เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2786991
สถาบันยานยนต์ เผยไทยยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก ส่งออก 3 ภูมิภาคหลัก ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง ปี 66 ทำยอดส่งออกได้กว่า 688,531.24 ล้านบาท พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมสู่นวัตกรรมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด
ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดยานยนต์ในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18% ของ GDP ของประเทศ การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก อันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน
โดยเฉพาะยานยนต์สันดาปภายใน ที่ไทยเป็นฐานการผลิตมายาวนานและภาครัฐให้ความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการผลิตยานยนต์สันดาปภายในที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงและมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ พร้อมตั้งเป้าหมายภายในปี 2030 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตยานยนต์สันดาปภายใน 70% และจะเป็นฐานการผลิตยานยนต์สันดาปภายในแห่งสุดท้ายของโลก
สำหรับการส่งออก ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกรถยนต์ใน 3 ภูมิภาคหลัก คือ เอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง มากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณการส่งออกรวม สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมาก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการส่งออกรถยนต์ถึง 19,776.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 688,531.24 ล้านบาท จากแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการส่งออกรถยนต์ของไทย ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่มีมากกว่า 2,300 ราย มีการขยายตัวไปด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตยานยนต์แบบดั้งเดิมมาเป็นการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่เน้นด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกสูง ภายใต้นโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นและผลักดันให้ยานยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นยานยนต์ที่สะอาด ประหยัด และปลอดภัย เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
จากมาตรการการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การใช้งานและโครงสร้าง พื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของไทยขยายตัวอย่างวรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ทั้งจากประเทศจีนและญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศไทยในปี 2567 กว่า 9 ราย
นำโดย BYD, MG, Changan, NETA, GAC, Nissan ฯลฯ และมีกำลังการผลิตรวมกว่า 596,000 คันต่อปี ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ไทยเริ่มมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศ โดยมีปริมาณการผลิตรวม 2,466 คัน นำโดย ค่าย GWM, MG และ Honda (ผลิตรถยนต์ BEV HRV-en1 จำนวน 30 คัน ในเดือน มกราคม 2567 ที่ผ่านมา)
ขณะเดียวกันตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV ทั้งสิ้น 73,568 คัน อัตราการขยายตัว 694% ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2567 มีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV กว่า 19,131 คัน ซึ่งหากพิจารณาตามข้อมูลสถิติปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศไทยพบว่า จนถึงปัจจุบันมีจำนวนรถไฟฟ้า BEV ที่จดทะเบียนแล้วกว่า 113,435 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเราจึงจับมือกับ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ พร้อมจัดงาน Automotive Summit 2024 ในวันที่ 19-20 มิ.ย. 67 โดยจัดร่วมกับงาน Automotive Manufacturing ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรม Manufacturing Expo ที่ไบเทค เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมสู่นวัตกรรมการขับเคลื่อนแห่งอนาคตเพื่อความยั่งยืน
นางวราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็ก กล่าวว่า งาน Automotive Manufacturing 2024 ในปีนี้ กำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด The Transition to Future Mobility พุ่งทะยานสู่ยานยนต์แห่งอนาคตที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ได้ก้าวทันกระแสความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม
ส่วนงาน Automotive Manufacturing จะมีการแสดงเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และวัตถุดิบที่ใช้ทำชิ้นส่วนยานยนต์อย่างอลูมิเนียมคาร์บอนต่ำเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเรายังคงเป็นไฮไลต์สำคัญของงานที่นอกจากผู้เข้าร่วมฟังสัมมนาจะได้รับองค์ความรู้ใหม่แล้ว ยังจะได้เข้าชมเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย.
ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก ทำยอดส่งออกได้กว่า 688,531 ล้าน
https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2786991
สถาบันยานยนต์ เผยไทยยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก ส่งออก 3 ภูมิภาคหลัก ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง ปี 66 ทำยอดส่งออกได้กว่า 688,531.24 ล้านบาท พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมสู่นวัตกรรมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด
ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดยานยนต์ในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18% ของ GDP ของประเทศ การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก อันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน
โดยเฉพาะยานยนต์สันดาปภายใน ที่ไทยเป็นฐานการผลิตมายาวนานและภาครัฐให้ความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการผลิตยานยนต์สันดาปภายในที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงและมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ พร้อมตั้งเป้าหมายภายในปี 2030 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตยานยนต์สันดาปภายใน 70% และจะเป็นฐานการผลิตยานยนต์สันดาปภายในแห่งสุดท้ายของโลก
สำหรับการส่งออก ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกรถยนต์ใน 3 ภูมิภาคหลัก คือ เอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง มากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณการส่งออกรวม สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมาก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการส่งออกรถยนต์ถึง 19,776.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 688,531.24 ล้านบาท จากแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการส่งออกรถยนต์ของไทย ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่มีมากกว่า 2,300 ราย มีการขยายตัวไปด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตยานยนต์แบบดั้งเดิมมาเป็นการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่เน้นด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกสูง ภายใต้นโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นและผลักดันให้ยานยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นยานยนต์ที่สะอาด ประหยัด และปลอดภัย เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
จากมาตรการการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การใช้งานและโครงสร้าง พื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของไทยขยายตัวอย่างวรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ทั้งจากประเทศจีนและญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศไทยในปี 2567 กว่า 9 ราย
นำโดย BYD, MG, Changan, NETA, GAC, Nissan ฯลฯ และมีกำลังการผลิตรวมกว่า 596,000 คันต่อปี ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ไทยเริ่มมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศ โดยมีปริมาณการผลิตรวม 2,466 คัน นำโดย ค่าย GWM, MG และ Honda (ผลิตรถยนต์ BEV HRV-en1 จำนวน 30 คัน ในเดือน มกราคม 2567 ที่ผ่านมา)
ขณะเดียวกันตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV ทั้งสิ้น 73,568 คัน อัตราการขยายตัว 694% ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2567 มีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV กว่า 19,131 คัน ซึ่งหากพิจารณาตามข้อมูลสถิติปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศไทยพบว่า จนถึงปัจจุบันมีจำนวนรถไฟฟ้า BEV ที่จดทะเบียนแล้วกว่า 113,435 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดเราจึงจับมือกับ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ พร้อมจัดงาน Automotive Summit 2024 ในวันที่ 19-20 มิ.ย. 67 โดยจัดร่วมกับงาน Automotive Manufacturing ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรม Manufacturing Expo ที่ไบเทค เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมสู่นวัตกรรมการขับเคลื่อนแห่งอนาคตเพื่อความยั่งยืน
นางวราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็ก กล่าวว่า งาน Automotive Manufacturing 2024 ในปีนี้ กำหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด The Transition to Future Mobility พุ่งทะยานสู่ยานยนต์แห่งอนาคตที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ได้ก้าวทันกระแสความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม
ส่วนงาน Automotive Manufacturing จะมีการแสดงเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และวัตถุดิบที่ใช้ทำชิ้นส่วนยานยนต์อย่างอลูมิเนียมคาร์บอนต่ำเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเรายังคงเป็นไฮไลต์สำคัญของงานที่นอกจากผู้เข้าร่วมฟังสัมมนาจะได้รับองค์ความรู้ใหม่แล้ว ยังจะได้เข้าชมเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย.