คุณอนุญาตให้ตัวเองออกจากความทุกข์หรือไม่?

ออกจากความทุกข์ได้ เมื่อคุณอนุญาตให้ตัวเองออกจากความทุกข์

สวัสดีเพื่อนเพื่อนที่ติดตาม  และอาจพึ่งเข้ามาติดตามกัน ในบทความนี้เป็นความตั้งใจที่ผมจะพาทุกคนที่อนุญาตให้ตัวเองออกจากความทุกข์ได้เจอช่องทาง ในการออกจากความทุกข์ ซึ่งเป็นช่องทางที่เรียบง่าย แต่อาศัยการลงมือทำ และการอนุญาตของตัวคุณเอง ดังนั้นแล้วถ้าใครไม่อนุญาตให้ตัวเองได้ออกจากความทุกข์ การอ่านข้อความนี้ต่อไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ แต่ถ้าหากคุณรู้สึกว่ามันตื่นเต้นที่จะได้ทำงานงานนี้ ผมยินดีด้วย ภายในคุณอนุญาตให้ตัวคุณได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าความสุขที่มีอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจคุณแล้ว

ถ้าพูดถึงความทุกข์  เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนจะมีขึ้น บางคนทุกข์เพราะขาดแคลน บางคนทุกข์เพราะมีมาก บางคนเพราะรักมาก บางคนทุกข์เพราะเกลียดมาก ทั้งหมดหากเราพูดถึงความทุกข์แล้ว เราสามารถเปรียบเทียบมันได้กับเหรียญสองหน้า หมายถึงว่าเมื่อมีความทุกข์ ก็จะมีความมีความสุขเป็นของคู่กัน

ตัวผมเองเคยเป็นคนหนึ่งที่พยายามหลีกหนีความทุกข์  ด้วยการแสวงหาผลลัพธ์ในชีวิต รวมถึงการสะสมทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของภายนอก เพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือเหตุแห่งการดับทุกข์ เพราะซื้อปั๊บมีความสุขทันที และหลายครั้งที่ตัวผมเอง ผิดพลาดล้มเหลวจากการพยายามหลีกหนีความทุกข์ กับกลายเป็นความทุกข์ในรูปแบบใหม่ที่เข้ามา ยกตัวอย่างเช่นตัวผมเองมองเห็นว่าความสุขของตัวผมคือการมีห้องเช่าที่ปล่อยเช่า แล้วมีเงินเหลือในทุกๆเดือน และเมื่อตัวผมเองได้ห้องเช่าที่ปล่อยเช่าและมีเงินเหลือในทุกๆเดือน ผมจึงมีประสบการณ์ของความสุข ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้ผมเชื่อว่าการมีความสุขได้คือการสะสมทรัพย์สินเงินทอง

แต่เมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไป  สภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้ตัวผมเองขาดผู้เช่า และกลายเป็นสภาวะหนี้ มันจึงทำให้ผมเริ่มอยู่ในความทุกข์ และตัวผมเองก็พยายามแสวงหาการหลีกหนีความทุกข์ที่มันก่อเกิดเกิดขึ้นจากการลงมือทำของผม

ในช่วงที่สภาวะของสังคมมีการหดตัว  มันยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ในทรัพย์สินของผมยิ่งดูยากเย็นขึ้น และสิ่งนี้มันก็ทำให้ตัวผมรู้สึกทุกข์มากยิ่งขึ้น ผมพยายามทุกทางที่จะสร้างรายได้เพิ่ม เพื่อที่จะให้มันมีรายได้เพื่อผ่อนจ่ายทรัพย์สินของผม แต่การพยายามทุกทาง มันไม่ต่างจากการที่ตัวผม เอาก้อนหินไปเรียงวางไว้กลางแม่น้ำที่มีน้ำเชี่ยว ซึ่งชัดเจนว่า ผมไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติ ของการหดตัวได้

สิ่งนี้มันทำให้ผมกลับมาด้อยค่าตัวเอง  สิ่งนี้มันทำให้ผมกลับมากล่าวโทษตัวเอง ว่าผมนั้นไม่สามารถ ผมอยู่ในสภาวะดังกล่าวเป็นเวลานานพอสมควร จนมันทำให้ตัวผมเกือบจะยอมแพ้กับการเป็นตัวผมเอง  และเกือบจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่ทะเยอทะยาน  กับกลายเป็นคนที่ยอมแพ้กับชีวิต ซึ่งมันทำให้ตัวผมเริ่มตั้งคำถามถึงคนที่ผมเป็น เริ่มตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ ว่าอยู่เพื่ออะไร

ด้วยความบังเอิญ  ผมมีโอกาสได้ยินประโยคหนึ่งที่มาช่วยปลุกจิตวิญญาณภายในของตัวผม นั่นก็คือประโยคที่ว่า

สถานการณ์ไม่สำคัญ การเป็นสำคัญที่สุด

ผมเริ่มมองกลับไปถึงชีวิตในอดีตของผม  ที่เมื่อผมต้องการได้อะไร ผมจะพยายามที่จะทำทุกทางเพื่อที่จะทำได้มันมา จากการไตร่ตรองทำให้ผมรู้ว่า คนที่ผมเป็น นะช่วงเวลาเวลานั้น ผมกำลังให้สถานการณ์เป็นใหญ่กว่าคนที่ผมเป็น

ผมมองเห็นว่าผมกำลังเอาความกลัว  มากำกับความทะเยอทะยานที่ผมมีภายใน จนช่วงเวลานั้นเองสิ่งที่เรียกว่าความปรารถนา หรือความทะเยอทะยาน มันเกือบ แห้งเหือดหายไปกับความกลัวภายในของตัวผม

เมื่อผมเริ่มไตร่ตรอง  สิ่งที่เรียกว่าปัญญาภายในเริ่มเกิด ผมเริ่มมองเห็นว่าการที่ตัวผมเองทะเยอทะยานนั้น ไม่ได้ผิดอะไร แต่การที่ผมทะเยอทะยาน แล้วพยายามเอาชนะความทะเยอทะยานนั้นด้วยเงิน มันไม่เพียงพอ และมันไม่สมกับคนที่ผมเป็นอย่างแท้จริง

ตัวผมเริ่มทำงานจริงจังกับตัวเอง  ตัวผมเริ่มทำความรู้จักกับตัวตนภายในภายในที่ผมมี ผมทำงานกับความกลัวของตัวเองจนถึงความกลัวในระดับจิตใต้สำนึกที่มันฝังอยู่

ผมเห็นความกลัวที่ตัวเองมีอยู่ภายใน  มันทำให้ตัวเราเองเองพยายามควบคุมทุกอย่างที่อยู่ภายนอก เพื่อให้เป็นไปตามที่ผมคิด สิ่งนี้มันสะท้อนเข้ามาภายในตัวตนผมโดยที่ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าผมกลัวที่จะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

เมื่อผมปล่อยวางการควบคุม  มันเริ่มเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงกับตัวผมเองในระดับภายในร่างกาย สะท้อนมายังตัวผม และสิ่งนี้ถูกแสดงออกสู่โลกภายนอก

ในวันนี้เอง  ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า ผมกำลังใช้ชีวิตตามความปรารถนาภายในภายในที่ผมมี มันมาจากการที่ตัวผมเองรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวผม ตัวผมเองได้เข้าใจถึงความทุกข์ที่เคยมีในอดีต ตัวผมเองและเข้าใจถึงความสุขที่เคยมีในอดีต และวันนี้ผมเลือกพื้นที่ที่ผมชอบ หรือพื้นที่ที่ผมต้องการจะมีชีวิตอยู่ด้วยตลอดไปของการเป็นมนุษย์ นั่นก็คือการมีความสุขตลอดเวลา

การที่มาถึงจุดนี้ได้นั้น  มันมาจากการที่ตัวผมเองอนุญาตให้ตัวเองได้สัมผัสถึงความกลัวที่มันมีอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก ผมอนุญาตให้ตัวเองได้ยอมรับและรักตัวเองอย่างไร้เงื่อนไข ผมอนุญาตให้ตัวเองได้ไว้วางใจตัวเอง ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และผมอนุญาตให้ตัวเองได้ซื่อสัตย์กับภายในที่ผมมี และลงมือทำตามที่ผมอยากและผมต้องการเท่านั้น

ความตั้งใจของผมที่เขียนบทความนี้มา  เพื่อให้ผมได้สื่อสารความปรารถนาภายในที่ผมมี ให้มันมาอยู่บนโลกความเป็นจริงผ่านการลงมือทำ เพื่อใครบางคนที่ผ่านเข้ามาและมีความตั้งใจเช่นเดียวกับผม ในการมีมีความสุขในทุกวินาทีของการใช้ชีวิต สามารถที่จะรับเสียงสะท้อนนี้ และนำมันไปสะท้อนภายในของตัวคุณเองได้

ตัวผมทำตามความปรารถนา  และไม่ได้เสียสละสิ่งนี้เพื่อให้ใครได้ยกระดับตัวเอง แต่สิ่งที่ผมเป็นตามความปรารถนานี้นั้น มันทำให้เกิดเสียงสะท้อนภายในตัวผม ซึ่งอยู่ที่คุณจะอนุญาตให้ตัวเองได้ยินเสียงสะท้อนนี้หรือไม่ และคุณเองจะอนุญาตให้เสียงสะท้อนนี้มันทำงานกับตัวคุณเองหรือไม่ สิ่งนี้มันอยู่ที่คุณยืนเป็นต้นเหตุให้กับชีวิตของตัวคุณเอง

ผมชัดเจนว่าผมจะไม่เข้าไปแทรกแซงการเป็นของใคร  เพราะผมรู้ว่าคนแต่ละคนมีระยะเวลาของการที่ไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่ผมเป็นผมจะแสดงความปรารถนาภายในที่ผมมีในทุกทาง เพราะผมรู้ว่าวันนี้พวกเราไม่แยกจากกัน ทุกคนเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่จะทำให้โลกใบนี้สมบูรณ์แบบ

ไม่ว่าวันนี้คุณจะอยู่ตรงไหนของการใช้ชีวิตก็ตาม สิ่งที่ผมต้องการจะยืนยันก็คือคุณสามารถที่จะเริ่มต้นมีความสุขในทุกๆวินาที โดยปราศจากความทุกข์ได้ และคุณเองสามารถที่จะใช้ชีวิตนอกเหนือจากเหรียญสองด้านที่มันมีความทุกข์และความสุข ซึ่งเป็นกรรมซึ่งกันและกัน ออกมาอยู่ในสภาวะของจุดจุดสังเกตการณ์ เพื่อใช้ชีวิตจากการการเลือกที่จะมีความสุขในทุกๆวินาที ตั้งแต่ตอนนี้จนสิ้นสุดความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่จุดสิ้นสุดความเป็นมนุษย์ จนคุณได้สัมผัสว่าคุณเองคือพลังงานที่เป็นนิรันดร์

ด้วยรักอย่างไร้เงื่อนไข
ไว้วางใจพวกคุณทุกคน
ผมชื่อโก๊ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่