หากเราสังเกตุดูตามสังคมออนไลน์ หรือในกระทู้ต่างๆ เราจะสังเกตุเห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่องการเข้าซื้อ หรือการเข้าถือสถานะ
ในขณะที่การเข้าซื้อสำคัญ การขาย หรือปิดสถานะก็สำคัญเท่าๆกัน
นักลงทุนส่วนใหญ่มีรายละเอียดของแผนการเทรดเสมอ แต่สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่มักจะละเลยแผนการขาย

"เริ่มด้วยการจบในใจก่อนเสมอ"

ก่อนเข้าซื้อเราต้องวางแผนการขายเอาไว้แล้ว โดยเราควรจะตอบคำถาม 4 ข้อนี้กับตัวเองก่อนครับ


1.เราต้องการเสี่ยงในครั้งนี้มากแค่ไหน?
การจำกัดความเสี่ยงคือหนึ่งในการจัดการพอร์ตที่สำคัญมาก  เพื่อที่จะได้กำไร หรือหลีกเลี่ยงการขาดทุนหนัก เราต้องจัดการความเสี่ยง นี่คือข้อแตกต่างระหว่างนักลงทุนกับนักพนันครับ
เราควรรู้อยู่เสมอว่าเราจะวางเงินทุนเท่าไหร่? จากเงินที่มีในพอร์ต เราต้องมั่นใจว่าความเสี่ยงที่จะขาดทุนอยู่ในระดับที่เรารับได้สบายๆครับ

2.เราจะตัดขาดทุน หรือคัทลอสที่ไหน?
จุดคัทลอสที่เหมาะสม สามารถทำให้พอร์ตเราเติบโตได้ และเราต้องมีคำตอบก่อนที่จะเข้าซื้อ
เราต้องมั่นใจว่าจุดคัทลอสเหมาะสม มีระยะห่างให้ราคาแกว่งตัวได้ในไทม์เฟรมที่เราใช้

3.เหตุการณ์ใดบ้างที่จะส่งผบกระทบต่อราคา ? ในห้วงเวลาที่เราถือสถานะ
ตลาดยากจะคาดเดา มีเหตุการ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ
แต่อย่างไรก็ดี, ยังมีเหตุการณ์ที่เรารู้ล่วงหน้า เช่นรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจ คำปราศัยของบุคคลสำคัญ ที่มีกำหนดในตารางอย่างแน่นอน
ผลลัพธ์ที่ออกมา จะส่งผลในทิศทางที่เคยเป็นมา เราจึงควรวางแผนรับผลกระทบเหล่านี้ไว้ครับ
เราควรคาดการณ์ว่าตลาดจะปรับไป ตามตัวเลขที่ออกมาอย่างไร? จากนั้นวางแผนให้เหมาะสม หรือหากไม่เป็นไปตามคาด เราก็ต้องมีแผนไว้เสมอ

4. เราวางแผนในการถือสถานะนานแค่ไหน?
เราอาจจะไม่กำหนดวันที่แน่ชัดว่าจะขายวันไหน แต่ควรคาดคะเนว่าเราจะถือนานประมาณไหน?
นักลงทุนระยะยาว อาจถือสถานะหลายเดือน หรือเป็นปี เพราะเขาอิงปัจจัยพื้นฐาน
ส่วนนักลงทุนระยะสั้นที่เน้นใช้เทคนิค อาจจะถือเป็นวัน สัปดาห์ ตามแผนการเทรดที่เราได้วางไว้

การขายหรือปิดสถานะ สำคัญมากพอกับการซื้อ  เราจึงควรให้ความสำคัญ ให้เวลาเท่าๆกันในการเทรด

โปรดตระหนักว่า ทุกอย่างต้องจบในใจเราหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขาย🥰😘😍ขอบคุณครับ

เครดิต babypips.com  อนุสรณ์ จ.