หน่ายโพธิปรารถนา

ผม มีความเหนื่อยหน่ายใน วิบาก บางประการของตนเอง
และอยากจะพ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ อย่างน้อยคือโสดาปัตติมรรค

แต่สำรวจ จริยา บางประการของตนเอง และความศรัทธา ใน ธรรมวินัย

ก็พบว่า มีการภาวนา กลับกลอก อยู่ สองสเต็ป ดังนี้ ( มรรค เกิด-ดับ )

การ "เริ่ม" ในจุด ของ การถึงความเป็นสาวก จะมี รสของ สุตมยปัญญา เป็นแก่น
และการดำเนินไป จะต้องอาศัย สุตมยปัญญา... เพราะอภิญญา วิโมกข์ ต่างๆ
จะได้มานั้น สาวกเปรียบเหมือน ลูกจ้างในสวน ซึ่งพระศาสดาเป็นเจ้าของสวน
จะไปตามหาอภิญญา ญาณต่างๆ นอกสวน เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น การเกิด
อภิญญา ต่างๆ จะเป็น เดียรถีย์ทันทีนขณะที่พระศาสนธรรมยังคงตั้งมั่นอยู่

เพราะฉะนั้น เวลาที่จิต พลิกเข้าไปสู่ทางของ สาวกภูมิ ศรัทธาจะมีขึ้นทันที
และความอุ่นใจบางประการจะเกิดขึ้นว่า นี่เป็นอนุสาสนียธรรมที่ถูกต้องแน่นอน
การได้มาซึ่งสุญญตา อนิมิต วิโมกข์ อภิญญา ต่างๆ จะค่อยๆ อาศัย
สติปัฏฐาน ในการหยั่งลง ในการปรารภไปตามเหตุปัจจัย ( สาวกญาณ จาก ญาณ ๗๓ )

การสำเร็จซึ่ง สุตมยปัญญา ทำให้ ได้ ภาวนามยปัญญา เฉพาะสาวก
การภาวนาแบบนี้เป็นไปเพื่อ หลุดพ้นจริง และเข้าถึงศรัทธาได้จริง ๆ

แต่คนละเรื่องกับ ปัญญาที่เหลือ นอกเขตธรรมวินัย หรือเรียกว่า พุทธวิสัย

ซึ่ง จขกท มีวิบากบางอย่างที่ทำให้ แล่นไปตรึกใน พุทธวิสัย อย่างห้ามไม่ได้

เกิด กรุณาจิต ในการสาดส่อง หาเหตุหาผล ของทุกๆ ผัสสะ ของความเป็นสัตว์
( ปรารภการได้มาซึ่ง วิชชา๓ ด้วยในบางขณะ จึงเริ่มเข้าใจในวิชชาบางตัว
แต่...เป็น จินตมยปัญญา เฉพาะพุทธวิสัย การตรึกแบบนี้ สาวกไม่มีแน่ๆ )

ในขณะที่กลับไปอยู่ในวิถีของการเข้าถึงศรัทธาของพุทธภูมิแล้ว
จะไม่มีการเห็น สติปัฏฐาน และ มรรคมีองค์ ๘ รวมไปทั้ง อริยสัจ จะถูกปิดบังทันที
พูดง่ายๆ ว่า ภาวนายังไงมันก็ไม่ขึ้น เพราะมันปรารถนาจะครองสวน ทั้งๆที่เจ้าของยังอยู่

พุทธภูมิ ในสมัยของ การปรากฏธรรมวินัย ย่อมเป็น มาร ( อย่างเลี่ยงไม่ได้ )

และเข้าถึงปัญญาในศาสนาได้โดยเร็ว... แต่ กว่าจะต่อคิว กว่าจะล่วงทุกข์ในสงสารได้

ทำให้ อีกกระแสหนึ่ง ก็เข้ามาต้าน จนเกิดอะไรก็ไม่รู้ จิตเหมือนพราก ทางอันนี้ออก

ศรัทธาในขณะนั้นแจ่มมากๆ ถึงขนาดภาวนาขึ้นมา เห็น สติปัฏฐาน มีสติจริง สมาธิก็ค่อยๆเจริญขึ้น
การเห็น ธรรม บางประการที่ สาวก มีฐานะในการ เข้าถึง ภาวนามยปัญญาได้ ก็ปรากฏ
การภาวนาเป็นอย่างนั้นไป ประมาณ 3 วัน สติเรียกว่า แทบจะไม่เผลอในระหว่างวัน

และ การพิจารณาธรรม ที่พิจารณา ขันธ์ 5 มาตลอด อัตตวาทุปาทาน ที่สมาทานไว้ตลอด
ทำให้สัมผัส อนิมิตสมาธิ ได้ไม่ลำบาก และรู้สึกว่า ถ้าดำเนินไปอย่างนี้ ก็ไม่หวาดหวั่นใด ๆ

แต่ ย้ำว่า แค่ 3 วัน มันก็ ดับ และจิตกลับมา หยิบ ความปรารถนาตัวนี้ขึ้นอีก
แต่ การภาวนา สติปัฏฐาน ยังเป็นทางเดิม เหมือนเดิม รสเดิม มีอันเดียว ไม่มีแฉลบไปเชื่อ หรือ ทำอย่างอื่น

การมาเกิดในพุทธกาลที่ล่วงไปแล้ว นั้น เป็นไปเพื่อ พิจารณาเรียนธรรมเพื่อสอนต่อ หรือเพื่อ ลา กันแน่

ลึกๆแล้ว พิจารณา สังขารุเปกขา จน ชัดพอสมควรแล้วว่า กุศล อกุศล สุข ทุกข์ แทบจะมี วิริยะ ตามติดด้วย

แต่... กลับ ไม่ต้องการอะไรๆ ในหล้า ไม่ปรารถนาในโพธิปัญญา ไม่ได้อยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ได้ดำริจะเป็นด้วยตัวเอง

แต่ก็เห็นความเกิดๆดับๆ ของตัวนี้ มันไหวๆที่กลางอก จนบางทีมัน แน่น และทุกข์มาก ก็ยกพิจารณา ตามรู้มันไปอยู่ ณ ตอนนี้

ขอ คำปรึกษา หน่อยครับ เพราะ จริงๆ แล้ว ผมอยาก ลา แล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่