วาติกัน -- กบในกะลาพาเที่ยว…แบบเปิ่นๆ น่ะ

เช่นเคย
บทความท่องเที่ยวนี้ ธาราสินธุ์ไม่ได้เป็นคนเขียนเองนะคะ

ผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง พล.อ.ท. สหัทยา ประภาวัต ท่านเป็นคนเขียนค่ะ

ก่อนหน้านี้ ท่านเคยเขียนคอลัมน์อยู่ที่นิตยสารพลอยแกมเพชร และธาราสินธุ์ก็เป็นหนึ่งในแฟนหนังสือของท่านมาอย่างยาวนาน

จำเนียรกาลผ่านไป ธาราสินธุ์ก็ได้ฝากตัวเป็นหลานนอกไส้ของท่านอีกคนหนึ่ง เรียกท่านว่าคุณน้า และเมื่อคุณน้าได้ไปเที่ยวที่ไหน มีเรื่องราวอะไรสนุก ๆ ก็มักจะกรุณาเขียนมาเล่าแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังกัน  สำนวนท่านยังทันสมัยและสนุกอยู่เหมือนเดิม

เรื่องเที่ยวโรมนี้ก็เช่นกัน ธาราสินธุ์ได้ขออนุญาตคุณน้านำเรื่องมาแบ่งปันชาวพันทิปซึ่งทราบมาว่า หลาย ๆ ท่านก็เคยเป็นแฟนหนังสือของคุณน้าเช่นกัน บางก็โน่นแน่ะ เป็นแฟนเก่าแก่ที่เคยอ่านบทความสนุก ๆ ของ พล.อ.อ.หะริน หงสกุล คุณพ่อของท่านตั้งแต่ครั้งยังเขียนให้ต่วยตูนและนิตยสารอีกหลายเล่ม

ไปค่ะ ... เราตามคุณน้าไปเที่ยววาติกันกันค่ะ

เพี้ยนชอบ
 
 หลังจากที่ไม่ได้โผล่หัวไปนอกกะลามาเป็นเวลากว่า 20 ปี ก็ได้ฤกษ์กลับไปฟื้นฟูความหวานแหววในอดีตที่ประเทศอิตาลีก่อนตาย คราวนี้มากับครอบครัวกันเกือบครบ ขาดแต่หลานชายคนกลาง ซึ่งเพิ่งเข้างานได้เพียงเดือนเดียว จึงมิบังควรลา จริงไหม ส่วนหลานสาวให้เหตุผลในการลา และขอ Visa ว่า ‘เพื่อพายายอายุ 80 ปีมาเห็นเมืองนอกสักครั้งก่อนตาย’ ผู้อนุมัติฟังแล้วน้ำตาร่วงเลย!

พาพันดี๊ด๊า



 
 อันว่าการมาเที่ยวทั้งครอบครัวนี้เป็นปรัชญาประจำตระกูลของพวกเรา ตำราเขาบอกว่า สังคมมนุษย์ประกอบด้วย ’คนมั่งมี’ (The Haves) และ ‘คนไม่มี’ (The Have Nots) ส่วนเราอยู่ตรงกลางเรียกว่าพวก ‘มีมั่ง’ (The Have Some) คือมีบ้าง ไม่มีบ้างตามอัตภาพ อันเป็นที่มาของทริปนี้ เพราะพ่อเคยบอกว่า ไม่มีทรัพย์สินมากมายจะให้เรา แต่ขอให้ความทรงจำที่ดีเป็นมรดกแก่ลูกหลานแทน จึงพามาเที่ยวต่างประเทศทั้งครอบครัว ลูกหลาน เขยสะใภ้ รวม 13 ชีวิตทุกปี เผื่อว่าหากอนาคตบังเกิดความผันแปร อย่างน้อยเราก็ยังมีความทรงจำที่ดีที่จะระลึกว่าได้ ‘been there, done that’



 
 ออกตัวก่อนนะคะ ว่าฉันไม่ใช่เอตะทัคคะทางการท่องเที่ยว นานทีปีหนถึงจะมีกะตังค์ไปไหนมาไหนกับเขาได้ เป็นเพียงยายแก่ที่ค่อนข้างจะเฟอะฟะที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ (ภาษาชาวบ้านว่า ‘โม้’) ให้คนแก่ทั้งหลายฟังว่าเรายัง ‘สามารถ’ เดินทางท่องเที่ยวได้ก่อนติดเตียงนะ แต่แค่นี้บริษัทประกันก็ยังทำท่างอแง ไม่ใคร่อยากทำประกันให้เลย
 

 ชอบใจวิถีการเดินทางสมัยนี้ที่ไม่ต้อง ‘จัดเต็มพิกัด’ จำได้อย่างสมัยก่อนเวลาจะบินไปประชุมที่ยุโรป 11 ชั่วโมง ก็ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้ครบทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ใส่สูท ถุงน่อง รองเท้าส้นสูง ผมตีโป่งสเปรย์แข็งโป๊ก หน้าโบกเครื่องสำอางเพียบ สมัยนี้น่ะหรือ ใส่สูทเหมือนกัน แต่เป็น tracksuit กับ Nike สวมสบาย บางคนใส่รองเท้าแตะ แต่งตัวยังกะไปจ่ายตลาดสดก็มี หน้าตาโปะเฉพาะ night cream เพราะขึ้นเครื่องไปก็นอน ไว้แต่งหน้าทำสวยเอาตอนเครื่องจะลงก็แล้วกัน

 
 พาตัวเองมานั่งสัปปะหงกใน lounge รอเรียกขึ้นเครื่องในเวลาตี 2 กว่า ติดกับกลุ่มคุณผู้ชายไทยใจฉกาจ 10 กว่าคนที่มาตั้งวงกร่ำสุราเฮฮากันครึกครื้นถึงขนาดหยิบเอาวิสกี้ที่เขามีไว้บริการฟรีมาเติมเองทั้งขวดเพื่อความสะดวก คิดได้ยังไงอ่ะ! แต่ยังดีที่พอขึ้นเครื่องไปคุณเธอก็หลับกันเงียบโดยไม่ได้ลุกไปรับบริการบาร์ลอยฟ้าหลังเครื่องเลย

 
 ที่เลือกมาทางอิตาลีใต้ก็เพราะมีความหลังอันหวานแหววกับสามีที่เคยมาเที่ยวด้วยกันหลายครั้ง (คราวนี้ก็จุดธูปให้เขาแบ่งภาคมาด้วยเหมือนกัน อีกภาคให้อยู่เฝ้าบ้าน แล้วกลับมาจะใส่บาตรไปให้นะจ๊ะ) เราเลือกที่จะไม่ไปกับทัวร์ประเภท 6-7-8 เพราะแก่แล้ว และไม่เช่ารถขับกันเองแม้จะขับกันได้ทุกคน เพราะไม่อยากเครียดทะเลาะกันกลางทาง เพราะรู้ว่ามีข้อจำกัดแยะมากในการขับรถในเมือง เช่น ห้ามเข้าเขตใจกลางเมืองตั้งแต่ 6.30-18.30 น. บางเมืองบางเขตต้องมี permit จึงจะเข้าได้ ที่จอดรถอยู่ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ ฯลฯ ล้วนเรื่องปวดหัววุ่นวายทั้งนั้น จึงเช่าทั้งรถทั้งคนขับ สบายใจดีกว่า

 
 เราทำตัวเสมือนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมาเที่ยวไทย วันแรกก็ต้องชมวัง (หลวง) - วัด (พระแก้ว) ฉันใด วันนี้เราจึงไปชมวังพระสันตปาปาและ (วัด) โบสถ์ Saint Peter ที่ Vatican City ซึ่งมีกำแพงสูงและหนามากที่เขาคุยว่าเป็นกำแพงที่ cannon proof ด้วย โดยกัดฟันซื้อตั๋ว skip the line ไม่ต้องต่อคิวยาวมากกกกก ประมาณ 300 โยชน์: 2 ชั่วโมง และซื้อ semi-private tour คือมีลูกทัวร์ประมาณ 10 คนต่อไกด์ 1 คน ซึ่งจะกระซิบบรรยายให้เราโดยผ่านหูฟัง โชคดีที่ได้ไกด์เป็นอดีตนักโบราณคดี บรรยายเก่งลึกซึ้ง ชี้แนะ highlight ของแต่ละรูปปั้น ภาพวาด เกร็ดประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ ฯลฯ รู้ไหมสมัยโน้นมีการ Photoshop กันแล้ว คือรูปปั้น Emperor ต่างๆ นั้นหน้าตาก็เหมือนหน้าท่านก็จริง แต่ทว่าหุ่นนี่สิ เอา 6 pack ของหนุ่มฮอต หล่อล่ำมาเป็นแบบจ้า ถึงได้ดูดี๊ดี ถูกพระทัย Emperor เป็นอย่างยิ่ง!

 เพี้ยนลาเวนเดอร์

 ผ่านเข้าไป Etruscan Museum ก็ให้อัศจรรย์กับ tapestry อันละเอียดยิบยังกะภาพถ่าย ด้านซ้ายของโถงแสดงเป็นพรมทอ tapestry จาก Belgium ฝีมือขั้นเทพ ++ เลย ส่วนด้านขวาเป็นฝีมือของช่างโรมัน ไม่สวยเท่า แล้วรู้ไหม tapestry เหล่านี้เขาใช้ทำอะไร ไม่ใช่เพื่อแขวนโชว์ให้สวยงามนะจ๊ะ แต่เอาไว้ปูพื้นและแปะฝาผนังเพื่อเป็นฉนวนกันความชื้น ความร้อน และเสียงสะท้อนจ้า เอากะเค้าสิ! เริ่ดกว่าสมัยเราอีกที่ใช้แค่น้ำยากันชื้นตราจระเข้งับหาง แล้ว tapestry สมัย ค.ศ. 1500 ก็มีการใช้ special effect แล้วนะเพื่อนฝูง เช่นภาพ Jesus Resurrection นี่ เดินผ่านท่านจะเห็นว่าตาท่านมองตามเราจากซ้ายไปขวา! ส่วนภาพวาดบนเพดานก็ใช่ย่อย เหมือนภาพ 3D ไม่มีผิด นางฟ้า เทวดา และเทพเจ้าลอยฟ่อง เด่นออกมาจาก background เลย



 
 เอ้า! เดินต่อมาจ้ะ ถึง Map Gallery อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ผนังสองฟากของโถงนี้เต็มไปด้วยแผนที่ละเอียดยิบของประเทศอิตาลีที่วาดขึ้นมาเมื่อ 444 ปีมาแล้วใน ค.ศ. 1580 ซึ่งมีความถูกต้องถึง 85% พร้อมด้วยเส้น latitude และ longtitude กำกับ ระบุชื่อเมืองใหญ่ เมืองกลาง เมืองเล็ก ตลอดจนหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็น Google Map แผ่นแรกของโลกก็ได้ที่สร้างขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยดาวเทียมส่องคำนวนด้วยซ้ำ แล้วในแผนที่แต่ละแผ่นยังมีการซูมสถานที่สำคัญหรือจุดธรรมชาติเด่นๆ ของถิ่นนั้น เช่นโบสถ์ ท่าเรือ หรือน้ำตก ประกอบภาพแผนที่ด้วย ทันสมัยเสียมิมี

 
 ใต้โบสถ์ St. Peter เป็นที่ตั้งหีบศพของเหล่า Pope ในอดีตทุกท่าน หากท่านใดได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็น Saint เช่น Pope John Paul II ศพก็จะได้รับเกียรติยกขึ้นมาตั้งในตัวโบสถ์ให้ผู้คนได้เคารพสักการะโดยสะดวก ไม่ต้องไต่ลงไปถึงชั้นใต้ดิน



 
 ในฐานะแม่ ปฏิมากรรมที่โดนใจฉันที่สุดได้แก่ La Pieta ซึ่งรังสรรค์โดยไมเคิล แอนเจลโลขณะมีอายุได้ 24 ปี เป็นรูปพระแม่มารีอุ้มพระเยซูที่เพิ่งสิ้นใจลงมาจากไม้กางเขน สีหน้าของพระแม่นั้นเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก…โทมนัส รัก อาดูร ยอมรับ ฯลฯ แล้วแต่คนดูจะจินตนาการไปเอง ฉันนึกเอาเองว่าแสดงถึงความโศกเศร้าที่แม่มีต่อลูก แต่ไกด์บอกว่ายิ่งกว่านั้น สีหน้าของพระแม่แสดงถึงการยอมรับสิ่งที่พระเจ้าได้ตัดสินแล้ว…La Pieta = pity, compassion and acceptance of what God has decided…I accept. อ้าวเหรอ! แต่ฉันก็ยังชอบการตีความของตนเองอยู่ดีแหละ มันซึ้งดี และเป็นปฏิมากรรมชิ้นเดียวที่ไมเคิล แอนเจลโลลงชื่อกำกับไว้

 
 แล้วลานหน้าโบสถ์ที่มีเก้าอี้ตั้งไว้เป็นการถาวรให้ผู้มารอเฝ้าพระสันตปาปาซึ่งจะปรากฏตัวโปรดประชาชนทุกวันพุธและวันอาทิตย์นั้น แต่เดิมเป็นสุสานใหญ่ ซึ่ง St.Peter เองก็เคยถูกฝังอยู่ ณ ที่นี่ ก่อนที่จะนำขึ้นมาฝังในโบสถ์



 
 สรุป เรื่องมาชมวัง/วัด Vatican นี้ ขอร้องเลย จงจองทัวร์แบบ fast track และไกด์แบบตัวเป็นๆ ไปจากเมืองไทย แม้จะแพงหน่อย…ไม่หน่อยหรอก แพงค่อนข้างจะมาก แต่ก็คุ้มที่สุด เงินเขามีไว้ให้ใช้นะจ๊ะ ยอมเสียเงินไปเถอะ คุ้มกว่าเอาไปซื้อรองเท้า Nike รุ่นล่าสุดอีก
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่