ตอนที่ 1: เริ่มต้น
- เมื่อปลายปี 2021 เราได้ offer ให้ไปทำงานที่สิงคโปร์ เงินเดือน 7,500 SGD ด้วย เราจบปริญญาเอก มีประสบการณ์ทำงาน มา 6 ปี
- เราตัดสินใจรับข้อเสนอ เพราะอยากหาประสบการณ์ และบริษัทก็เป็น top 3 ของโลกในเทคโนโลยีนี้
- มีคนทัก: คนรู้จักที่อยู่สิงคโปร์ ทักว่า ควรเรียกเงินเดือนให้มากกว่านี้ จากประวัติเรา และค่าใช้จ่ายที่ต้องเจอ
- เรายืนยันไม่เรียกเงินเดือนเพิ่ม เพราะคิดว่าน่าจะพออยู่ได้ และอยากได้ประสบการณ์
ตอนที่ 2: งาน และทีม
- ทีมเราเป็น ทีมพัฒนา process โดยมีทีมแบบนี้ทั่วโลกอีกประมาณ 5 ทีม รับผิดชอบเทคโนโลยีต่างกัน
- ทีมเรามีแค่ 5 คน ไม่รวม boss มี จีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย และเราคนไทยคนเดียวและ ผู้หญิงคนเดียวในทีม
-บริษัทสนับสนุน work life balance, flexible work hour จะทำงานกี่โมงก็ได้ แต่ทางปฏิบัติ เราเป็นงานพัฒนาที่ต้องมีการทำเลปทำทดลอง มันเลยโดนกำหนดด้วยงานมากกว่า และมีประชุมกลางคืนค่อนข้างบ่อย
- เราทำงานตั้งแต่ระดับ operation คือ เป็นนักวิจัย ทำเลปเอง ขนน้ำยกของ เก็บกวาดเอง จนถึงระดับ เสนอ Proposal ของบ ทำตัวเลข present ทำ report เสนอ global team คือทำสากเบือ ยัน เรือรบ
- ตอนทำงานติดนิสัยรีบทำให้เสร็จ เดินเร็ว เดินเยอะจนเป็นรองช้ำ จ่ายค่ารักษาไป 5400 SGD ยังไม่หายดี ช่วงใหนทำงานเกดินเยอะใช้แรงเยอะ อาการจะกำเริบ ตอนนี้เราไม่สามารถวิ่งได้อีกแล้ว
-บรรยากาศในทีมสำหรับเรา คือ ไม่ค่อยดี หัวหน้าเอาลูกน้องไม่อยู่ ทำให้ในทีมคนอื่นรู้สึกไม่ดี เหมือนโดนเอาเปรียบและโดนโยนผิดให้บ่อยครั้ง ไม่มี ทีม support พลาดไม่ได้ เพราะถ้าพลาดจะไม่มี technical support
-เราทำงานแล้วค่อนข้างเครียด กลัวการเกิดปัญหา เพราะมันจะแก้ยากเนื่องจากข้อจำกัดด้านคน และคนรับผิดชอบที่ negative มาก ตัวเองไม่เคยผิด โยนให้คนอื่นตลอด และหัวหน้าก็ไม่สามารถจัดการได้
- จากเป็นคนไม่กลัวปัญหา เพราะสมัยทำงานที่ไทย มีทีมดี ปัญหาก็แก้ได้เกือบหมด เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรควิตกกังวล
-ด้วยบริษัทใหญ่มาก ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วสำหรับเทคโนโลยีนี้ในตอนนี้ ทำให้บางระบบการทำงานช้ามาก เช่นงานจัดซื้อ ทำให้งานอย่างอื่นช้าไปหมดเพราะเริ่มงานไม่ได้
ตอนที่ 3 ชีวิตที่สิงค์โปร์ของคนที่ไม่ใช่สิงคโปร์
- สิงค์โปร์เป็นประเทศที่ดีมาก ปลอดภัยมาก เป็นระบบมาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย โจรน้อยมากก ยาเสพติดน้อยมาก
- แต่สำหรับ expat ที่จะไม่มีสวัสดิ์การ CPF (ประมาณประกันสังคม) ซึ่งถ้าเป็นคนสิงคโปร์ เงินเดือนระดับเรา จะเก็บเงินเข้า CPF ได้เกือบ 20% บริษัทสมทบอีก 17% และใช้ลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ Expat แบบเรา นอกจากไม่มี CPF แล้ว ก็จ่ายภาษีแพงก็ว่า คนสิงคโปร์
- สิงคโปร์มี work pass หลายระดับ เราเป็น EP คือ สายงานเชี่ยวชาญเฉพาะ มีเงินเดือนขั้นต่ำว่าต้องมากกว่าข้อกำหนด ที่อายุ นั้น ๆ และอีก 3 ปี ด้วยเงินเดือนที่ขึ้นปีละ 2.7% จะทำให้เราไม่ผ่านเกณฑ์ในการต่ออายุ EP และจะตกลงมาเป็น ระดับ S-pass ซึ่งระดับนี้ก็จะมีข้อกำหนดมากกว่า เช่น ห้ามมีผู้ติดตาม ห้ามท้อง เป็นต้น
-ด้วยความเป็น EP รัฐจะไม่บังคับให้นายจ้างต้องซื้อประกันสุขภาพให้ เราต้องซื้อเอง และค่อนข้างแพง
-ค่าใช้จ่าย ค่าเช่าบ้านที่นี่แพงมาก เราเช้าได้แค่ห้อง master room ที่มีห้องน้ำในตัว แต่ต้องแชร์ห้องครัว เครื่องซักผ้ากับคนอื่น แล้วแต่ดวงว่าจะเจอเมทแบบไหน เราจ่าย 2000 SGD ต่อเดือน และไกลจาก office เพราะสู้ราคาไม่ไหว
- เราเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟ ต่อรถบัสไปกลับ 2 ชั่วโมง ยินด้วยเท้าที่เจ็บรองช้ำทุกวัน อย่าถามหารถส่วนตัว มันแพงเกินเอื้อม
บทสรุปการตัดสินใจ
- ด้วยทำงานแล้วไม่มีความสุข ทุกวันต้องตั้งสติ บอกตัวเองเสมอว่า ทำให้ดีที่สุด เบื่องานแึ่ไหนก็ต้องทำ มันเป็นงานของเธอ เราตั้งบอกตัวเองวนไป
- จากไม่เคยรอเสาร์อาทิตย์ กล่ยเป็นคนรอวันหยุด จากไม่เคยนั่งคาเฟ่ กล่ยเป็นคนต้องหาที่ไป เพื่อนเยียวยาจิคใจตัวเอง
-สุขภาพ รองช้ำไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เราไม่สามารถกลับไปเต้นไปสิ่ง ไปเดินทางไกลได้เหมือนเดิม ภ้ายังต้องทำงานใช้แรงงานแบบนี้ ทุกวันนี้ได้แต่ปั่นจักยานกับโยคะ
-career patch ดูแล้วโอกาสยากมากในองค์กร ขนาดใหญ่ และความไม่มั่นคงของการเป็น expat
-ค่าใช้จ่าย สรุปต่อเดือน ค่าเช่าบ้าน 2000 ค่าประกัน 500 ค่ากินค่าอาหาร 2000 เหลือเก็บ 3000 SGD เงินเก็บค่างจากไทยแค่ 15000 บาทต่อเดือน
สรุป
เราตัดสินใจย้ายกลับไทยค่ะ กลับไปทำงานที่ตัวเองชอบ และเป็นระดับบริหารเบื้องต้น กับทีมที่ดี ใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุก ๆ วัน มีความสุขในการทำงาน สุขภาพดี คิดว่าคิดดีแล้วสำหรับคนวัย 40 ตัวคนเดียวแบบเรา
เมื่อตัดสินใจย้ายกลับไทย
- เมื่อปลายปี 2021 เราได้ offer ให้ไปทำงานที่สิงคโปร์ เงินเดือน 7,500 SGD ด้วย เราจบปริญญาเอก มีประสบการณ์ทำงาน มา 6 ปี
- เราตัดสินใจรับข้อเสนอ เพราะอยากหาประสบการณ์ และบริษัทก็เป็น top 3 ของโลกในเทคโนโลยีนี้
- มีคนทัก: คนรู้จักที่อยู่สิงคโปร์ ทักว่า ควรเรียกเงินเดือนให้มากกว่านี้ จากประวัติเรา และค่าใช้จ่ายที่ต้องเจอ
- เรายืนยันไม่เรียกเงินเดือนเพิ่ม เพราะคิดว่าน่าจะพออยู่ได้ และอยากได้ประสบการณ์
ตอนที่ 2: งาน และทีม
- ทีมเราเป็น ทีมพัฒนา process โดยมีทีมแบบนี้ทั่วโลกอีกประมาณ 5 ทีม รับผิดชอบเทคโนโลยีต่างกัน
- ทีมเรามีแค่ 5 คน ไม่รวม boss มี จีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย และเราคนไทยคนเดียวและ ผู้หญิงคนเดียวในทีม
-บริษัทสนับสนุน work life balance, flexible work hour จะทำงานกี่โมงก็ได้ แต่ทางปฏิบัติ เราเป็นงานพัฒนาที่ต้องมีการทำเลปทำทดลอง มันเลยโดนกำหนดด้วยงานมากกว่า และมีประชุมกลางคืนค่อนข้างบ่อย
- เราทำงานตั้งแต่ระดับ operation คือ เป็นนักวิจัย ทำเลปเอง ขนน้ำยกของ เก็บกวาดเอง จนถึงระดับ เสนอ Proposal ของบ ทำตัวเลข present ทำ report เสนอ global team คือทำสากเบือ ยัน เรือรบ
- ตอนทำงานติดนิสัยรีบทำให้เสร็จ เดินเร็ว เดินเยอะจนเป็นรองช้ำ จ่ายค่ารักษาไป 5400 SGD ยังไม่หายดี ช่วงใหนทำงานเกดินเยอะใช้แรงเยอะ อาการจะกำเริบ ตอนนี้เราไม่สามารถวิ่งได้อีกแล้ว
-บรรยากาศในทีมสำหรับเรา คือ ไม่ค่อยดี หัวหน้าเอาลูกน้องไม่อยู่ ทำให้ในทีมคนอื่นรู้สึกไม่ดี เหมือนโดนเอาเปรียบและโดนโยนผิดให้บ่อยครั้ง ไม่มี ทีม support พลาดไม่ได้ เพราะถ้าพลาดจะไม่มี technical support
-เราทำงานแล้วค่อนข้างเครียด กลัวการเกิดปัญหา เพราะมันจะแก้ยากเนื่องจากข้อจำกัดด้านคน และคนรับผิดชอบที่ negative มาก ตัวเองไม่เคยผิด โยนให้คนอื่นตลอด และหัวหน้าก็ไม่สามารถจัดการได้
- จากเป็นคนไม่กลัวปัญหา เพราะสมัยทำงานที่ไทย มีทีมดี ปัญหาก็แก้ได้เกือบหมด เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรควิตกกังวล
-ด้วยบริษัทใหญ่มาก ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วสำหรับเทคโนโลยีนี้ในตอนนี้ ทำให้บางระบบการทำงานช้ามาก เช่นงานจัดซื้อ ทำให้งานอย่างอื่นช้าไปหมดเพราะเริ่มงานไม่ได้
ตอนที่ 3 ชีวิตที่สิงค์โปร์ของคนที่ไม่ใช่สิงคโปร์
- สิงค์โปร์เป็นประเทศที่ดีมาก ปลอดภัยมาก เป็นระบบมาก ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย โจรน้อยมากก ยาเสพติดน้อยมาก
- แต่สำหรับ expat ที่จะไม่มีสวัสดิ์การ CPF (ประมาณประกันสังคม) ซึ่งถ้าเป็นคนสิงคโปร์ เงินเดือนระดับเรา จะเก็บเงินเข้า CPF ได้เกือบ 20% บริษัทสมทบอีก 17% และใช้ลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ Expat แบบเรา นอกจากไม่มี CPF แล้ว ก็จ่ายภาษีแพงก็ว่า คนสิงคโปร์
- สิงคโปร์มี work pass หลายระดับ เราเป็น EP คือ สายงานเชี่ยวชาญเฉพาะ มีเงินเดือนขั้นต่ำว่าต้องมากกว่าข้อกำหนด ที่อายุ นั้น ๆ และอีก 3 ปี ด้วยเงินเดือนที่ขึ้นปีละ 2.7% จะทำให้เราไม่ผ่านเกณฑ์ในการต่ออายุ EP และจะตกลงมาเป็น ระดับ S-pass ซึ่งระดับนี้ก็จะมีข้อกำหนดมากกว่า เช่น ห้ามมีผู้ติดตาม ห้ามท้อง เป็นต้น
-ด้วยความเป็น EP รัฐจะไม่บังคับให้นายจ้างต้องซื้อประกันสุขภาพให้ เราต้องซื้อเอง และค่อนข้างแพง
-ค่าใช้จ่าย ค่าเช่าบ้านที่นี่แพงมาก เราเช้าได้แค่ห้อง master room ที่มีห้องน้ำในตัว แต่ต้องแชร์ห้องครัว เครื่องซักผ้ากับคนอื่น แล้วแต่ดวงว่าจะเจอเมทแบบไหน เราจ่าย 2000 SGD ต่อเดือน และไกลจาก office เพราะสู้ราคาไม่ไหว
- เราเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟ ต่อรถบัสไปกลับ 2 ชั่วโมง ยินด้วยเท้าที่เจ็บรองช้ำทุกวัน อย่าถามหารถส่วนตัว มันแพงเกินเอื้อม
บทสรุปการตัดสินใจ
- ด้วยทำงานแล้วไม่มีความสุข ทุกวันต้องตั้งสติ บอกตัวเองเสมอว่า ทำให้ดีที่สุด เบื่องานแึ่ไหนก็ต้องทำ มันเป็นงานของเธอ เราตั้งบอกตัวเองวนไป
- จากไม่เคยรอเสาร์อาทิตย์ กล่ยเป็นคนรอวันหยุด จากไม่เคยนั่งคาเฟ่ กล่ยเป็นคนต้องหาที่ไป เพื่อนเยียวยาจิคใจตัวเอง
-สุขภาพ รองช้ำไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เราไม่สามารถกลับไปเต้นไปสิ่ง ไปเดินทางไกลได้เหมือนเดิม ภ้ายังต้องทำงานใช้แรงงานแบบนี้ ทุกวันนี้ได้แต่ปั่นจักยานกับโยคะ
-career patch ดูแล้วโอกาสยากมากในองค์กร ขนาดใหญ่ และความไม่มั่นคงของการเป็น expat
-ค่าใช้จ่าย สรุปต่อเดือน ค่าเช่าบ้าน 2000 ค่าประกัน 500 ค่ากินค่าอาหาร 2000 เหลือเก็บ 3000 SGD เงินเก็บค่างจากไทยแค่ 15000 บาทต่อเดือน
สรุป
เราตัดสินใจย้ายกลับไทยค่ะ กลับไปทำงานที่ตัวเองชอบ และเป็นระดับบริหารเบื้องต้น กับทีมที่ดี ใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุก ๆ วัน มีความสุขในการทำงาน สุขภาพดี คิดว่าคิดดีแล้วสำหรับคนวัย 40 ตัวคนเดียวแบบเรา