าการยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจในต่างจังหวัดไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาทีละเรื่อง แต่ต้องแก้ปัญหาทั้งระบบโครงสร้าง อย่างเช่นการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบเพื่อจัดการโครงสร้างที่ดินใหม่ การกระจายอำนาจ การปฏิรูประบบงบประมาณ เป็นต้น
 
ต่อมาเป็นเวทีเสวนาหัวข้อ “ปัญหาและโอกาสทางเศรษฐกิจของภาคใต้” โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองฝ่ายค้านเข้าร่วม ประกอบด้วย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.พลอยทะเล ลักษมีแสงจันทร์ จากพรรคประชาธิปัตย์, นายชวลิต วิชยสุทธิ์ จากพรรคไทยสร้างไทย, นายกัณวีร์ สืบแสง จากพรรคเป็นธรรม, นายวิชาญ ช่างวาด จากพรรคครูไทยเพื่อประชาชน และนายธนกร สังข์โพธิ์ จากพรรคใหม่ โดยรูปแบบของวงเสวนาเป็นการเปิดเวทีให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนใน จ.สงขลา มาร่วมสะท้อนปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ตัวแทนพรรคฝ่ายค้านได้รับฟังข้อมูลร่วมกัน ก่อนร่วมตอบคำถามและแสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นเศรษฐกิจของภาคใต้
 
น.ส.ศิริกัญญาระบุว่า ประเด็นที่สะท้อนมาจากภาคประชาชนและภาคเอกชนมีหลายเรื่องที่ฝ่ายค้านสามารถรับนำไปผลักดันได้ทันที หลายเรื่องเป็นประเด็นที่ต้องผลักดันผ่านร่างกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ร.บ.โรงแรม ฯลฯ ส่วนอีกประเด็นที่ตัวแทนภาคประชาชนสะท้อนขึ้นมา คือเรื่องของระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ซึ่งสถานะล่าสุดวันนี้ยังไม่มีร่าง พ.ร.บ.ที่เป็นของคณะรัฐมนตรีออกมา ที่น่ากังวลคือถ้าร่างของคณะรัฐมนตรีออกมาเมื่อไหร่ ก็อาจจะเข้าสภา อย่างรวดเร็วและผ่านการพิจารณาอย่างรวดเร็ว จนอาจขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน แม้โดยเนื้อหาหลักหลายเรื่องจะมีความคล้ายคลึงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แต่พอเป็น SEC บริบทค่อนข้างแตกต่างกันเพราะ EEC เป็นการต่อยอดจากพื้นที่ที่มีพื้นฐานอุตสาหกรรมดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่ SEC เป็นการเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ทำให้การดำเนินโครงการจำเป็นต้องมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น
 
ทั้งนี้ เวลาพูดถึงเศรษฐกิจของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม หรือภาคเกษตรของภาคใต้ เราอยากเห็นบทบาทของรัฐที่มาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนมากยิ่งขึ้น หลายครั้งที่รัฐเหมือนจะมีแนวคิดแต่ก็ไม่ได้ขับเคลื่อนให้สุดหรือไม่ได้ทำเลย อย่างเช่นรับเบอร์ซิตี้ (Rubber City) ที่เดิมวางให้เป็นโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราในขั้นปลายมากขึ้น ถึงขั้นตั้งนิคมอุตสาหกรรมรับเบอร์ซิตี้ขึ้นมา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นนิคมร้าง เราอยากเห็นอุตสาหกรรมในภาคใต้ที่พัฒนาจากขั้นพื้นฐานให้ก้าวหน้ามากขึ้น แต่รัฐก็ต้องมีบทบาทนำมากกว่านี้ และแน่นอนว่าภาคเกษตรยังเป็นปัญหาโครงสร้างใหญ่สำคัญของภาคใต้ เพราะการพึ่งพิงพืชเศรษฐกิจไม่กี่ตัว อาจทำให้มีความเปราะบางที่เสี่ยงต่อรายได้ที่ผันผวน ภาคใต้เคยเป็นภาคที่มีอัตราส่วนของเด็กที่เรียนต่อในระดับภาคบังคับสูงที่สุดในประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร หลังจากนั้น 10 ปี กลายเป็นภาคที่มีเด็กต้องตกหล่นจากระบบการศึกษาประมาณหนึ่งในสาม สะท้อนภาพใหญ่ของเศรษฐกิจที่เปราะบางผันผวนของภาคใต้


 
'ก้าวไกล' วอนรัฐหยุดขยายสัมปทานทางด่วน ชี้อาจจงใจเอื้อประโยชน์นายทุน ทำรัฐเสียรายได้
https://prachatai.com/journal/2024/05/109343

สส.สุรเชษฐ์ พรรคก้าวไกล วอนรัฐหยุดขยายสัมปทานทางด่วน ชี้อาจจงใจเอื้อประโยชน์นายทุน ทำรัฐเสียรายได้ แนะ กทพ. ต้องหยุดการขยายสัญญาสัมปทานออกไปเรื่อย ๆ รวมถึงควรเร่งพิจารณาโครงการตามต่างจังหวัดด้วย
 
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ว่านายสุรเชษฐ์  ประวีณวงศ์วุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงข่าว หัวข้อ “ทวงคืนทางด่วน หยุดหาเรื่องขยายสัมปทาน เอื้อประโยชน์ให้นายทุนไปเรื่อย” ว่ามีความพยายามของนายทุนในการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน ผ่านการขายนโยบายลดค่าทางด่วนโดยรัฐบาล โดยวันที่ 25 เม.ย.67 ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศว่าจะลดค่าทางด่วนให้แล้วเสร็จภายในเดือน ส.ค.นี้ แต่เป็นการลดแบบมีเงื่อนไข ซึ่งต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นผลดีต่อประเทศในภาพรวมหรือไม่
นายสุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ตนมองว่าการลดค่าทองด่วนไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมด้วย 3 เหตุผล คือ 1. การเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นการแข่งขันระหว่างรูปแบบการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวกับระบบขนส่งสาธารณะ การลดค่าทางด่วนจะย้อนแย้งกับนโยบายของรัฐที่บอกว่าอยากให้คนหันไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะเมื่อลดค่าทางด่วน ก็จูงใจให้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น 2. ทางด่วนเป็นสินค้าที่ผู้ใช้เป็นผู้จ่าย (Pay per use) แต่การลดหรือฟรีค่าทางด่วนจะทำให้ความยุติธรรมนี้ลดลง รัฐสูญเสียรายได้ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนา และ 3. นายทุนมักเอาเปรียบรัฐมากขึ้นเมื่อได้เซ็นสัญญาใหม่​ โดยปัจจุบันนายทุนได้เซ็นสัญญาขยายสัมปทานไปแล้ว 15 ปี 8 เดือน ตนขอตั้งข้อสังเกตว่าหากเอกชนไม่ได้ผลประโยชน์มากขึ้นจากสัญญานั้นเอกชนแห่งนั้นจะยอมเซ็นหรือไม่ ดังนั้น การลดราคาค่าทางด่วน รัฐแลกมาด้วยการสูญเสียรายได้จากส่วนแบ่งค่าทางด่วน รวมถึงสูญเสียรายได้ที่รัฐควรจะได้ในอนาคต
 
นายสุรเชษฐ์ กล่าวถึง ขณะนี้บอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กำลังพิจารณาเรื่องการขยายสัมปทานเพื่อลากยาวไปถึง 31 มี.ค.2601 หรืออีก 34 ปีข้างหน้า ดังนั้น เป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาล คือ การช่วยเอกชนหาเรื่องขยายสัญญาสัมปทาน แต่กลับใช้แนวทางการตลาดอ้างว่าเป็นการลดค่าทางด่วน ซึ่งต้องแลกด้วยส่วนแบ่งรายได้รัฐที่ลดลง สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลต้องทวงคืนทางด่วน หยุดการขยายสัญญาสัมปทานออกไปเรื่อย ๆ รวมถึงควรเร่งพิจารณาโครงการตามต่างจังหวัดด้วย และยังมีอีกหลายทางเลือกที่ไม่ต้องเอื้อประโยชน์ให้นายทุนด้วยการขยายสัญญาสัมปทาน



จุลพงษ์ ชมเวทีมติชนฟอรั่ม ข้อมูลแน่น ได้ความรู้มาก แนะรัฐบาลสานต่อระเบียงมนุษยธรรมแนวชายแดน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4594354

จุลพงษ์ ชมเวทีมติชนฟอรั่ม ข้อมูลแน่น ได้ความรู้มาก หนุนจับมือ อาเซียน-จีน แก้ปมเมียนมา แนะรัฐบาลสานต่อระเบียงมนุษยธรรมแนวชายแดน

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม นายจุลพงศ์ อยู่เกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงการบรรยายของ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ ‘ผ่าเมียนมา ทะลุไทยและอาเซียน วิเคราะห์จุดเดือดสมรภูมิรบภูมิรัฐศาสตร์’ บนเวทีมติชนฟอรั่ม ‘Thailand 2024 : Surviving Geopolitics’ เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์และหนทางปรับตัว ภายใต้ปัจจัย ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรโลก ภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนประชาชนคนไทย ทั้งในเชิงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ได้ความรู้เยอะ ข้อมูลแน่น เพราะวิทยากรมีความรู้เรื่องภายในพม่าเยอะ ส่วนเรื่องที่น่าสนใจคือ การอธิบายแยกชนกลุ่มน้อยออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ

นายจุลพงศ์กล่าวต่อว่า ในส่วนข้อเสนอเสนอกลยุทธ์ 4 ลู่ 2 แกน ก็เป็นข้อเสนอเชิงวิชาการที่ดี แต่ในความเป็นจริง รัฐบาลทหารเมียนมาก็ไม่รับเลย ไม่ว่าเราจะเข้าหาทางด้านไหน ทั้งนี้ ตนคิดว่าอาเซียนต้องมีการจับมือกันมากขึ้น รวมถึงประเทศจีน เพราะมีอิทธิพลในเมียนมามาก

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ มองว่าบทบาทของรัฐบาลต่อเรื่องนี้ ควรเป็นอย่างไร นายจุลพงศ์กล่าวว่า ตนคิดว่านายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วางแนวทางไว้ดีแล้ว คือการแยกเป็นสองส่วน เรื่องการเจรจาภายใน ต้องทําเงียบ ๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ควรจะสานต่อในเรื่องระเบียงมนุษยธรรมตามชายแดน ซึ่งก็จะตรงกับข้อเสนอของ รศ.ดร.ดุลยภาค
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่