ครอบรอบ108ปีของการเสียดินแดน ตอน ตำนานแรงศรัทธาแห่งตากใบ



“ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด ชีวิตฉันก็คงจะสิ้นสุดไปเมื่อนั้น”

ลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   วันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2436


         
ถ้าใครได้อ่านประวัติศาสตร์ยุคสมัยการล่าเมืองขึ้นจะเข้าใจได้ว่าทำไมรัชกาลที่5จึงมีพระราชหัตถเลขาเช่นนั้น

..............................................


ณ จุดเล็กๆริมแม่น้ำตากใบ

          ในช่วงเวลาที่ประเทศเข้าสู่ช่วงวิกฤต
          ชุมชนตากใบ ซึ่งอยู่ดินแดนกลางป่าดงทางใต้ของสยามประเทศในสมัยนั้น
          มีพระภิกษุชื่อ หลวงพ่อพุฒ มีความเห็นว่าจำนวนคนตากใบแม้จะมีไม่มาก
          แต่การเดินทางไปวัดไม่ค่อยสะดวก เนื่องจากมีพรุนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง
          เราควรจะสร้างศาสนสถานไว้เป็นที่รวมใจและสอนศีลธรรม
          ซึ่งก่อนหน้านั้นท่านก็มีประสบการณ์ในการสร้างวัดมาก่อนแล้ว1แห่งที่บ้านเกาะสวาด
          แต่ในช่วงนั้น ท่านยังไม่พบบริเวณที่มีความเหมาะสม
          วันหนึ่งท่านมาท่าเรือ เห็นที่บริเวณด้านใกล้ๆนั้นดูน่าสนใจ
          รู้สึกว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ใช้เป็นที่สร้างวัด

   

          ในเวลานั้นตากใบอยู่ในความดูแลของรัฐกลันตัน  
          การที่จะสร้างวัดต้องขออนุญาตเจ้าเมืองเสียก่อน
          แม้อายุท่านในเวลานั้นมีอายุประมาณ60กว่าปี แต่ด้วยความตั้งใจแม้ระยะทางจะไกลเพียงไหน
          ท่านก็เดินทางไปถึงเมืองโกตาร์ บาห์รู เพื่อขออนุญาตท่านเจ้าเมือง

          เมื่อพระยารัฐกลันตันอนุมัติ
          หลวงพ่อพุฒก็ได้รวมชาวบ้านมาช่วยกันสร้าง ในปีวอก พุทธศักราช 2403

          จากป่าพรุริมแม่น้ำตากใบ ก็เริ่มถูกถางตัดให้โล่ง
          อิฐก้อนแล้วก้อนเล่า ถูกนำมาก่อ ไม้แต่ละท่อน ถูกนำมาตอกเข้าลิ่มเพื่อขึ้นตัวอาคาร
          วันแล้ววันเล่า หยาดเหงื่อของหลวงพ่อพุฒ และชาวบ้านได้เสียสละด้วยความศรัทธาที่จะสร้างวัด
          ในที่สุด...วัดก็พร้อมเป็นศูนย์รวมใจชาวบ้าน
          ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า  "วัดเจ๊ะเห" ตามชื่อหมู่บ้านที่ตั้งวัด
          แต่บางครั้งก็เรียกชื่อว่า "วัดป่าพรุ" ตามสถานสถานที่บริเวณที่สร้างซึ่งมีป่าปพรุอยู่รอบๆ

   

          .... ที่น่าปลื้มใจและน่าอนุโมทนาหลังจากสร้างวัดเสร็จ
          ไฟแห่งศรัทธาในใจของท่านมิได้มอดลงเลย
          ท่านได้ไปสร้างวัดต่ออีก2แห่ง คือ "วัดทรายขาว" และ "วัดโคกมะเฟือง"
          โดยที่ในเวลานั้นที่วัดเจ๊ะเห ท่านก็ไม่ได้ละทิ้ง
          หลวงพ่อพุฒพยายามสร้างโบสถ์ในปี พ.ศ.2016
          จนกระทั้งแล้วเสร็จได้โบสถ์ที่มีความวิจิตรงดงามมาก
          ปรากฎหลักฐาน ดูได้จากภาพวาดภายในโบสถ์ที่มีให้เห็นในทุกวันนี้

          มิใช่แค่งานก่อสร้างเท่านั้น....
          งานสร้างศานทายาทท่านก็ได้ทำอย่างต่อเนื่อง
          ท่านได้เป็นพระอุปัชฌาในการบวชพระให้คนในพื้นที่ตลอดมา
          ภายหลังได้รับสมณศักดิ์เป็น "พระครูโอภาสพุทธคุณ"

          ในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง  การได้สร้างวัดเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาถึง4แห่ง
          โดยที่ต้องเข้าป่าถางพงเริ่มจากศูนย์ทุกๆครั้ง ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
          เพราะต้องใช้กำลังกายและกำลังใจเป็นอย่างมาก
          หากไม่เป็นเพราะท่านมีปณิธานในใจที่ชัดเจนว่า

                    “เมื่อคนอยู่ที่นี่ ก็จะสร้างวัดที่นี่ ให้เป็นที่รวมใจและสืบทอดอายุพระศาสนา”

   


          ทั้งชีวิตเพื่อพระศาสนา ....

          จนถึงอายุประมาณปีที่100 ท่านก็ได้มรณภาพ จากไปอย่างสงบ ในเดือน 4 ปีมะเมีย พุทธศักราช 2437
          ซึ่งตลอดชีวิตของท่านได้วางรากฐาน พุทธศาสนาในชุมชนตากใบไว้อย่างเข้มแข็ง
          ภายหลัง ชาวบ้านจึงตั้งชื่อวัดอย่างเป็นทางการเพื่อระลึกถึงพระคุณของท่านว่า

          "วัดชลธาราสิงเห  โดยมีที่มาจาก วัดที่อยู่ริมน้ำ และ หลวงพ่อพุฒผู้เป็นที่รักเคารพของคนดั่งราชสีห์"

   
         

          พระไพศาลประชานาถ เจ้าอาวาสรุ่นที่9 และเจ้าคณะอำเภอตากใบ เล่าถึงประวัติ ของวัดแห่งนี้ว่า
         
                    “ ...เคยได้ยินได้ฟังว่า ในปี 2403 เริ่มสร้างวัด เป็นป่าเป็นดง
             สร้างโบสถ์ในปีพ.ศ. 2416 เป็นโบสถ์ที่สวยสด งดงาม หลังหนึ่งใน แหลมมาลายู
             คนบริเวณแถวนี้หรือใคร ที่ได้เห็นแล้วเขาบอกว่า  หลวงพ่อพุฒ สร้างโบสถ์ได้วิจิตรมาก
                          แม้ว่าอยู่ในดงในป่า ท่านสร้างได้ขนาดนี้นับว่าเยี่ยมจริง”


          จากจุดเริ่มต้นของการทำความดีเพื่อความดี ในชุมชนเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก
          จากความตั้งใจในการวางรากฐานพระพุทธศาสนาในชุมชน
          ใครจะรู้ว่าหลังจากที่ท่านมรณภาพในอีก15ปีต่อมา ...

          วัดแห่งนี้จะมีส่วนสำคัญในการช่วยรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ได้



   


*** ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่เขียนชื่อกระทู้ผิด ... เนื่องจากส่งไปด้วยมิได้ตรวจทาน ***


มีต่อ..... ตอนที่2  วิกฤตแห่งสยามประเทศ
... to be continued

ขอขอบคุณ
http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/Sep48/c55.htm
http://nwt.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=136:2009-07-06-10-29-15&catid=49:2008-10-29-14-45-26&Itemid=83
http://m.ppantip.com/topic/34488801
http://www.rungnapa-astro.com/Saranaru-ok/ThaiTerritory-Lost.htm
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่